ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 680 ผู้อาวุโสฉินออกโรง

บทที่ 680 ผู้อาวุโสฉินออกโรง

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร! อ๊ะๆๆๆ!” หลินชิงเย่คำรามอย่างไม่เต็มใจ อยู่ๆก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลินอิ่ง

“แกได้อะไรจากชายชราคนนี้บ้าง ทำไมฉันถึงมองเห็นช่องโหว่ในประตูโชคชะตาของฉันได้! นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!”

หลินชิงเย่ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน พูดจาไร้สาระ ไม่ยอมปล่อยวาง ในใจเต็มไปด้วยความอัปยศและความขุ่นเคือง

ใช่แล้ว เขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้

คำพูดดูหมิ่นและความอัปยศของหลินอิ่ง มันยิ่งกระตุ้นความภาคภูมิใจในตนเอง ใบหน้าเหมือนโดนกระทืบมา

อยากให้เขาเป็นหัวหน้าคนรุ่นใหม่ของตระกูลหลินแห่งลังยา อายุเพียงแค่ 20 กว่าๆก็ได้เข้าอยู่ในรายชื่อประเทศหลุง

ในแวดวงลึกลับ ยังเป็นชายหนุ่มที่ภูมิใจในสายลมฤดูใบไม้ผลิ มันจบลงแบบนี้ได้ยังไง?

ปรากฏว่าเขาถูกโค่นล้มด้วยชายชราที่น่ากลัวที่มีบูโดต่ำกว่าในแวดวงลึกลับ

แม้กระทั่งต้องอดทนคำดูถูกเหยียดหยามของหลินอิ่ง

จึงทำให้ความคิดของหลินชิงเย่ ปะทุขึ้นความภาคภูมิใจของเขาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

เผชิญหน้ากับความเหนือขั้นของหลินอิ่ง มันก็ไม่เหลืออะไรเลย

“อะไรกัน คุณไม่ยอมรับว่าแพ้ไปแล้วรึ?” หลินอิ่งถามแบบไร้สีหน้า

“ฉัน ฉันจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้! แกนะใช้วิธีการที่น่ารังเกียจ!” หลินชิงเย่กล่าวอย่างไร้สติ ในหัวว่างเปล่า

ตอนนี้ หน้าที่ของหลินอิ่งจบลงแล้ว

หลินอิ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เป็นสื่อถึงการเยาะเย้ยของเขา

ในใจของหลินชิงเย่ มองหลินอิ่งเพียงแค่เป็นสัตว์เดรัจฉานที่อยู่นอกตระกูลหลินเท่านั้น สำหรับเขาเป็นลูกหลานตระกูลหลินที่มีภูมิหลังดี และมีช่องว่างขนาดใหญ่ในตัวเอง

ก็แค่เป็นคนนอกที่ได้รับความสนใจจากแม่เฒ่า

มันทำให้หลินชิงเย่รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากและลงไปที่ภูเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อต้องการสอนบทเรียนให้หลินอิ่ง

แต่ผลสรุปคือ เขาถูกผู้ใต้บังคับบัญชาที่พลังต่ำคนหนึ่งของหลินอิ่งฟาดลงกับพื้นก่อนที่เขาจะได้ต่อสู้กับหลินอิ่ง

นี้มัน……

มันละอายใจยิ่งนัก

“ไอวิธีการที่น่ารังเกียจนี้?” หลินอิ่งเยาะเย้ยและมองหลินชิงเย่อย่างเย็นชา “ที่จริงบูโดของกู่ชางไห่นั้นอ่อนกว่านายเยอะ หากตัวต่อตัว ก็คงถูกนายกำจัดได้และนายบอกว่ามันเป็นวิธีการที่น่ารังเกียจเหรอ?”

“หลินชิงเย่ แกแพ้ไม่เป็นเหรอ?”

แพ้ไม่ได้?

คำพูดของหลินอิ่งเหมือนโดนเข็มสามเล่ม แทงทะลุหัวใจของหลินชิงเย่

น่าเสียดาย!

“หลินอิ่ง…แก แก!”

หลินชิงเย่เกือบจะอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง ตัวสั่นไปทั้งตัวและจ้องไปที่หลินอิ่ง อย่างดุเดือดเลือดพล่าน

ขณะนั้น ในใจเขาทั้งเกลียดทั้งกลัวหลินอิ่ง

สิ่งที่ฉันเกลียดคือความอัปยศและการดูถูกของหลินอิ่ง

สิ่งที่ฉันกลัวคือฉันกลัววิธีการที่ไม่อาจคาดเดาได้ของหลินอิ่ง

หลินอิ่งไม่ได้เคลื่อนไหว แต่เพียงแค่ใช้กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของชายชรา แค่ให้เขาเห็นข้อบกพร่องตัวเองให้ชัดเจน และเอาชนะตัวเองได้ไหม?

ในมุมมองของหลินชิงเย่ถูกกระทบกระเทือนไปทั้งหมดแล้ว ซึ่งมิอาจเข้าใจหลินอิ่งว่ามีบูโดแบบใด!

คำพูดเพียงไม่กี่คำสามารถเปลี่ยนพลิกการต่อสู้ทั้งหมดได้!

สถานการณ์พลิกผันแบบนี้มันเกิดขึ้นอย่างน่าตกใจ

ในใจหลินชิงเย่นึกไม่ออกว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรถ้าหลินอิ่งลงมือเอง?

แต่หลินอิ่งเด็กกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด

เด็กอายุ 20 ต้นๆ สามารถมีความสำเร็จบูโดได้อย่างน่าสะพรึงกลัว!

นี่คงเป็นตัวร้ายที่ไม่มีใครเทียบได้

มันยังอยากให้คนมีชีวิตอยู่ไหม!

“หลินชิงเย่ ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ และไม่คุกเข่าให้กับผู้อาวุโสหลิน อยากให้ผู้อาวุโสหลินออกคำสั่งฉันให้ฆ่าแกหรือไง?” กู่ชางไห่พูดด้วยเสียงเย็นชา “หรือล้นหาที่ตายอยู่หรือ?”

เมื่อได้ยินคำขู่ม่านตาของหลินชิงเย่หดลงเล็กน้อย ร่องรอยของความหวาดกลัวแวบเข้ามาในดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็จ้องมองอย่างเย็นชา

“ฉันเป็นสมาชิกของตระกูลหลินแห่งลังยา แกกล้าฆ่าฉันเหรอ?”

หลินชิงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง ทั้งยังมีความมั่นใจและความภาคภูมิใจต่อท้าย

“เฮอะ ชั่งเหมาะเป็นคนในตระกูลหลินแห่งลังยาจริงเลย” หลินอิ่งเยาะเย้ย

“หลินชิงเย่ ถ้านายเป็นคนฆ่าได้หยามไม่ได้ และยอมตายดีกว่ายอมแพ้ ผมละยอมรับคุณเลย” หลินอิ่งกล่าวเบา ๆ ต่อว่า “แต่แพ้แล้วดันไม่ยอมรับ ถึงตายไป ก็ยังต้องเอาชื่อเสียงตระกูลหลินแห่งลังยาไปหลอกผู้คนอีก”

“โชคดีที่นายยังอ้างว่าเป็นคนตระกูลหลิน รายการแห่งฟ้าผู้มีความสามารถในแวดวงลึกลับนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนขี้ขลาดในโลกนี้ด้วยซ้ำ ”

ขณะที่เขาพูดหลินอิ่ง ส่ายหัวไปมา

เมื่อเห็นท่าทางที่ดูถูกของหลินอิ่งและคำพูดที่น่าอับอาย หลินชิงเย่ถึงกับตัวสั่นและใบหน้าของเขาแดงก่ำ

คำพูดของหลินอิ่ง ทำให้ใจสลาย!

หลินชิงเย่รู้สึกกระวนกระวายครู่หนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นและกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย จากนั้นก้มศีรษะลงด้วยความสิ้นหวัง ดวงตาหมองคล้ำ และใบหน้าแดงก่ำมิอาจสิ่งใดเทียบ

ในที่สุดเขาก็รู้ว่าช่องว่างระหว่างเขากับหลินอิ่งคืออะไร?

ไม่เพียงแต่ฝีมือของบูโดเท่านั้นแต่ยังรวมจิตใจ ซึ่งห่างไกลกันเป็นพันหมื่นลี้

เขาเอาชนะหลินอิ่งไม่ได้…

และนี่เป็นความจริงอีกหนึ่งที่เขาไม่ยอมรับ

“เอาล่ะ นายน้อยหลินอิ่ง! คุณชนะแล้ว ไม่ต้องไปกดดันเข้าอีกต่อไปแล้ว”

ในขณะนั้น มีเสียงเหมือนคนแก่ชราที่ไร้ที่มาจากระยะไกล

ผู้อาวุโสฉินพาคนหนุ่มสาวสองสามคนที่สวมชุดเสื้อคอจีน เดินจูงมือกันมา

พวกเขาจ้องไปที่หลินอิ่ง

หลินอิ่งไม่แสดงอาการใดๆ และจ้องกลับไปที่ผู้อาวุโสฉิน

เพียงพริบตา ในใจผู้อาวุโสฉินได้ตกใจ และเพ่งมองกลับอย่างไม่ละสายตา

“นายน้อยหลินอิ่ง คุณชายเก้าแพ้แล้ว นายน้อยได้พิสูจน์ความสามารถและศักดิ์ศรีของนายน้อยแล้ว ทำไมยังต้องผลักตัวเองเข้าไปสู่ความตายอีกล่ะครับ? คุณชายเก้าที่เป็นนักบูโดได้ทำลายจิตใจและทำลายอนาคตของบูโด นี่มันโหดร้ายกว่าการไปเอาชีวิตเขาอีก”

ผู้อาวุโสฉินพูดอย่างช้า ๆ

หลินอิ่งยิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า: “ในฐานะนักบูโดควรรู้ว่าสิ่งที่พูดออกมาแล้วต้องทำให้ได้นั้นสำคัญแค่ไหน โดยเฉพาะการแข่งขัน ถ้าแพ้แล้วปฏิเสธการพ่ายแพ้ คนแบบนี้ยังสมควรที่จะเป็น เรียกว่านักบูโดอยู่อีกเหรอ?”

หลินอิ่งรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของผู้อาวุโสฉิน ดังนั้นจึงไม่ลงมือฆ่าหลินชิงเย่

แม้ว่าพลังภายในจะไม่ค่อยดีก็ตาม แต่สามารถมองทะลุปรุโปร่งยังคงอยู่

คนปกติไม่สามารถรอดจากสายตาเข้าได้

แต่สำหรับผู้เฒ่าผู้นี้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น หลินอิ่งก็รับรู้ได้เช่นกัน

คนคนนี้ทั่วกายของเขา ราวกับจะเปิดเผยคำใบ้ของการต่อสู้ของบูโด

แนวความคิดของบูโดนั้นมิอาจจะอธิบายเป็นคำพูดได้ทั้งลึกซึ้งและลึกลับเข้าใจยาก มีเพียงฝีมือระดับกันหรือสูงขึ้นไปถึงจะเข้าใจได้

มีเพียงรายการแห่งฟ้าระดับเทพเท่านั้นที่สามารถปลูกฝังแนวความคิดเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้แบบบูโดได้อย่างแท้จริง

และชายชราของตระกูลหลินที่อยู่ข้างหน้าเขาได้สัมผัสความคิดทางศิลปะและสัมผัสถึงเงื่อนไขของสวรรค์

คนคนนี้แม้ว่าจะยังไม่ใช่รายการแห่งฟ้า แต่ฝีมือได้ถึงครึ่งหนึ่งของรายการแห่งฟ้าระดับสูง

สำหรับฝีมือระดับนี้ หลินอิ่งไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้แน่นอน

เขาสามารถสอนเทคนิคบางอย่างให้กู่ชางไห่เพื่อเอาชนะหลินชิงเย่ แต่ไม่สามารถให้กู่ชางไห่ เอาชนะผู้ที่มีฝีมือได้ถึงครึ่งหนึ่งของรายการแห่งฟ้าระดับสูงในเวลาอันสั้นได้

ท้ายที่สุด มีคำกล่าวที่พูดต่อกันมาในแวดวงลึกลับ :ใต้ท้องนภา ล้วนคือมด นั่นไม่ใช่เรื่องโกหก

ถึงระดับรายการแห่งฟ้า แม้ว่าจะก้าวเข้าได้เพียงครึ่งทางก็ตามแต่มันคือการเกิดใหม่และการดำรงอยู่ของภพอื่น มันแตกต่างจากคนทั่วไปโดยพื้นฐานเดิม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท