ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 669 เผชิญหน้ากับศัตรู

บทที่ 669 เผชิญหน้ากับศัตรู

“คนหนุ่มที่โดดเด่นมีชื่อเสียงในตระกูลหลิน หือ….” หลินอิ่งเยาะเย้ย

ตระกูลหลินกำลังสร้างเรื่องวุ่นวาย และพวกเขาคิดจะยึดธุรกิจของตนเองที่ตี้จิง

ดูเหมือนว่า พวกเขาจะไม่พอใจที่ตนเองทำลายบูโดคนของตระกูลหลินไปสองคน

“กู่ชางไห่ ช่วงนี้คุณได้ติดต่อกับนิ่งซวนหรือไม่?” หลินอิ่งถามอย่างเคร่งขรึม

กู่ชางไห่กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ผมไม่รู้ว่าตระกูลนิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลหลินหรือไม่ จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเสี่ยงติดต่อ แม้แต่คุณนิ่งซวนโทรมา ผมก็ยังไม่กล้ารับสาย”

“อย่างไรก็ตาม ผมได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวกรองเป็นพิเศษ คุณนิ่งซวนแห่งตระกูลนิ่งถือได้ว่ายังปลอดภัยอยู่ เขากำลังจัดการธุรกิจของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงให้คุณ ตอนนี้ยังไม่ได้ถูกตระกูลหลินโจมตี”

“นอกจากโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงแล้ว ธุรกิจทั้งหมดของคุณในตี้จิงถูกตระกูลหลินยึดครอบครองไปหมดแล้ว ตามรายงานว่าตอนนี้คุณหยูจื๋อเฉิงได้ออกจากตี้จิงแล้ว”

เมื่อฟังรายงานของกู่ชางไห่ หลินอิ่งมีสีหน้าที่เคร่งขรึม

จากสถานการณ์ที่กู่ชางไห่รายงาน หลินอิ่งเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แล้ว

เย่เฮยและหวงชิงซานที่รับผิดชอบดูแลธุรกิจที่ตี้จิง เป็นการยากที่พวกเขาจะต้านการโจมตีของตระกูลหลินแห่งลังยา

เพราะยังไงตระกูลหลินนั้นเป็นตระกูลที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก และตนเองจะสามารถปรามตระกูลหลินได้ก็ต่อเมื่อตนเองอยู่ในจุดสูงสุดเท่านั้น

แต่นิ่งซวนช่วยตนเองดูแลจัดการเรื่องเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง และไม่ถูกโจมตี

สามารถคาดเดาได้ว่าโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับตระกูลต่าง ๆ ของตี้จิงเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับกองทหารอีกด้วย

ไม่ว่าตระกูลหลินแห่งลังยามีอำนาจแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่ยึดครอง

ยิ่งไปกว่านั้น หลินอิ่งรู้ถึงจุดประสงค์ของตระกูลหลินแห่งลังยา

ตระกูลหลินต้องการที่จะปราบตนเอง แล้วให้ตนเองกลับไปตระกูลหลิน และครอบครองธุรกิจของตนเองในตี้จิงอย่างชอบด้วยเหตุผล

ดังนั้น ถ้าหากเขายึดโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงอย่างเผด็จการ แล้วทำให้โครงการเสียหาย สำหรับตระกูลหลินแล้วจะมีผลเสียมากกว่าผลดี

ตอนนี้ ตนเองยังไม่สามารถใช้บูโดในการต่อสู้ได้ จึงต้องใช้สติปัญญาจัดการตระกูลหลินแห่งลังยา

“กู่ชางไห่ ช่วงนี้ลำบากคุณแล้ว คุณทำงานได้ดีมาก” หลินอิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผมจะมอบตำราลับบูโดให้คุณหนึ่งเล่ม แล้วคุณกลับไปตั้งใจฝึก มันจะมีประโยชน์สำหรับคุณเป็นอย่างมาก”

ในช่วงเวลาที่ตนเองหมดสติ กู่ชางไห่จัดการทุกอย่างอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

มิฉะนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อตนเองฟื้นขึ้นมาแล้วไม่รู้ข่าวสารและสถานการณ์รอบตัว

“ขอบคุณผู้อาวุโส!” กู่ชางไห่กล่าวด้วยความตื้นตัน และก้มศีรษะลง

สำหรับยอดฝีมือระดับรายการแห่งดินเช่นกู่ชางไห่แล้ว ทรัพย์สินธรรมดาเป็นเรื่องยากมากที่จะสามารถโน้มน้าวจิตใจของเขาได้

และหลินอิ่งได้มอบตำราลับบูโดให้เขาหนึ่งเล่ม ซึ่งนี่ถือเป็นความโชคดีเป็นอย่างมาก

กู่ชางไห่เคยเห็นกับตาว่าความแข็งแกร่งบูโดของหลินอิ่ง ที่สามารถฆ่าท่านมังกรดำได้

ยิ่งไปกว่านั้น ฐานะภูมิหลังของผู้อาวุโสหลินอิ่งนั้น เกรงว่ามันซับซ้อนเกินกว่าจะสามารถจินตนาการได้

ไม่เพียงแต่ทำให้แก๊งมังกรพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามล่าและลอบสังหาร แต่ยังมีความสัมพันธ์ที่สำคัญกับตระกูลหลินแห่งลังยาอีกด้วย

นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าหลินอิ่งมีอำนาจที่แข็งแกร่งเพียงใด

“เอาล่ะ กู่ชางไห่ พาผมไปสถานที่คุมขังเหวินเทียนเฟิ่ง ผมเรื่องจะถามเธอ” หลินอิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ได้ครับ” กู่ชางไห่พยักหน้าด้วยความนอบน้อม

จากนั้น หลินอิ่งก็บอกกับฉีโม่ว่าตนเองจะออกไปเดินเล่น จะไปหาร้านอาหารสำหรับทานอาหารเย็น และจะติดต่อฉีโม่กลับมาภายหลัง

เขาออกจากโรงพยาบาลที่หนึ่งอำเภอมาพร้อมกับกู่ชางไห่

……

ยี่สิบนาทีต่อมา

วิลล่าเขตชานเมืองของอำเภอเจียงเยว่

บริเวณใกล้เคียงเงียบสงัดเพราะไม่มีคนอาศัยอยู่

ภายในวิลล่า มีคนหนุ่มหลายคนที่ท่าทางเย็นชากำลังลาดตระเวน

คนเหล่านี้ เป็นองครักษ์ลับที่มาจากตระกูลนิ่ง และพวกเขาล้วนเป็นลูกศิษย์ของกู่ชางไห่ และเป็นคนที่สามารถไว้ใจได้

ในวิลล่า ดวงตาของเหวินเทียนเฟิ่งเหนื่อยล้า และนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางเจ็บปวดและเหม่อลอย ดูเหมือนจะมีอาการทางประสาท

เธอถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

รถสีดำแล่นมาจอดอยู่ที่หน้าประตูวิลล่า

กู่ชางไห่เปิดประตูรถ พยุงหลินอิ่งลงจากรถ และเดินเข้าไปในวิลล่าอย่างช้า ๆ

หลินอิ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย ซ้ายมือนั้นมีผ้าคล้องแขน ดูแล้วเหมือนคนได้รับบาดเจ็บ

ส่วนอื่นของร่างกายก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

เสียงดังเอี๊ยด

หลังจากประตูวิลล่าเปิดออก

หลินอิ่งเดินเข้าไปและนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามเหวินเทียนเฟิ่ง

กู่ชางไห่ยืนอยู่หลังเก้าอี้ด้วยท่าทางที่นอบน้อม

“คุณ คุณคือ?”

เหวินเทียนเฟิ่งมองไปที่หลินอิ่งด้วยความหวาดกลัว ท่าทางหงุดหงิด และเอามือปิดหน้าตนเองเอาไว้ราวกับว่าต้องการหลบซ่อนตัว

ท่าทางของเธอดูเหมือนคนเสียสติ

“เหวินเทียนเฟิ่ง คุณแอบลอบทำร้ายผมมานานแล้ว คุณไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ใช่ไหม?” หลินอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ

“หลินอิ่ง! คุณ! คุณ!” เหวินเทียนเฟิ่งจ้องหลินอิ่งด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง และมีความหวาดกลัวอยู่บนใบหน้า

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ!”

เหวินเทียนเฟิ่งหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง

“ฉันเสียใจจริง ๆ ตอนที่คุณยังเด็ก ทำไมฉันถึงไม่ฆ่าคุณและแม่ของคุณ!” สีหน้าของเหวินเทียนเฟิ่งเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและความเสียดาย “มันน่าเสียใจจริง ๆ อารมณ์ชั่ววูบแล้วก่อให้เกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงในวันนี้”

หลินอิ่งยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก

ผู้หญิงโหดเหี้ยมอย่างเหวินเทียนเฟิ่ง มาถึงจุดนี้แล้ว ยังคงเคียดแค้นว่าทำไมเธอถึงไม่ฆ่าตนเองและแม่ในตอนนั้น

ผู้หญิงคนนี้ช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ

เป็นสายลับอำพรางอยู่ในตระกูลฉีมานานกว่าสิบปี และสุดท้ายก็ฆ่าฉีเหอถูด้วยตนเอง แล้วยังเผาทำลายบ้านตระกูลฉี

ความคิดที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกโกรธและเคียดแค้นเป็นอย่างมาก

“หลินอิ่ง ถ้าคุณให้โอกาสฉันอีกครั้ง ฉันจะไม่ให้โอกาสคุณเติบโตอย่างแน่นอน! ฉันจะฆ่าคุณตั้งแต่เนิ่น ๆ! ที่คุณชนะ นั้นชนะด้วยความเมตตาของฉันเท่านั้น!” เหวินเทียนเฟิ่งกล่าวด้วยดวงตาที่โหดเหี้ยม “มิเช่นนั้น วันนี้ฉันจะไม่ตกอยู่ในสภาพนี้!”

เธอสั่นไปทั้งตัวขณะที่กำลังพูด และเธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเสียใจและความเกลียดชัง หรือเพราะความกลัวที่เผชิญหน้ากับหลินอิ่ง

“สวรรค์คอยเฝ้าดูสิ่งที่คนทำอยู่เสมอ” หลินอิ่งกล่าวเบา ๆ “สิ่งที่คุณทำ คุณคาดหวังว่าจะมีจุดจบอย่างไรหรือ?”

“ผมไม่เคยเกลียดที่คุณขับไล่ผมและแม่ออกจากตระกูลฉี นั้นมันเป็นความผิดของฉีเหอถู” หลินอิ่งกล่าวช้า ๆ “แต่คุณฆ่าคนของตระกูลฉีทั้งหมด และยังฆ่าฉีเหอถู แล้วคุณยังลอบทำร้ายผมมาตลอด เพราะฉะนั้นคุณสมควรตาย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท