ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 687 เป็นที่จับตามองของคนจำนวนมาก

บทที่ 687 เป็นที่จับตามองของคนจำนวนมาก

“จะสู้กับผม พวกคุณสองคนยังห่างไปมาก”

หลินสวนถูยิ้มเยาะ สายตาเต็มไปด้วยท่าทีล้อเลียน

จากพลังอันแข็งแกร่งหลายสิบปีของเขา จะจัดการเย่เฮยกับหวงชิงซานนั้นไม่คุ้มที่จะพูดถึง

เพราะหลินสวนถูเป็นคนรุ่นเก่าแกของตระกูลหลินแห่งลังยา ซึ่งเป็นลูกชายของนายท่านใหญ่ตระกูลหลิน แม้จะไม่ถูกมองว่าเป็นคนโดดเด่นในคนรุ่นเดียวกัน แต่การฝึกฝนก็เป็นวิชาความรู้ต้นสำหรับของตระกูลหลินแห่งลังยา ได้รับการสืบทอดจากนายท่านใหญ่ตระกูลหลินโดยตรง

ทักษะนี้ ไม่ใช่ใครจะทัดเทียมได้

ตูม!

จากนั้น หลินสวนถูสะบัดมือปล่อยกำลังภายในออกมา ส่งไปยังร่างกายเย่เฮยและหวงชิงซาน

พวกเขาสองคนลอยกระเด็นออกไปอย่างกับว่าว

แล้วร่วงลงพื้นอย่างจังเสียงดังตุบ

“แค่กๆ ……”

เย่เฮยและหวงชิงซานพลิกตัวลุกขึ้นทันที ไอแห้งสองสามที มีเลือดไหลตรงมุมปาก

“ถ้าอยากบีบให้ตายจริงๆ คุณก็ต้องยอมจ่ายเช่นกัน”

เย่เฮยพูดเสียงเยือกเย็น

แม้เขาจะแพ้ในครั้งนี้ แต่พลังที่แสดงออกมานั้นไม่ได้แพ้แม้แต่น้อย

สำหรับพวกเขาสองคนแล้ว ฝีมือบูโดของหลินสวนถูนั้นไม่อาจชนะได้

แต่ถ้าจะเอาถึงตาย ก็สามารถทำให้หลินสวนถูบาดเจ็บได้ไม่น้อย

“ฆ่าพวกคุณผมก็แค่ต้องยอมจ่ายเล็กๆ น้อยๆ “หลินสวนถูพูดอย่างเย้ยหยัน”พวกคุณจะลองเล่นกับชีวิตก็ได้นะ ดูว่าใครกันแน่ที่จะเสียเปรียบกว่า”

หลินสวนถูเอามือไขว้หลังทั้งสองข้าง ท่าทางเหมือนเขาควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด

“งั้นก็ลองดู”

เย่เฮยพูดอย่างสบายๆ สายตาเผยรังสีอำมหิตอันแรงกล้า พลังก็เปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นมังตัว

ขณะนั้นเองหวงชิงซานก็ตบไหล่เขาเบาๆ พลางมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

“คุณเย่ อดทนไว้ สถานการณ์โดยรวมนั้นสำคัญ พวกเราต้องรอคุณชายอิ่งกลับมา”

หวงชิงซานพูดเบาๆ น้ำเสียงหนักหน่วง

เขาดูออกว่าเย่เฮยจะสู้สุดชีวิตโดยไม่สนใจอะไรจริงๆ

ตอนนี้ทำได้เพียงห้ามปราม

เพราะพวกเขาทั้ง5คนไม่ได้เตรียมจะพลิกโต๊ะกับหลินสวนถู

ถ้าจะเล่นกับชีวิต คืนนี้คงตายกันที่นี่ทุกคน

เช่นนั้นแม้คุณชายอิ่งกลับมา ก็คงด่าพวกเขาว่าโง่เขลา

ดังคำกล่าวที่ว่า คนฉลาดจะหลีกเลี่ยงความเสียเปรียบตรงหน้า

“ฮ่าๆ ไม่กล้างั้นเหรอ?”หลินสวนถูพูดเย้ยหยัน”แค่นี้ก็ไม่กล้า!”

“ชายหนุ่มไม่รู้ความ อย่าไม่รู้กำลังตัวเอง!”

หลินสวนถูวางมาด ถอนหายใจออกมา

“จำคำพูดที่ผมพูดในคืนนี้ไว้ให้ดี ผมให้เวลาพวกคุณคิด24ชั่วโมง”

“มอบทุกอย่างของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงมาซะ จัดการให้ผมให้เรียบร้อย หลังจาก24ชั่วโมงผมจะพาทีมธุรกิจมืออาชีพมารับช่วงต่อ ถ้าถึงตอนนั้นยังไม่เตรียมพร้อมไว้ พวกคุณทั้งหมดก็ตายที่นี่ซะ!”

“แล้วก็อย่าคิดหนี ผมให้คนปิดล้อมภูเขาฉางชิงไว้แล้ว”

พูดจบหลินสวนถูเอามือไขว้หลังทั้งสองข้าง เดินนำกลุ่มชายหนุ่มออกไป

เหลือเพียงเย่เฮยและพวกที่นั่งอยู่ในห้องประชุมด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“คุณเย่ ท่านปู่หวง พวกคุณสองคนไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

นิ่งซวนถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ช่วงที่ทั้งสามคนปะทะกันเมื่อครู่ สู้กันได้อย่างน่ากลัวมาก

กระจกทั้งห้องประชุมแตกหมด บนพื้นระเนระนาด ผนังก็แตกร้าวเป็นจำนวนมาก

คิดไม่ถึงว่ายอดฝีมืออย่างเย่เฮยและท่านปู่หวง เมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวนถูแล้วอ่อนแอเช่นนี้

ในตี้จิงนี้นอกจากคุณชายอิ่งแล้ว ยังจะมีใครจัดการกับหมายเลขหนึ่งอย่างหลินสวนถูได้อีก?

“ผมไม่เป็นอะไรมาก”หวงชิงซานพูดด้วยความจริงจัง

เย่เฮยพูด:”อาการบาดเจ็บของผมนั้นไม่สำคัญ คุณนิ่งซวน เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือรีบติดต่อทางด้านประธานหลิน ดูว่ามีคำตอบหรือไม่”

“หากประธานหลินไม่กลับมา พวกเราก็ต้องเตรียมตัวสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง”

นิ่งซวนพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง

“หลินสวนถูพาคนมาแล้ว ต้องปิดล้อมทั้งภูเขาฉางชิงแน่นอน พวกเราออกจากอาคารนี้ไม่ได้แล้วล่ะ……”

“ไม่มีลู่ทางให้ถอยแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดหนักหน่วงของเย่เฮย ทุกคนที่นั่งอยู่ก็หายใจเข้าลึกๆ

เวลา24ชั่วโมงนี้ คงทรมานพวกเขาอยู่ในใจ

“โอเค ผมจะไปติดต่อประธานหลิน และคนของผมที่มณฑลตุงไห่เดี๋ยวนี้ นอกจากนี้ก็มองหาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ดูว่าในเครือข่ายตระกูลกงซุน หรือตระกูลนิ่งแห่งแวดวงลึกลับมีความช่วยเหลืออะไรไหม……”

นิ่งซวนพูดเสียงหนักแน่น แบกรับความกดดันอันใหญ่หลวงไว้

ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาทำได้แค่ขอความช่วยเหลือจากภายนอก

เพราะเรื่องนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้ไปหานิ่งไท่จี๋ คุณท่านของตระกูลตน ใช้ไม้ตายของตระกูลนิ่งในแวดวงลึกลับ

เพียงแต่น่าเสียดายอำนาจของตระกูลนิ่งในแวดวงลึกลับ เมื่อได้ยินว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นตระกูลหลินแห่งลังยา ก็ค่อยๆ เลือกที่จะถอย

แทบทุกคนล้วนโน้มน้าวให้ตระกูลนิ่งเจรจาสันติและประนีประนอมกับหลินสวนถู

ไม่งั้นก็จะเป็นภัยพิบัติร้ายแรง

ใช่ เมื่อเผชิญกับความยากลำบาก การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างตระกูลหลินแห่งลังยา มันใช้ไม่ได้กับความสัมพันธ์แบบสหาย

ไม่มีใครยอมไปรนหาที่ตายกับตี้จิงตระกูลนิ่ง

เป็นเช่นนี้ เมื่อหลินสวนถูกลับไป ทั้ง5คนที่นั่งอยู่ก็ทยอยเริ่มปฏิบัติการ ติดต่อกับทุกฝ่ายเตรียมแผนรับมือไว้หลายๆ แผน

ส่วนหลินสวนถู หลังจากออกจากอาคารหลินซื่อ ก็รีบสั่งให้ชายหนุ่มเกรียงไกรทุกคนปิดล้อมทุกทางเข้าออกของภูเขาฉางชิงทันที และล้อมอาคารหลินซื่อ ไม่ให้ใครเข้าออกเด็ดขาด

ในขณะเดียวกัน

ในคืนนั้นมีข่าวฮือฮาออกมาในตี้จิง

หลินสวนถูประกาศกับภายนอก ว่าหลินอิ่งได้มอบโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงให้เขาดูแลแล้ว และจะจัดการขั้นตอนอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ โดยเชิญทุกกลุ่มบริษัท ทุกตระกูลชั้นสูง ที่เกี่ยวข้องกับโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง มายังอาคารเทียนหลงเพื่อร่วมประชุม

และหลินสวนถูยังประกาศกับภายนอกอีก ว่านี่เป็นการลงโทษหลินอิ่งของภายในตระกูลหลิน หลินอิ่งได้ทำผิดแล้วหลบหนี ไม่กล้ากลับตี้จิง

อีกทั้งยังกล่าวอ้างให้ทุกคนบอกหลินอิ่ง ว่าพรุ่งนี้ให้หลินอิ่งมาที่อาคารเทียนหลง ขอโทษและสาธยายความผิดพลาดของตนต่อหน้าทุกคน

หากหลินอิ่งไม่มา ก็จะแขวนคอหยูจื๋อเฉิงและนิ่งซวนลูกน้องของหลินอิ่งไว้หน้าประตูอาคารเทียนหลง!

ให้ทุกคนดูว่าการอยู่กับหลินอิ่ง จะมีจุดจบยังไง!

ข่าวนี้เรียกได้ว่าเป็นคลื่นซัดขนาดใหญ่

เป็นที่สนใจของผู้คนในตี้จิงจำนวนมาก ทุกคนในตี้จิงล้วนตกตะลึงกับข่าวนี้

ใครก็ไม่อยากสู้กับคนที่รุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์กลางฟ้า อย่างคุณชายอิ่งแห่งตี้จิง คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงขั้นนี้

คิดไม่ถึงว่าเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงที่เจริญขึ้นเรื่อยๆ จะถูกแย่งชิงไป?

หรือคุณชายอิ่งใกล้ถึงเวลาตายแล้ว?ถ้าถูกรังแกหน้าบ้านตัวเองในเขตแดนตี้จิงขนาดนี้คุณไม่กล้าตอบโต้ ไม่กล้ากลับมางั้นเหรอ?

ทุกคนในตี้จิงล้วนสนใจแนวโน้มของเรื่องนี้ทันที ตระกูลจ้าว ตระกูลกงซุน ทุกๆ ตระกูลชั้นสูงล้วนกำลังฟังข่าวและเฝ้าสังเกตการณ์อยู่

เรื่องนี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นที่จับตามองของคนจำนวนมาก

คำจำนวนมากกำลังเฝ้ารอ ว่าพรุ่งนี้ในอาคารเทียนหลงจะเป็นยังไง คุณชายอิ่งจะโผล่มาหรือไม่?

หากครั้งนี้คุณชายอิ่งยังไม่โผล่มา เกรงว่าคงหมดความน่าเชื่อถือ และถอยออกจากตี้จิงตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท