ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 685 เส้นตาย1วัน

บทที่ 685 เส้นตาย1วัน

สนามอาคารหลินซื่อ ภูเขาฉางชิง

รถตู้สีดำคันหนึ่งจอดข้างๆ ประตูทางเข้า และมีชายหนุ่มดวงตาแหลมคมค่อยๆ เดินออกมาจากรถ

คนที่อยู่ด้านหน้าสุดสวมชุดราชวงศ์ถังปักลายสไตล์โบราณ อายุ50ปีกว่าๆ สายตาดูซับซ้อนดุดัน

เขาคือหลินสวนถู ที่เคยมาข่มขู่นิ่งซวนที่ภูเขาฉางชิง

“พวกคุณเป็นใคร?มาอาคารหลินซื่อทำไม……”

ขณะที่หลินสวนถูกำลังนำพรรคพวกเดินเข้ามาในอาคารอย่างดุดัน

ทหารลับตระกูลนิ่งที่เฝ้าประตูอยู่ เดินเข้าไปขวางพวกเขาด้วยท่าทีเอาจริง

“ไสหัวไป!”

หลินสวนถูพูดเสียงเย็นชา พลางยกมือขึ้น

ตูม!

เสียงระเบิดดังก้อง และทันใดนั้นลมแรงก็พัดไปทั่วทั้งห้องโถง

เสียงอึกทึกครึกโครม เสียงแรงระเบิดทำให้กระจกทั้งห้องโถงแตกละเอียด และร่วงลงกับพื้น

ส่วนทหารลับตระกูลนิ่งสองสามคนที่เดินมาขวางทาง ล้วนโดนลอยกระเด็นออกไปในพริบตา และร่วงลงบนพื้นอย่างจัง เลือดเจิ่งนอง ชักกระตุกไปทั้งตัว

ทุกคนไม่แม้แต่จะได้แตะชายเสื้อของหลินสวนถู ก็ถูกจัดการล้มลงไปกับพื้นในพริบตา

พลังภายในอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ อยู่ในระดับที่คาดไม่ถึงจริงๆ

ฉากนี้ทำเอาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคนในห้องโถงชะงัก สีหน้าค่อยเผยความหวาดกลัวออกมา

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ตรงนั้น ล้วนเป็นกองกำลังที่ตระกูลนิ่งให้ทำงานสกปรกอย่างลับๆ แต่ละคนฝีมือไม่ธรรมดา

แต่เมื่อเทียบกับหลินสวนถู และพี่ใหญ่ที่ออกมาจากแวดวงลึกลับ ยังห่างกันมาก

แค่พบกันครั้งเดียว ก็ถูกทำให้สยบได้แล้ว

พวกเขารับรู้ได้ถึงรังสีอันตรายที่ชายในชุดราชวงศ์ถังตรงหน้าคนนี้เผยออกมา

ไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางหลินสวนถูอีก

หลินสวนถูเดินนำกลุ่มชายเกรียงไกรขึ้นลิฟต์อาคารหลินซื่อ

ในขณะเดียวกัน

ภายในห้องประชุมอาคารหลินซื่อชั้น19

ตรงโต๊ะประชุมยาว มีผู้ชายไม่ธรรมดาสีหน้าจริงจัง4-5คนนั่งอยู่

นิ่งซวน หยูจื๋อเฉิง เย่เฮย หวงชิงซาน และหรงหยัง

เหล่าคนสำคัญที่หลินอิ่งจัดให้อยู่ตี้จิง ล้วนนั่งอยู่ตรงนี้

หากหยิบยก1ใน5คนนี้มาคนหนึ่ง พวกเขาไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่อำนาจสะเทือนฟ้า และน่าเกรงขามในตี้จิงหรอกเหรอ?

พวกเขาทุกคนล้วนแบกรับงานสำคัญที่หลินอิ่งมอบให้อยู่ คือแบ่งเบาภาระธุรกิจขนาดใหญ่ของหลินอิ่งในตี้จิง

วันนี้มารวมตัวกัน ทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึมสุดๆ

เพียงเพราะการมาของศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างหลินสวนถู

หลินสวนถูไม่เพียงมีฝีมือบูโดอันน่าสะพรึงกลัว เบื้องหลังเขายังมีตระกูลหลินแห่งลังยาที่สามารถสยบโลกธรรมได้

ในขณะที่ยังไม่ได้รับข่าวคราวของหลินอิ่ง พวกเขาทั้ง5คนก็ไม่อาจตัดสินใจได้ ทำได้เพียงร่วมกันปรึกษาและวางแผนร่วมกัน

“แฮะแฮ่ม”หรงหยังไอแห้งสองสามที ทำลายบรรยากาศที่เงียบเชียบ แล้วเริ่มพูดขึ้น”ทุกท่าน ตอนนี้ประธานหลินยังไม่กลับมา หลินสวนถูก็มากดดันอีก”

“ทุกคนล้วนตัดสินใจไม่ได้ พวกเรามิสู้หลีกเลี่ยงปลายดาบ หลบหลินสวนถูไปก่อน รอให้ประธานหลินกลับมา แล้วค่อยตัดสินใจกันก็ยังไม่สาย เพราะเรื่องของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงนั้นสำคัญมาก หากตัดสินใจผิดพลาด เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมา แล้วประธานหลินตำหนิลงมา พวกเราไม่รู้จะอธิบายยังไง”

หรงหยังแสดงความคิดเห็นของตนออกมาอย่างรอบคอบ

ในบรรดาทั้ง5คน สถาณะของหรงหยังต่ำที่สุด เขารู้สถานะตัวเองในกองกำลังของหลินอิ่งดี

เมื่อเทียบกับหยูจื๋อเฉิงและนิ่งซวนผู้เก่งกาจที่ติดตามหลินอิ่งมาตั้งนาน โดยไม่คำนึงถึงความสามารถส่วนบุคคล ระดับของความไว้วางใจยังน้อยกว่ามาก

ส่วนเย่เฮยกับหวงชิงซาน ความสามารถส่วนบุคคลนั้นสูงกว่าเขาไปขั้นหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นซ่องโจรของหรงหยังก็อยู่เมืองก่าง เพียงแค่ถูกหลินอิ่งเลือกให้มาทำงานที่ตี้จิงอย่างกะทันหัน ไม่คุ้นเคยกับงานที่ตี้จิง

เวลาพูดจึงค่อนข้างระมัดระวังรอบคอบ

“หรงหยัง ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของคุณ!”หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างเฉียบขาด”เราสามารถละทิ้งบริษัทอุตสาหกรรมอื่นๆ ในตี้จิง รวมถึงอำนาจในพื้นที่สีเทาได้ แต่จะปล่อยเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงให้หลินสวนถูไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นเมื่อท่านอิ่งกลับมา พวกเราจะมีหน้าที่ไหนไปพบท่านอิ่ง?”

เมื่อได้ยินการคัดค้านของหยูจื๋อเฉิง สีหน้าของหรงหยังก็ยิ่งเคร่งขรึมเข้าไปอีก ไม่รู้จะก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังยังไงดี

“ลูกพี่หยู ความเห็นส่วนตัวของผมเป็นเช่นนี้ แต่จะตัดสินใจยังก็คงให้ทุกคนปรึกษากัน”หรงหยังพูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“นิ่งซวน คุณคิดว่าไง?ท่านอิ่งให้คุณจัดการดูแลเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงมาโดยตลอด คุณลองว่ามา”หยูจื๋อเฉิงถามอย่างจริงจัง สายตาค่อนข้างเป็นกังวล

นิ่งซวนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น:”เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงเกี่ยวข้องกับหลายส่วนไม่อาจละทิ้งได้แน่นอน เรื่องนี้นี่ไม่ต้องสงสัยเลย”

“เรื่องด้านวงการธุรกิจ ผมสามารถจัดการได้ แต่คนอย่างหลินสวนถูนี่สิ ผมไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง”

หยุดไปครู่หนึ่ง นิ่งซวนมองไปยังเย่เฮยทั้งสอง แล้วถามอย่างจริงจัง:”ท่านปู่หวงกับคุณเย่คิดยังไงกับส่วนนี้?”

จากนั้นสายตาของทุกคนก็หันไปยังเย่เฮยและหวงชิงซาน

เพราะสองคนนี้เป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง

ตอนนี้กองกำลังในบังคับบัญชาของหลินอิ่ง มีแค่สองคนนี้ที่สามารถประจันหน้า สู้รบปรบมือกับหลินสวนถูได้

“ผมสามารถสู้เพื่อคุณชายอิ่งอย่างไม่เสียดายชีวิตได้”หวงชิงซานแสดงทัศนคติ ไม่เวิ่นเว้อ

นิ่งซวนมองเย่เฮยพลางพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง

“สหายเย่ล่ะว่ายังไง?”

สีหน้าเย่เฮยไม่ค่อยแสดงท่าทีอะไร เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรเงียบๆ

ทุกคุณล้วนรอเย่เฮยพูดออกมา

เย่เฮยมีความลึกลับมาในกลุ่มลูกน้องของหลินอิ่ง และยังมีนิสัยลึกลับคล้ายๆ ท่านอิ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกยากที่จะคาดเดา

ในใจทุกคนนั้นรู้ดี ว่าเย่เฮยต่างหากที่เป็นคนที่หลินอิ่งไว้ใจมากที่สุด

“ผมขวางหลินสวนถูได้แค่เวลาหนึ่งก้านธูป”เย่เฮยค่อยๆ พูดขึ้น”จะบุกหรือถอย ล้วนมีช่องทางเหลืออยู่”

“มันยากมากๆ ถ้าคิดจะกำจัดหลินสวนถู”

“สำหรับแผนวันนี้ นอกจากถ่วงเวลา ก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว”

เย่เฮยพูดอย่างขมขื่นและจนปัญญา

การมาของหลินสวนถูทำให้เขาปวดหัวเช่นกัน จนปัญญากับคนคนนี้จริงๆ

เพียงแต่ยังไงเย่เฮยก็เคยเป็นหัวหน้าองครักษ์มังกรดำ เคยเจออะไรมามากมาย จึงไม่ค่อยสับสนวุ่นวายเท่าไหร่

ตูม!

ทันใดนั้นเอง ขณะที่ทุกคนกำลังปรึกษาหารือกัน จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังมาจากด้านนอกห้องประชุม

เห็นเพียงผนังซีเมนต์ตรงโถงทางเดินถูกระเบิดออก แตกเป็นรูขนาดใหญ่หลายรู

หลินสวนถูมาแล้ว

เขายิ้มเยาะมุมปาก พลางมองนิ่งซวน เย่เฮยและพวกที่นั่งอยู่อย่างเหยียดหยาม

ด้านหลังเขายังมีชายหนุ่มอีกหลายคนตามมาด้วย

“ประชุมอะไรกันอยู่?ปรึกษากันว่าจะต้อนรับผมยังไงงั้นเหรอ?”

หลินสวนถูยิ้มเยาะ ลากเก้าอี้ข้างๆ โต๊ะประชุมโครมครามๆ แล้วนั่งลงอย่างตรงไปตรงมา

เขาชำเลืองมองทุกคนอย่างเฉยเมย แล้วพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน:”พวกคุณล้วนเป็นลูกน้องของหลินอิ่ง พวกคุณคงรู้ดีว่าผมมาทำไม”

“ผมจะไม่พูดอะไรไร้สาระ”

“มอบทั้งหมดของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงให้ผมภายใน1วัน”

“ไม่งั้นพวกคุณทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ต้องตาย”

น้ำเสียงที่ไม่รีบร้อนของหลินสวนถู แต่กลับเผยรังสีอำมหิตออกมาอย่างเยือกเย็น ทำเอาอากาศทั้งห้องประชุมแข็งตัวลงทันที

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท