ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 663 จะคอยดูว่าคุณจะสามารถเรียกใครมาได้

บทที่ 663 จะคอยดูว่าคุณจะสามารถเรียกใครมาได้

จางฉีโม่ไม่อยากพูดอะไรกับคนอย่างลู่ฉ่ายเชียและไอ้เฉียน

เธอต้องการให้ลูกน้องของหลินอิ่งมาแก้ปัญหาเรื่องวุ่นวายเหล่านี้

ปกติแล้ว จางฉีโม่นั้นไม่ขัดแย้งกับผู้คนจนทำให้เกิดข้อพิพาท และไม่เคยเรียกคนมาจัดการกับเรื่องพวกนี้

ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร เธอก็จะยอมให้คนอื่นอยู่เสมอ

แต่ว่า เนื่องจากวันนี้เป็นเรื่องของหลินอิ่ง ซึ่งทำให้จางฉีโม่รู้สึกโกรธจริง ๆ

เธอไม่อยากเห็นหลินอิ่งที่นอนไม่ได้สติถูกคนอื่นเหยียดหยามและรบกวน

“อะไรนะ? มีคนกำลังมารบกวนท่านหลิน คุณนายหลิน คุณเล่ามาช้า ๆ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เสียงค่อนข้างประหม่าของเสิ่นซานดังมาจากโทรศัพท์

“มีคนต้องการบุกเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยของหลินอิ่ง เสิ่นซาน ฉันหวังว่าคุณจะมาขวางพวกเขาไว้” จางฉีโม่กล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ใครกันที่กล้าหาญเช่นนี้?” เสิ่นซานกล่าวด้วยความประหลาดใจ “คุณนายหลิน ตอนนี้ผมกลับไปที่เมืองชิงหยูนแล้ว ไม่ได้อยู่ในอำเภอเจียงเยว่ โปรดยกโทษให้ผมด้วย เป็นเพราะธุรกิจของท่านหลินในเมืองชิงหยูนเกิดปัญหา ผมเพิ่งมาถึงเมื่อคืน และมันมีความจำเป็นต้องจัดการทันที”

“แต่ผมให้ลูกน้องคนหนึ่งอยู่ที่อำเภอเจียงเยว่ และรอรับคำสั่งอยู่ใกล้โรงพยาบาลประจำอำเภอ ผมจะให้เขาขึ้นไปข้างบนเดี๋ยวนี้ หากคุณมีปัญหาอะไรก็วางใจให้เขาจัดการได้ เขาชื่อเซเหวินเชิง ถือเป็นบุคคลสำคัญของอำเภอเจียงเยว่คนหนึ่งเช่นกัน และสามารถจัดการเรื่องปกติทั่วไปได้ หากมีสถานการณ์ไม่ดี ผมจะรีบกลับมาที่อำเภอเจียงเยว่ทันที และหากมีปัญหาใด ๆ คุณติดต่อผมได้ตลอดเวลา” เสิ่นซานกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“อ้อ คุณเสิ่นไม่ได้อยู่ในอำเภอเจียงเยว่ งั้นคุณให้ลูกน้องของคุณมาจัดการเถอะ” จางฉีโม่กล่าว

“ครับ คุณนายหลิน อีกสักครู่ผมจะส่งเบอร์โทรศัพท์ของเซเหวินเชิงลูกน้องผมให้คุณ หลังจากวางสายแล้วผมจะติดต่อเขาทันที” เสิ่นซานกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“อืม”

จางฉีโม่กล่าวประโยคหนึ่ง แล้วก็วางสาย

เสิ่นซานนั่งอยู่ในสำนักงานด้วยท่าทางประหม่า และรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เขารีบโทรไปแจ้งลูกน้องตนเองที่อยู่ในอำเภอเจียงเยว่

เรื่องที่เกี่ยวข้องของภรรยาหลินอิ่งนั้น เขาไม่กล้าประมาทเลินเล่อแม้แต่น้อย

เดิมเสิ่นซานและเจียงฉีตั้งใจที่จะเฝ้าปกป้องคุ้มครองอยู่ในอำเภอเจียงเยว่จนกว่าหลินอิ่งจะฟื้น

เพียงแต่มันเกิดเรื่องขึ้นอย่างกะทันหัน

เสิ่นซานและเจียงฉีรีบออกไปจากอำเภอเจียงเยว่แล้วกลับไปที่เมืองชิงหยู นั้นเป็นเพราะว่ามีชายหนุ่มที่มีฐานะภูมิหลังลึกลับ เป็นยอดฝีมือ และฐานะร่ำรวยปรากฏตัวที่เมืองชิงหยูนอย่างกะทันหัน

ทันทีที่พวกเขามาถึง พวกเขาก็กวาดล้างบริษัทธุรกิจหลายแห่งของท่านหลินที่เสิ่นซานและเจียงฉีรับผิดชอบดูแลอย่างต่อเนื่อง

ชายหนุ่มอ้างว่าตนเองเป็นคนของตระกูลหลิน รู้สึกจะชื่อว่าหลินชิงเย่?

ทันทีที่เขามาถึงมณฑลตุงไห่ก็แสดงความก้าวราวและดุร้าย ที่เขามาที่นี่ก็เพราะท่านหลิน และข่มขู่ว่าให้ท่านหลินออกมาพบเขา

ด้วยเหตุนี้ คนของเสิ่นซานที่อยู่ในเมืองชิงหยูนนั้นไม่สามารถรับมือได้ ดังนั้นเขาและเจียงฉีจึงรีบกลับไปที่เมืองชิงหยูนเพื่อรับจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน

เพราะธุรกิจที่ถูกกวาดล้างเหล่านั้นคือธุรกิจที่ท่านหลินมอบให้พวกเขาดูแล

หลินอิ่งหมดสติไม่รู้สึกตัว และผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพวกเขาจะปล่อยไว้ไม่สนใจไม่ได้

มิฉะนั้น เมื่อท่านหลินฟื้นแล้วพวกเขาจะเผชิญหน้ากับท่านหลินอย่างไร

ด้านจางฉีโม่ที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการโทร

รอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามปรากฏบนใบหน้าของไอ้เฉียน และกล่าวถากถางว่า “เกิดอะไรขึ้น? จะโทรเรียกคนมาจัดการผมหรือ?

“น่าตลกจริง ๆ จะมาเสแสร้งที่นี่ทำไม? แม้แต่สามีตนเองก็ถูกคนทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ แต่ก็ยังมาเสแสร้งทำเป็นว่ามีตนเองมีอำนาจต่อหน้าผมอีก?”

ไอ้เฉียนกล่าวด้วยความเหยียดหยาม

ในสายตาของเขา พฤติกรรมการโทรของจางฉีโม่นั้นช่างน่าขำจริง ๆ

แม้แต่หลินอิ่งก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอนาถ จากการถูกทำร้ายจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา

ยังคงเสแสร้งทำเป็นว่าตนเองมีเส้นสายอีก? จะข่มขู่ใครหรือ?

“เอาล่ะ โทรหาคนของคุณมาเลย ผมจะคอยดูว่า คนที่คุณโทรเรียกมาจะร้ายกาจสักแค่ไหน ผมรู้จักผู้คนในอำเภอเจียงเยว่ไม่น้อย ผมจะคอยดูว่าคุณรู้จักใครบ้าง” ไอ้เฉียนกล่าวอย่างไม่แยแส

หลังจากนั้น ไอ้เฉียนก็นั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ด้านนอกของห้องพักผู้ป่วยด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง

“ฮ่า ๆ เสแสร้งได้เก่งจริง ๆ แล้วยังโทรศัพท์เรียกคนมาอีก? คิดจะมารังแกครอบครัวเราและคิดว่าพวกเราไม่มีเส้นสายในอำเภอเจียงเยว่หรือ?” ลู่ฉ่ายเชียกล่าวเยาะเย้ย “ไอ้เฉียน คุณก็โทรเรียกเพื่อนคุณมาสองสามคน ฉันจะคอยดูว่า ครอบครัวของพวกคุณมีเส้นสายใหญ่แค่ไหนในอำเภอเจียงเยว่ ยังจะมาเสแสร้งอีก?”

“ฉันแค่อยากให้พวกคุณไปจากที่นี่ เพราะคุณกำลังสร้างปัญหาอยู่ที่นี่อย่างไม่มีเหตุผล” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห

กริ้ง ๆ

ขณะนี้ โทรศัพท์มือถือของจางฉีโม่ดังขึ้น

เป็นหมายเลขท้องถิ่นที่ไม่คุ้นเคย

“สวัสดีค่ะ คุณคือ?” จางฉีโม่ถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“สวัสดีครับ คุณนายหลิน ผมชื่อเซเหวินเชิงเป็นลูกน้องของท่านเสิ่นซาน” เสียงที่นอบน้อมของผู้ชายดังออกมาจากโทรศัพท์

“คุณนายหลิน ตอนนี้มาผมมาถึงโรงพยาบาลที่หนึ่งอำเภอแล้ว ไม่รู้ว่าคุณอยู่ที่ชั้นไหน คุณต้องการให้ผมทำอะไร?”

“อยู่บนทางเดินของชั้นแปด” จางฉีโม่กล่าว

“โอเค คุณรอสักครู่ ผมจะขึ้นลิฟต์ไปทันที”

หนึ่งนาทีต่อมา

เสียงติ๊ด ประตูลิฟต์ของโรงพยาบาลเปิดออก

มีชายหนุ่มหน้าดุร้ายหลายคนที่สวมชุดสูทเดินออกมาจากลิฟต์ คนที่เป็นผู้นำสวมชุดสูททำงานที่เป็นทางการ และสวมแว่น ดูสง่าเป็นอย่างมาก แต่แววตากลับดุดัน ดูแล้วไม่เหมือนมาดี

“ห๊ะ? นี่ นี่คือ? ประธานเซ?”

ทันทีที่พวกเขาเห็นคนออกจากลิฟต์ ไอ้เฉียนและภรรยาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าของพวกเขาแสดงถึงความประหลาดใจ

ชายชุดสูทสวมแว่นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในอำเภอเจียงเยว่ ชื่อเซเหวินเชิงที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มธุรกิจมืดและกลุ่มธุรกิจปกติ

บุคคลนี้ เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของอำเภอเจียงเยว่ที่ทุกคนรู้จักกันดี ว่ากันว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาในเมืองชิงหยูนซึ่งเป็นเมืองเอก

“สวัสดีครับ คุณนายหลิน ผมเซเหวินเชิง ท่านเสิ่นซานเป็นคนให้ผมมาที่นี่ครับ คุณมีอะไร โปรดสั่งมาได้เลยครับ”

เซเหวินเชิงเดินไปอยู่ตรงหน้าจางฉีโม่ โค้งตัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม

เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของไอ้เฉียนและลู่ฉ่ายเชียซีดเผือด สายตามองไปที่จางฉีโม่ด้วยความตกใจ

พวกเขาไม่คาดคิดว่า จางฉีโม่แค่โทรศัพท์กริ้งเดียว ก็สามารถเรียกเจ้าพ่ออย่างเซเหวินเชิงมาคอยรับคำสั่งได้?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท