ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 666 ที่อยู่ของหลินอิ่ง

บทที่ 666 ที่อยู่ของหลินอิ่ง

เมื่อเผชิญหน้ากับหลินชิงเย่อย่างกะทันหัน

สีหน้าของเสิ่นซานและเจียงฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นหลินชิงเย่มาก่อน แต่หลังจากที่พวกเขาได้ฟังน้ำเสียงก็สามารถเดาออกได้

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือหลินชิงเย่ คนที่ทำให้ตี้จิงและเมืองชิงหยูนโกลาหล และคนที่กำลังสืบหาที่อยู่ของประธานหลิน

“ผมคือเสิ่นซาน คุณเป็นใคร? คุณจะทำอะไร?” เสิ่นซานถามอย่างเย็นชา

ในขณะที่กำลังพูด ก็มีกลุ่มชายหนุ่มใส่ชุดสูทมายืนอยู่ข้างหลังเสิ่นซาน แล้วจ้องเขม็งไปที่หลินชิงเย่

หลินชิงเย่ยิ้มเยาะเย้ย แล้วเหลือบมองเสิ่นซานและพรรคพวกของเขาด้วยสายตาที่เหยียดหยาม

“ผมชื่อหลินชิงเย่ คุณน่าจะเคยได้ยินแล้ว ผมไปที่บริษัทหลายแห่งของคุณในเมืองชิงหยูน เพื่ออยากจะพบคุณ” หลินชิงเย่กล่าวด้วยท่าทางหยอกล้อ

“คุณอย่าหลบผมอีกเลย เกมซ่อนหามันไม่สนุกเลยสักนิดเลย” หลินชิงเย่กล่าวช้า ๆ “ตอนนี้หลินอิ่งอยู่ที่ไหน”

“พวกเราไม่รู้ว่าประธานหลินอยู่ที่ไหน” เจียงฉีกล่าวเคร่งขรึม “คุณต้องการพบประธานหลินด้วยธุระอะไร พวกเราจะหาโอกาสรายงานให้ประธานหลินทราบ”

“อ้อ? ไม่รู้?” หลินชิงเย่มองเจียงฉีอย่างเย็นชา “คุณกำลังพยายามบังคับให้ผมแงะปากของคุณหรือ?”

“คุณชายคนนี้ โปรดระวังกิริยาและคำพูดของคุณด้วย ประธานหลิน ไม่ใช่ใครก็ตามที่อยากพบแล้วจะได้พบ” เสิ่นซานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม มองหลินชิงเย่ด้วยความระมัดระวัง

“ไม่ใช่ใครก็ตามที่อยากพบแล้วจะได้พบหรือ?” หลินชิงเย่กล่าวเยาะเย้ย มองไปที่เสิ่นซานอย่างหยอกล้อ

“คุณคิดว่าหลินอิ่งเก่งเจ้านายของคุณมากนักหรือ? อยู่ต่อหน้าผมแล้วยังกล้าเสแสร้งอีก?”

“ผมไม่มีความอดทนที่จะคุยกับพวกคุณอีกต่อไปแล้ว เต่าหดหัวอย่างหลินอิ่งเจ้านายของคุณ แม้แต่อาณาเขตของตนเองถูกคนอื่นแย่งชิงไปครอบครองมากมายแล้วยังไม่กล้าออกมาตอบโต้อีก”

“คนแบบนี้คู่ควรให้พวกคุณติดตามเขาอยู่อีกหรือ?”

หลินชิงเย่ถามด้วยท่าทางหยอกล้อ

“คุณต้องการจะมาหาเรื่องใช่ไหม?” เสิ่นซานกล่าวอย่างเย็นชา ไม่สามารถทนต่อท่าทางที่หยิ่งผยองของหลินชิงเย่ได้

“ผมมาหาเรื่องแหละ แล้วท่านเสิ่นซานแห่งมณฑลตุงไห่ อยากทำอะไร?” หลินชิงเย่กล่าวหยอกล้อ

เขาไม่เคยเห็นคนธรรมดาอย่างเสิ่นซานอยู่ในสายตา

เบื้องหลังของเขามีตระกูลหลินแห่งลังยาที่ทรงอำนาจอยู่ ซึ่งเจ้าพ่อท้องถิ่นอย่างเสิ่นซานไม่สามารถเทียบได้

“ฮ่า” เสิ่นซานหัวเราะเยาะ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

จากนั้น เขาดีดนิ้ว

หลังจากนั้นมีบอดี้การ์ดร่างกำยำหลายคนเดินลงมาจากรถออฟโรคที่จอดอยู่ข้างหลังเสิ่นซาน

“ทำไม? คุณจะต่อสู้กับผมหรือ?” หลินชิงเย่ยิ้มหยอกล้อ มีความโหดเหี้ยมปรากฏอยู่ในดวงตา

ทันทีที่กล่าวจบ หลินชิงเย่ก็พุ่งออกไปทันที

มีเสียงระเบิดดังสนั่น

หลินชิงเย่ใช้หมัดและเท้าเตะต่อยไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้บอดี้การ์ดร่างกำยำที่ลงมาจากรถนั้นล้มลงกับพื้นทีละคน

และก่อนที่เสิ่นซานและเจียงฉีจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง

ลูกน้องของหลินชิงเย่ก็ได้ลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว จับพวกเขาสองคนไว้แล้วลากขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นหลินชิงเย่ก็ขึ้นรถสปอร์ตสีน้ำเงินและขับออกตามหลังรถสีดำไปอย่างรวดเร็ว

จับคน และพาคนขึ้นรถ การกระทำเหล่านี้ค่อนข้างชำนาญเป็นอย่างมาก

แค่สักครู่ เสิ่นซานและเจียงฉีถูกหลินชิงเย่จับตัวไปแล้ว และบอดี้การ์ดที่อยู่รอบตัวพวกเขาถูกทำร้ายจนลงไปนอนคร่ำครวญอยู่บนพื้น

……

ยี่สิบนาทีต่อมา

ภายในอาคารโรงงานร้างในเขตชานเมืองชิงหยูน

เจียงฉีและเสิ่นซานถูกกักขังอยู่ในห้องสองห้องตามลำพัง

ถูกคนหนุ่มหลายคนทรมานเพื่อให้เสิ่นซานยอมบอกที่อยู่ของหลินอิ่ง

หลินชิงเย่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในห้องของเสิ่นซาน จ้องเสิ่นซานด้วยสายตาที่ดุดัน

“หลินอิ่งเดินทางจากตี้จิงมามณฑลตุงไห่ แล้วก็ได้ติดต่อคุณ แล้วคุณยังกล้ากล่าวว่าตนเองไม่รู้ว่าหลินอิ่งอยู่ที่ไหนอีกหรือ?” หลินชิงเย่ถามอย่างเย็นชา

“ผมไม่รู้ว่าคุณหลินอยู่ที่ไหน….” เสิ่นซานนั่งอยู่บนเก้าอี้ รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แข็งก้าว

จนถึงตอนนี้เสิ่นซานก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลินอิ่ง

และไม่รู้ว่าหลินชิงเย่ที่อยู่ตรงหน้าตามหาหลินอิ่งเพราะเหตุใด

เขารู้เพียงว่า จะต้องเกิดเรื่องใหญ่กับประธานหลิน และถูกคนอื่นวางแผนทำร้าย

เสิ่นซานเป็นคนที่รู้จักบุญคุณคน ประธานหลินเป็นคนที่มีบุญคุณต่อเขา และเขาจะไม่ทรยศประธานหลินเด็ดขาด

“ฮ่า คุณเป็นคนที่ปากแข็ง แม้ว่าตนเองต้องตาย ก็จะเก็บความลับให้หลินอิ่งหรือ?” หลินชิงเย่ถามอย่างเย็นชา ดวงตาที่เคร่งขรึมนั้นดุดันและน่ากลัวเป็นอย่างมาก

มีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเสิ่นซาน สีหนาของเขาเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่ตอบอะไร

“ถ้าไม่พูด ก็ทุบตีจนกว่าเขาจะพูดออกมา!”

หลินชิงเย่กล่าวด้วยความโมโห โบกมือให้คำสั่ง แล้วเดินออกจากห้องด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

“คนแซ่เจียงยอมบอกหรือยัง? ยังไม่ยอมบอกที่อยู่ของหลินอิ่งเช่นกัน?” หลังจากเดินออกจากห้อง หลินชิงเย่มองผู้ติดตามหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างอย่างเย็นชา และถามด้วยความน่าเกรงขาม

“คุณชายเก้า คนคนนี้ก็ไม่ยอมบอก ผมใช้เครื่องมือทรมานแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมปริปากพูด” ผู้ติดตามหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม

“อ้อ ถ้ารู้แต่แรกผมก็จะได้พาผู้เชี่ยวชาญด้านการทรมานจากตระกูลมาด้วย ไม่คิดว่าลูกน้องของหลินอิ่งที่มีความสามารถไม่มาก แต่มีความจงรักภักดี” หลินชิงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงถามต่อไปว่า “คุณได้ตรวจสอบที่อยู่ล่าสุดของชายสองคนนี้แล้วหรือยัง? ช่วงนี้พวกเขาสองคนไปที่ไหนมาบ้าง?”

“คุณชายเก้า ผมใช้ความสัมพันธ์ไปตรวจสอบที่สำนักงานหวู่อันมาแล้ว ช่วงก่อนคนสองคนนี้ออกจากเมืองชิงหยูน และกลับมาเมื่อสองวันก่อน ตรวจพบรถของพวกเขาไปมาบนทางหลวงจากกล้องวงจรปิด” ผู้ติดตามหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม “หลินอิ่งก็อยู่ในรถ”

“อ้อ พวกเขาเคยเดินทางไปกับหลินอิ่ง?” หลินชิงเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ “แล้วพวกคุณไปตรวจสอบที่บ้านภรรยาของหลินอิ่งในมณฑลตุงไห่แล้วหรือยัง?”

“เรียนคุณชายเก้า ไปตรวจสอบมาแล้ว ครอบครัวภรรยาของหลินอิ่งออกจากเมืองชิงหยูนหนึ่งเดือนกว่าแล้ว เห็นว่าพวกเขาออกไปท่องเที่ยว”

หลินชิงเย่หรี่ตาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ผมละเลยประเด็นนี้ไป ที่หลินอิ่งกลับไปที่มณฑลตุงไห่นั้นก็เพื่อไปหาภรรยา ถ้าเขาไม่อยู่ที่เมืองชิงหยูน งั้นเขาต้องไปหาภรรยาที่มณฑลตุงไห่แน่นอน”

หลินชิงเย่นึกอะไรบางอย่างได้อย่างกะทันหัน แล้วดวงตาก็เปล่งประกายความชั่วร้าย

หลังจากนั้นหลินชิงเย่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออก

“ที่ผมให้คุณตรวจสอบสถานที่ที่ภรรยาของหลินอิ่งไปนั้น คุณตรวจพบหรือยัง?” หลินชิงเย่ถาม

“เรียนคุณชายเก้า ผมได้พบเส้นทางการเดินทางส่วนตัวของจางฉีโม่ภรรยาของหลินอิ่งแล้ว เธอซื้อตั๋วรถไปอำเภอเจียงเยว่เมื่อเดือนที่แล้ว จากการตรวจสอบ เป็นบ้านที่อยู่อาศัยของแม่ยายหลินอิ่ง” เสียงที่นอบน้อมดังออกมาจากโทรศัพท์

“ปะติดปะต่อได้แล้ว ไม่ผิดแน่นอน” หลินชิงเย่วางสายโทรศัพท์ รอยยิ้มเคร่งขรึมปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว ให้ทุกคนรวมตัวและออกเดินทางไปยังอำเภอเจียงเยว่ทันที”

“หลินอิ่งอยู่อำเภอเจียงเยว่แน่นอน คราวนี้ผมจะคอยดูว่าเขาจะสามารถไปหลบซ่อนตัวที่ไหนได้อีก”

“ครับ!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท