ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 683 สอดแนมเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง

บทที่ 683 สอดแนมเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง

“ให้ฉันไปตี้จิงกับคุณเหรอ?”จางฉีโม่แปลกใจครู่หนึ่ง สายตาเผยการรอคอย แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความกังวล

“แต่ฉันกลัวจะเป็นภาระคุณ กลายเป็นสิ่งกวนใจคุณ”จางฉีโม่พูด”อีกอย่าง หลินอิ่งคุณยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย พาฉันไปด้วยจะดีเหรอ?”

หลินอิ่งยิ้มๆ แล้วพูด:”ไม่เป็นไร มีผมอยู่”

“คุณอย่าคิดให้ตัวเองดูต่ำต้อยขนาดนั้นสิ”

“ฉีโม่ คุณยังจำที่ผมเคยพูดกับคุณที่ตี้จิง ว่าผมจะสร้างจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ระดับโลกให้คุณได้ไหม”หลินอิ่งพูดพลางยิ้ม”ที่นั่นสร้างได้เกือบเสร็จแล้ว คุณไม่อยากไปดูหน่อยเหรอ?”

“จงเทียนซิงเฉิงเหรอ?”ทันใดนั้นจางฉีโม่ก็นึกถึงภาพอันสวยงามนั้นขึ้นมาได้

หลินอิ่งเคยสร้างอาคารดวงดาวให้เธอด้วยความทุ่มเทอย่างหนัก ทำเอาตกตะลึงกันทั้งเมืองตี้จิง

“โอเค เอาตามที่คุณว่าเลย”จางฉีโม่พยักหน้าน่าเอ็นดู

“อืม”หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ “ก่อนกลับตี้จิงต้องไปเมืองชิงหยูนก่อน ไปจัดการเรื่องอะไรหน่อย”

ทางด้านเจียงฉีแห่งเมืองชิงหยูนและเสิ่นซาน ต้องไปจัดการหน่อย

หลินชิงเย่ยอมแพ้ด้วยความเต็มใจแล้ว ละทิ้งหน้าที่ของตัวเองแล้วออกไปฝึกฝน

ส่วนผู้อาวุโสฉินก็แสดงทัศนคติออกมา อธิบายได้ว่าเขาจะไปสั่งคนให้ปล่อยเสิ่นซานและเจียงฉี

ทางด้านตี้จิง ยังมีหลินสวนถูอะไรนั่นอีก

ต้องคุยกับนิ่งซวนก่อนว่าจะจัดการคนผู้นี้ยังไง

ขณะพูด หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็ขึ้นรถ กู่ชางไห่สตาร์ทรถแล้วขับไปทางทางด่วน

หลังจากหลินอิ่งออกไป

ผู้อาวุโสฉินมองรถของหลินอิ่งที่ขับออกไปจากไกลๆ ในดวงตาชรานั้นฉายความเฉียบแหลมออกมา

“เกรงว่าครั้งนี้ผู้อาวุโสสองมองผิดไปแล้ว ไม่คิดว่าจะพุ่งเป้าไปยังชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์และคาดเดาไม่ได้อย่างหลินอิ่ง……แม่เฒ่าต้องการเรียกเด็กคนนี้กลับ เกรงว่าตระกูลหลินต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแน่ๆ ……”

ผู้อาวุโสฉินพึมพำกับตัวเอง สีหน้าจริงจังมาก

“ผู้อาวุโสฉิน หลินอิ่งผู้นี้เทพอย่างที่คุณว่าจริงเหรอ?ถึงขนาดผู้อาวุโสสองก็เอาเขาไม่อยู่?”ไอ้สี่ถามด้วยความสงสัย

ภายในตระกูลหลิน เรื่องผู้อาวุโสสองพุ่งเป้าไปยังหลินอิ่งที่อยู่ด้านนอก มันไม่ใช่ความลับอะไรแล้ว

เพราะปีนั้นน้องซวนหวา ตาของหลินอิ่ง ถูกผู้อาวุโสสองผู้มีอำนาจของตระกูลหลินจัดการซะราบคาบ ถูกลงโทษในโลกธรรมอย่างทารุณ20กว่าปี

ด้วยความคับแค้นเช่นนี้ ผู้อาวุโสสองไม่ปล่อยให้หลินอิ่งทำอะไรในตระกูลหลินง่ายๆ หรอก

แต่คนอย่างหลินอิ่ง หากกลับตระกูลหลิน แล้วพบความเจ็บปวดที่ตาของตนได้รับหลายปีมานี้ แน่นอนว่าต้องเดือดมากแน่ๆ

นี่มันลิขิตไว้แล้ว

ระหว่างทั้งสองย่อมเกิดสงครามกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“คุณชายหลินอิ่งมีคุณสมบัติเฉพาะที่คนอื่นไม่มี คนประเภทนี้ เป็นราชามาตั้งแต่เกิดแล้ว”ผู้อาวุโสฉินพูดอย่างจริงจัง”คนประเภทนี้ ไม่มีทางพึ่งคนอื่น”

“ดังนั้นผู้อาวุโสสองไม่อาตจฉุดดึงเขาได้”

“อีกทั้งท่าทีประมาทที่ผู้อาวุโสสองมีต่อหลินอิ่ง เกรงว่าจะเป็นการเสียเปรียบอย่างมาก”

ไอ้สี่ถามด้วยสีหน้าตกใจและสงสัย:”ผู้อาวุโสฉิน งั้นคุณจะอยู่ฝ่ายไหนเหรอ?ในเมื่อรู้แล้วว่าหลินอิ่งนั้นไม่ธรรมดา ต้องเตือนผู้อาวุโสสองหน่อยไหม?”

“เหอะ”ผู้อาวุโสฉินยิ้มเยาะ แล้วพูดอย่างนึกสนุก”ไอ้สี่ แกยังเด็กเกินไป แกคิดว่าคนโอหังอวดดีอย่างผู้อาวุโสสอง จะฟังคำห้ามปรามของฉัน?จะสนใจว่าหลินอิ่งเป็นแค่เด็กรุ่นหลังงั้นเหรอ?”

“ส่วนอยู่ฝ่ายไหน”

“ฮ่าๆ มีบางเรื่องที่ไม่รู้ แต่ในเมื่อรู้แล้วก็ต้องเข้าร่วมด้วย”

“วันนี้ฉันรู้แล้วว่าหลินอิ่งมีอนาคตไกล แกว่าฉันจะทำยังไงล่ะ?”

พูดจบผู้อาวุโสฉินก็หัวเราะออกมา ไม่พูดอะไรต่อ เอามือไขว้หลังแล้วเดินออกไป

ไอ้สี่มึนงงไปครู่หนึ่ง เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แล้วรีบเดินตามหลังอาจารย์ของเขาไป

……

เมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ตี้จิง

หลังจากใช้เวลาในการสร้างไปหลายเดือน เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงคึกคักขึ้นมาแล้ว ทุกที่มีล้วนมีแต่ความเจริญ

เครือข่ายข้ามชาติแต่ละสาขาอาชีพ กิจการชั้นนำในแต่ละมณฑล ล้วนทยอยเข้ามาใน เมืองเทคโนโลยีเทียนหลง

ถนนย่านธุรกิจแต่ละสายเปิดอย่างเป็นทางการ การจราจรคับคั่ง ผู้คนขวักไขว่

ความเร็วในการก่อสร้างแบบนี้ เรียกได้ว่าน่ามหัศจรรย์มาก

ทั้งหมดนี้เป็นอิทธิพลจากหลินอิ่งเพียงคนเดียว

และเกิดขึ้นได้เพราะเขาลงเงินไปเป็นจำนวนมาก

ขณะนี้ ณ ถนนย่านธุรกิจแห่งหนึ่งในเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง มีชายหนุ่มชุดสูท2-3คนเดินตามหลังชายวัยกลางคนคนหนึ่ง และเดินไปรอบๆ

หลินสวนถูหรี่ตาลง มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ

“เหอะ”หลินสวนถูยิ้มเยาะ”ต้องยอมรับเลยว่าหลินอิ่งคนนี้ มีความสามารถทางธุรกิจและพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง”

“ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้เมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ออกมาเป็นระเบียบเรียบร้อยได้เช่นนี้”

“เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงเป็นเมืองที่ใหญ่มาก แต่ทุกฝ่ายก็ประสานงานได้อย่างราบรื่น ลูกน้องมีประสิทธิภาพในการทำงาน ลูกน้องดีจริงๆ ”

“ปู่เจ็ด เป็นเช่นนั้นจริงๆ อิทธิพลของหลินอิ่งในตี้จิงนั้นไม่ธรรมดา ไม่เพียงจัดการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง อีกทั้งยังทำให้โคจรขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ลูกไม้นี้น่าตกใจมาก”ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างปลงๆ

หลายวันมานี้หลินสวนถูและพวก สำรวจอยู่ที่เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงตลอด ยิ่งเห็นความเจริญรุ่งเรืองนี้กับตา ในใจก็ยิ่งรู้สึกอึ้งกับความสามารถของหลินอิ่ง

ได้ยินมาว่า หลินอิ่งควบคุมการเงินของเมืองก่างไว้อย่างมั่นคงอีกด้วย

เป็นแค่เด็กหนุ่ม ไม่เพียงมีฝีมือบูโดที่โดดเด่น

ยังมีความสามารถสูงขนาดนี้อีก ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง

อย่างน้อยภายในของตระกูลหลินแห่งลังยา ยังไม่เคยมีชายหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้มาก่อน

“แต่น่าเสียดาย คนเก่งๆ กลับไม่ได้มารับใช้เรา”หลินสวนถูพูดอย่างปลงๆ

“ไม่อาจมารับใช้เรา งั้นก็ต้องกำจัดซะ!”

หลินสวนถูฉายแววตาอันเยือกเย็น พลางพูดเสียงขรึม

“ปู่เจ็ด คุณพูดถูก ตากับปู่รองของหลินอิ่งบาดหมางกัน ไม่อาจแก้ไขได้ หลินอิ่งผู้นี้ยิ่งมีความสามารถสูงก็ยิ่งต้องจัดการให้เร็วที่สุด”ชายหนุ่มชุดสูทคนหนึ่งพูดอย่างจริงจัง

หลินสวนถูพยักหน้าพลางพูด:”ต้องรีบสกัดเขาซะ ถึงกำจัดไม่ได้ แต่ก็ต้องควบคุมอำนาจของเขาทั้งหมดให้ได้ ตอนนี้เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงเป็นไพ่ใบสุดท้ายสุดท้ายของหลินอิ่ง”

หลินสวนถูและพวก คิดจะทำบางอย่างกับเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง

หากได้โครงการใหญ่ขนาดนี้มาอยู่ในมือ รากฐานของหลินอิ่งในตี้จิงก็จะขาดไปโดยสิ้นเชิง

แต่เรื่องนี้สำคัญมาก คิดจะจัดการได้อย่างราบรื่นนั้นไม่ง่าย เพราะยังไงก็เกี่ยวข้องกันหลายส่วน ถึงตระกูลหลินแห่งลังยาจะมีอำนาจขนาดไหน มันก็ไม่ง่ายที่จะยึดครอง

“จริงสิ เกิดอะไรขึ้นทางด้านชิงเย่?”

“ได้ยินมาว่า ชิงเย่ออกจากตระกูลหลินไปฝึกตนแล้ว?”

“ให้เขาไปตามฆ่าหลินอิ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

หลินสวนถูสีพูดอย่างเดือดดาลด้วยสีหน้าน่าเกรงขาม

หลินสวนถูโกรธมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

หลินชิงเย่เป็นรุ่นน้องที่มั่นใจในตัวผู้อาวุโสสอง ให้เขาลงเขามาครั้งนี้เพื่อไปตามฆ่าหลินอิ่ง ตอนแรกคิดว่าจะสำเร็จโดยเร็ว ผลสรุปกลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ออกจากตระกูลหลินไปฝึกตนงั้นเหรอ?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท