ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 681 คณะกรรมการผู้อาวุโสตระกูลหลิน

บทที่ 681 คณะกรรมการผู้อาวุโสตระกูลหลิน

“คุณชายหลินอิ่ง คุณพูดถูก”ผู้อาวุโสฉินพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน”สำหรับระดับฝีมือบูโดแล้ว คุณดีกว่าชิงเย่มาก ยังไงคุณก็เป็นรุ่นพี่ที่สูงกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องมาอะไรมากมายกับรุ่นเด็กกว่าอย่างชิงเย่เลย?”

ได้ยินเช่นนั้น หลินอิ่งกระตุกคิ้วเล็กน้อย ไม่พูดอะไรมาก

“คุณชายหลินอิ่ง ผมขอแนะนำตัวหน่อย ผมฉินเหิงเยว่ เป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้อาวุโสตระกูลหลิน”ผู้อาวุโสฉินค่อยๆ พูดขึ้น”ครานี้ผมได้รับคำสั่งมาจากแม่เฒ่า ให้ลงเขามาเชิญคุณชายหลินอิ่ง”

“คณะกรรมการผู้อาวุโสตระกูลหลิน?”หลินอิ่งคิ้วขมวดเล็กน้อย เหลือบมองผู้อาวุโสฉิน

ได้ยินชื่อนี้ ฉินเหิงเยว่มีฐานะในตระกูลหลินแห่งลังยาสูงมาก

เขาเคยได้ยินมาว่าในตระกูลลึกลับล้วนมีกลุ่มผู้อาวุโส เป็นศูนย์กลางการตัดสินใจของตระกูล และควบคุมอำนาจของตระกูลไว้อย่างแท้จริง

งั้นแสดงว่าคนคนนี้เป็นคนที่ตระกูลหลินส่งมาให้จัดการกับเรื่องสำคัญๆ

ผู้อาวุโสฉินผู้นี้ หลบอยู่ในเงามืดมาตลอด นั่งมองตัวเองทำให้หลินชิงเย่ถึงทางตัน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะออกมา

เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาแอบแฝง

หลินอิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมือนจะสรุปได้แล้ว ว่าผู้อาวุโสฉินเป็นคนสนิทของแม่เฒ่าตระกูลหลิน

แม่เฒ่าผู้นั้นคงส่งมาลองหยั่งเชิง และตรวจสอบฝีมือตน

“ใช่ครับ คุณชายหลินอิ่ง คณะกรรมการผู้อาวุโสตระกูลหลิน มีอำนาจการตัดสินใจสูงสุดในตระกูลหลิน ผมมีอำนาจในการพูด สามารถคุยกับคุณในนามแม่เฒ่าได้”ฉินเหิงเยว่พูดอย่างไร้กังวล

“คุย?”หลินอิ่งยิ้มเยาะ”คุณฉิน แม่เฒ่าแห่งตระกูลหลินให้คุณมาคุยกับผมดื้อๆ แบบนี้นะเหรอ?”

“ทั้งเก็บกวาดกิจการในตี้จิง ทำลายแผนในเมืองชิงหยูนของผม แตะต้องคนของผม อีกทั้งประกาศว่าจะยึดอิทธิพลและทรัพย์สินของผม?”

“นี่คือน้ำใสใจจริงของตระกูลหลินงั้นเหรอ?”

ได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสฉินสีหน้าเรียบเฉย ราวกับพอจะเดาออกไว้แล้วว่าหลินอิ่งจะถามแบบนี้

“ฮ่าๆ ๆ “ผู้อาวุโสฉินยิ้มแห้ง”คุณชายหลินอิ่ง คุณคิดมากเกินไป ช่วงที่คุณไม่ได้อยู่ตี้จิงมีคนด้านนอกตั้งมากมายที่สอดส่องอิทธิพลอุตสาหกรรมของคุณ คนของตระกูลหลินจึงวางแผนออกโรง ดูแลกิจการของคุณด้วยตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ”

“คุณชายหลินอิ่งก็รู้ดี ว่าคุณมีศัตรูที่ซ่อนอยู่ในตี้จิงมากแค่ไหน คุณฆ่าลูกศิษย์ของท่านเฉินเฟิง แน่นอนว่าท่านเฉินเฟิงต้องหมายหัวคุณ อีกทั้งยังกำจัดคนชั้นสูงของสำนักยุทธ์เชียนถึงสองคน คนต้าเหอกำลังวางแผนคิดบัญชีกับคุณ”

“แต่ละเรื่องแม่เฒ่าเป็นคนรับไว้แทนคุณชาย”

“นี่ถือเป็นน้ำใจของแม่เฒ่าเลย ไม่อยากเห็นคนนอกยึดเอาธุรกิจ ที่คุณชายหลินอิ่งทำมาอย่างยากลำบากไป คุณชายหลินอิ่งอย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด”

ผู้อาวุโสฉินพูดเต็มไปด้วยความจริงใจ เป็นห่วงความปลอดภัยของหลินอิ่งสุดๆ

หลินอิ่งยิ้มเยาะไม่พูดอะไร

เป็นคนแก่ที่รู้เยอะจริงๆ ผู้อาวุโสฉินพูดอย่างไม่มีช่องโหว่ใดเลยๆ

เห็นๆ อยู่ว่าตระกูลหลินกำลังสอดส่องอิทธิพลอุตสาหกรรมของตน แต่เขากลับพูดว่าคิดแทนตน

ผู้อาวุโสฉินสีหน้ายิ้มแย้ม พลางพูดต่อ:”คุณชายหลินอิ่ง แม่เฒ่าถึงกับแหกกฎพาตาของคุณกลับภูเขาลังยาเพื่อคุณเลยนะ ให้ความสำคัญกับคุณมากๆ ”

“เธอแก่แล้ว คิดถึงหลาน ดังนั้นเชิญคุณกลับไปเจอที่ภูเขาลังยาเถอะ ไม่ทราบว่าคุณชายหลินอิ่งมีความเห็นอย่างไรบ้าง?”

จะปฏิบัติกับหลินอิ่งยังไง

ผู้อาวุโสฉินคิดไว้แล้ว

แม่เฒ่าตระกูลหลินเคยสอนและกำชับเขา ว่าให้มีแผนสำรองไว้บ้าง

ถ้าหลินอิ่งไม่โอเคจริงๆ ก็จัดการให้จบในคราวเดียว

ถ้าหลินอิ่งดูท่าไม่ดี ก็รับกลับตระกูลหลิน ฝึกฝนให้ดี

นี่คือที่แม่เฒ่าหมายถึง

แต่ที่ผู้อาวุโสฉินคิดไว้ ก็เด่นชัดเช่นกัน

หลังจากเห็นหลินอิ่งแสดงบูโดขั้นสูงออกมาเช่นนี้ เขาก็เริ่มอยากถอย

ไม่ยอมมีปัญหากับคุณชายที่มีอนาคตไกลอย่างหลินอิ่ง เพียงเพราะเด็กบุ่มบ่ามอย่างหลินชิงเย่หรอก

ใครแข็งแกร่งกว่าใครอ่อนแอกว่า สามารถแยกได้อย่างชัดเจนภายในพริบตา

อำนาจทางธุรกิจของหลินอิ่งที่มีในโลกธรรม บวกกับบูโดระดับนี้ อายุเท่านี้ และการให้ความสำคัญของแม่เฒ่าตระกูลหลิน

อนาคตแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่แน่นอน!

ทำให้คนเคารพยำเกรง ไม่กล้ามีเรื่องด้วย

“เรื่องไปตระกูลหลิน ไว้ค่อยคุยกัน”หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย”แต่เรื่องตรงหน้านี่สิจัดการให้ชัดเจนก่อน”

“หลินชิงเย่ตามฆ่าผมตั้งแต่ตี้จิงจนถึงตำบลเล็กๆ จะคิดบัญชีนี้ยังไงดี?”

“วันนี้จะจัดการหลินชิงเย่เจ้าหมอนี่ไหมละ?”

หลินอิ่งมองผู้อาวุโสฉิน ถามอย่างเย็นชา

“คือ……”

เมื่อเผชิญกับท่าทีเผด็จการเช่นนี้ของหลินอิ่ง ผู้อาวุโสฉินก็เกิดความลำบากใจ หันมองหลินชิงเย่อย่างลังเล

“หลินอิ่ง คุณรังแกกันเกินไปแล้ว!ผู้อาวุโสฉินพูดกับคุณดีๆ ก็คิดว่าเขาไว้หน้าคุณแล้วเหรอ?”หลินชิงเย่โวยวาย

“ผู้อาวุโสฉิน!คุณยังจะพูดมากความอะไรกับหลินอิ่งทำไม?คนผู้นี้เหี้ยมโหดและดื้อรั้น ก่อนหน้านี้ฆ่าผู้อาวุโสตระกูลหลินไปถึงสองคน!ตอนนี้มาใช้แผนสกปรกโจมตีผม แถมยังจะให้ผมก้มหัวขอโทษอีก ฝันไปเถอะ!”หลินชิงเย่พูดอย่างเดือดดาล

“ผู้อาวุโสฉิน ผมคิดว่าคุณปฏิบัติตามกฎครอบครัวดีกว่า จับมัดหมอนี่กลับตระกูลหลิน ให้คนบังคับกฎลงโทษเขา!จะไปเกรงใจเขาทำไม?”หลินชิงเย่พูดด้วยความหนักแน่น

หลินชิงเย่วางความหวังของวันนี้ทั้งหมดไว้ที่ผู้อาวุโสฉิน

“คุณฉิน คุณตัดสินใจเรื่องนี้ไหม?หากไม่ได้ผมจะจัดการเอง!”หลินอิ่งพูดอย่างสบายๆ มีความน่าเกรงขามในน้ำเสียง

ได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองหลินชิงเย่อย่างจริงจัง

“คุณชายเก้า คุณคุกเข่าเถอะ”

ผู้อาวุโสฉินพูดอย่างเคร่งขรึม

“ว่าไงนะ?ผู้อาวุโสฉินคุณก็ให้ผมคุกเข่าให้หลินอิ่งงั้นเหรอ?นี่มัน?”หลินชิงเย่ราวกับได้ยินผิดไป มองผู้อาวุโสฉินด้วยสีหน้าตกตะลึง

“นี่ท่าน ท่าน……”

“ไม่เก่งพอก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้”ผู้อาวุโสฉินพูดอย่างเคร่งขรึม

“คุณชายเก้า คุณเป็นคนพูดเอง จะคืนคำไม่ได้ คุณควรยอมรับกรรมของวันนี้”ผู้อาวุโสฉินพูดอย่างจริงจัง”ผมสามารถสกัดกั้นคุณชายหลินอิ่งแทนคุณได้ แต่เช่นนั้นในอนาคตจะยังใจกว้างอยู่ไหม?บูโดคุณจะยังสามารถก้าวหน้าไหม?”

“การคุกเข่าวันนี้ คุณไม่ได้ขายหน้า”

“ถ้าพูดจากแง่ใดแง่หนึ่ง การที่แพ้ให้กับผู้อาวุโสกว่าที่เก่งกาจเช่นนี้ นับว่าเป็นโชคแกบูโดของคุณ”

“คุณควรตั้งสติ และเจียมตัว คุกเข่าขอโทษ ละอายใจต่อความผิด แล้วจะกล้าที่จะแก้ไข หลังจากนี้กลับไปคิดทบทวนให้ดี ทบทวนถึงสงครามวันนี้ ตั้งใจไตร่ตรอง แล้วจิตใจจะสมบูรณ์แบบ”

ผู้อาวุโสฉินค่อยๆ พูดจนจบ จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก

หลินชิงเย่มีความสามารถบูโดจนถึงทุกวันนี้ได้ขนาดอายุยังน้อย แน่นอนว่าไม่ได้โง่ เขาแค่ร้อนใจที่วันนี้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่

หากหลินอิ่งเป็นผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงในแวดวงลึกลับ แน่นอนว่าหลินชิงเย่ก็ยอมคุกเข่าให้ด้วยความศรัทธา และยอมรับความพ่ายแพ้

ความอัปยศในวันนี้ จะเป็นบันไดให้บูโดของเขาสูงไปอีกขั้นในวันข้างหน้า

เพียงแต่ในใจหลินชิงเย่นั้นไม่ยอมรับสถานะของหลินอิ่ง ดูถูกหลินอิ่ง แค้นฝังใจ กลืนความโกรธแค้นนี้ไม่ลงก็เท่านั้น

เมื่อได้ยินคำสั่งสอนอันลึกซึ้งของผู้อาวุโสฉิน

ท่าทีแปลกๆ ของหลินชิงเย่ค่อยๆ กลับมาสงบ สายตาซับซ้อน มองหลินอิ่งด้วยความขมขื่น

เหมือนเขาจะคิดอะไรได้

ปึก!

ทันใดนั้น หลินชิงเย่กัดฟัน หันหน้าไปทางหลินอิ่ง แล้วคุกเข่าลงไปอย่างจัง แล้วโขกศีรษะแรงๆ หนึ่งทีจนเกิดเสียงดังพลั่ก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท