ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 692 ใครบอกว่าคุณชายอิ่งไม่รอดแล้ว?

บทที่ 692 ใครบอกว่าคุณชายอิ่งไม่รอดแล้ว?

ด้วยสายตาของหลินสวนถู เขาย่อมมองออกว่าคุณชายโหมที่อยู่ข้างตัวแอนนาท่านนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่

คุณชายโหมแต่งตัวเรียบง่ายตามสมัยเก่า ราวกับคนต่างชาติสูงวัย

แต่…นัยน์ตาเทาเข้มนั้นกลับเผยเวทมนตร์ไร้ที่สิ้นสุด เมื่อมองมาก็ทำให้ใจระส่ำ

หลินสวนถูรู้ดีว่าผู้เฒ่าต่างชาติที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดระดับโลกที่ไม่อาจเอาชนะได้

เช่นเดียวกับประเทศหลุงที่มีแวดวงลึกลับ ฝั่งตะวันตกก็มีกำลังแข็งแกร่งลึกลับเช่นกัน เรียกโดยรวมว่าโลกมืดแห่งตะวันตก

เพียงแต่ยอดฝีมือโลกมืดแห่งตะวันตกมีรูปแบบการฝึกและขั้นตอนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แปลกพิสดารมาก

ประเทศหลุงใช้ฟ้า ดิน คน สามขั้นมาลำดับชั้นยอดฝีมือลึกลับ

ส่วนโลกมืดแห่งตะวันตกก็ต้องมีรูปแบบของพวกเขาเช่นกัน

หลินสวนถูเคยรู้จักยอดฝีมือตะวันตกมาก่อน แวบเดียวก็มั่นใจได้เลย ว่าคุณชายโหมเป็นยอดฝีมือรองจากระดับชูราแห่งความมืดเท่านั้น

ชูราแห่งความมืดที่ว่านั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งกำลังและเกียรติยศของตะวันตก

“แคกๆ” หลินสวนถูไอแห้ง ทำหน้าจริงจัง “ไม่ทราบคุณผู้หญิงท่านนี้…เป็นอะไรกับหลินอิ่งครับ?”

หากบอกว่าก่อนหน้านี้หลินสวนถูดูแคลนหลินอิ่งแล้ว

เช่นนั้นเมื่อมียอดฝีมือขั้นเทพมากันติดๆ ถึงสามคนก็ทำให้หลินสวนถูไม่กล้าดูถูกเขาอีก

นายน้อยแห่งแก๊งหยางเหมินกับฉู่หยุนซานแห่งตระกูลฉู่ยังพอถือว่ารู้ๆ กันอยู่

แต่สาวผมทองลึกลับตรงหน้านี้ ฐานะและแบ็คกราวด์ช่างน่าคิด

คนที่มีบอดี้การ์ดอย่าง ‘ชูราแห่งความมืด’ ติดตามได้ ต้องมีแบ็คกราวน์ทางตะวันตกขนาดไหนกัน?

“ฉันเป็นเพื่อนสนิทกับคุณหลินอิ่งค่ะ แล้วเขาก็เป็นหุ้นส่วนของฉันด้วย” แอนนาพูดจริงจัง “คุณหลินอิ่งเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญมากของตระกูลเรา”

“ช่วงนี้เราติดต่อคุณหลินอิ่งไม่ได้ ได้ยินว่าคุณหลินสวนถูเป็นผู้อาวุโสของเขาและตามหาเขามาตลอด ฉันก็เลยอยากมาสืบข่าวหน่อยค่ะ”

เมื่อพูดจบแอนนาก็มองหลินสวนถูด้วยความสงบ รอฟังคำตอบ

แอนนารู้สถานการณ์ในตี้จิงระยะนี้ดี แต่เธอก็ไม่ได้เคลื่อนไหวพลการ เพียงแต่รายงานข่าวกับท่านเอิร์ลที่อยู่ไกลถึงต่างแดนเท่านั้น

คำตอบจากท่านเอิร์ล ก็คือส่งคุณชายโหมออกหน้า ในช่วงสำคัญนี้ ใช้อิทธิพลและทรัพยากรทั้งหมดในประเทศหลุง ช่วยเหลือหลินอิ่งแบบสุดตัว แม้หลินอิ่งจะไม่เผยตัวก็ตาม

ทั้งยังบอกว่านี่เป็นโอกาสดี

ด้วยเหตุนี้คุณชายโหมกับแอนนาจึงรุดหน้ามากอบกู้สถานการณ์ให้หลินอิ่งทันที

พวกเขาทั้งสองซื่อสัตย์ต่อความประสงค์ท่านเอิร์ล

หลังจากรู้จักหลินอิ่งในตอนนั้น และรับทราบการเปลี่ยนแปลงในตี้จิงแล้ว ท่านเอิร์ลที่อยู่ไกลถึงต่างแดนก็เข้าใจทุกอย่าง

แต่สุดท้ายกลับออกมาตรการอย่างนี้

นี่ทำให้แอนนากับคุณชายโหมตกใจกันมาก รู้ทันทีว่าในสายตาท่านเอิร์ล หลินอิ่งมีความสำคัญเพียงใด

ทำให้บุคคลที่อยู่จุดสูงสุดของพีระมิดอย่างท่านเอิร์ล ไม่ถือสาท่าทางและวาจาที่โอหังของหลินอิ่งเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งยังลดตัวมาช่วยเหลือเอาใจ

หรือบางที…นี่ก็คือความน่าเกรงขามของเทพนักรบแห่งประเทศหลุงท่านนั้น…

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว หลินสวนถูก็ทำอะไรไม่ถูก

แอนนาพูดอย่างมีมารยาทมาก

แต่เมื่อถึงโสตประสาทหลินสวนถูแล้ว กลับรู้สึกกดดันอย่างหนัก ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับการบีบคั้น

“หลินอิ่งเป็นหุ้นส่วนของตระกูลพวกคุณ?” หลินสวนถูพูดเสียงหนัก “ไม่ทราบตระกูลคุณคือ…?”

“ฉันมาจากตระกูลโครเมียร์ เมืองกุหลาบ ประเทศM” แอนนาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ตระกูลโครเมียร์…” หลินสวนถูพึมพำ แววตาตกสู่ห้วงลึก กำลังคิดอะไรอยู่

เขาย่อมเคยได้ยินเกียรติศักดิ์ตระกูลโครเมียร์มาก่อน

เป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งโลกมืดตะวันตก มีทรัพย์สินและอิทธิพลล้นฟ้าในต่างแดน

คุณท่านของตระกูลนี้คือ ‘ท่านเอิล์น’ หนึ่งในผู้มีอำนาจสูงสุดในโลกตะวันตก เป็นบุคคลสำคัญในชั้นปกครอง

แม้ตระกูลหลินแห่งลังยาจะทรงอิทธิพลในประเทศหลุง แต่เมื่ออยู่ต่างแดนก็หาใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลโครเมียร์ไม่

“คุณหลินสวนถูคะ ฉันได้ตอบคำถามของคุณแล้ว หวังว่าคุณจะตอบคำถามของฉันตามตรง คุณรู้หรือไม่ว่าคุณหลินอิ่งอยู่ที่ไหน?” แอนนาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ได้ยินดังนั้นแล้วหน้าหลินสวนถูก็เปลี่ยนสี มองแอนนาด้วยสายตาเย็นชา

เวลานี้ เขามีความคิดอยากลงมือตบหน้าเด็กสาวที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้สักฉาดเสียจริง ถึงกับกล้ามาไต่ถามเขา กล้าสอดมือเข้ายุ่งเรื่องตระกูลหลินอย่างโจ่งแจ้ง

ทว่า…นัยน์ตาที่คุณชายโหมจ้องเขาเขม็งนั้นทำให้เขาไม่กล้า

หนำซ้ำฉู่หยุนซานกับจ้าวเฉิงเฉียนยังจ้องเขาอยู่ด้านข้าง

หลินสวนถูรู้สึกอึดอัด ไม่สบายและโมโหอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

หลินอิ่งยังไม่ได้โผล่มาก็บีบเขาให้อึดอัดขนาดนี้ได้แล้ว

เด็กหนุ่มที่ยังไม่เคยพบคนนี้ เป็นคนมีนิสัยใจคอ น่าเสน่หาและมีอิทธิพลแค่ไหนกันแน่?

หลินสวนถูนิ่งงันอยู่พักหนึ่งแล้วก็เชอะด้วยความไม่พอใจพูด “คุณไม่ต้องมาถามข่าวของหลินอิ่งกับผมหรอก ผมไม่รู้!”

“อีกอย่าง หลินอิ่งเป็นคนในตระกูลหลิน เรื่องของเขา ตระกูลจะจัดการภายในเอง ตระกูลโครเมียร์ของพวกคุณยุ่งเรื่องคนอื่นมากไปแล้วนะ!”

หลินสวนถูตอบกลับอย่างแข็งกร้าว

เขาเป็นคนรักหน้าตา ไม่ยอมถูกข่มในสถานการณ์เช่นนี้

“คุณหลินสวนถู คุณจะแข็งเกินไปแล้วมั้งคะ? คุณหลินอิ่งเป็นเพื่อนที่ดีของเรา ที่เรามาตี้จิงก็เพื่อร่วมมือกับเขา การที่คุณทำลายกลุ่มบริษัทของเขาไม่หยุด ก็ส่งผลกระทบกับพวกเราโดยตรง ด้วยมิตรภาพระหว่างตระกูลเรากับคุณหลินอิ่ง พวกเราจะไม่นิ่งนอนใจเด็ดขาด” แอนนาเริ่มโมโหเล็กน้อย พูดเสียงแข็ง

“ถ้าคุณยังส่งผลกระทบต่อเพื่อนของเราอีก ตระกูลเราก็จะไม่เกรงใจคุณ!”

แอนนาข่มขู่ไปตรงๆ ทำให้หลินสวนถูรู้สึกตกใจและเกิดโทสะ

แววตาหลินสวนถูเลือดเย็น สองมือประกบกัน เริ่มกลั้นอารมณ์ไม่อยู่

ส่วนจ้าวเฉิงเฉียนกับฉู่หยุนซานที่มองอยู่ด้านข้างก็อดมองตากันไม่ได้

ทั้งสองเห็นความตะลึงจากแววตาอีกฝ่าย

ถูกต้อง! พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะมีอิทธิพลภายนอกมากมายขนาดนี้

ตระกูลโครเมียร์ทางตะวันตก…

เป็นตระกูลทรงอำนาจระดับโลกที่ไม่อาจมองข้าม มีอิทธิพลทั่วประเทศเล็กประเทศน้อยในตะวันตก

อีกอย่าง ชายมีอายุต่างชาติที่ยืนข้างแอนนาต้องเป็นคนร้ายกาจแน่

จากคำพูดของแอนนา เขาพอฟังออกได้ว่าการมาของพวกเขาก็เพราะความต้องการของท่านเอิร์ล

ดูท่า…คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงท่านนี้ยังมีไพ่สำคัญที่ยังไม่มีใครรู้อีกมาก

เกรงว่าตระกูลหลินแห่งลังยาจะไม่ใช่บ้านเดิมของคุณชายอิ่งจริงๆ แต่เป็นที่พึ่งพิงของเขาต่างหาก…

ไม่เพียงแต่จ้าวเฉิงเฉียนกับฉู่หยุนซานที่รู้สึกตะลึง

ตัวแทนตระกูลใหญ่ในตี้จิงที่มองมาก็พากันแสดงความสับสนด้วย

ถึงพวกเขาจะไม่ได้ยินชัดว่าทางนี้พูดอะไรกัน แต่เมื่อเห็นสีหน้ายอดแย่ของหลินสวนถูแล้วก็พอเดาได้

หลินสวนถูไม่อาจควบคุมสถานการณ์วันนี้ได้แล้ว แถมภายใต้สถานการณ์ที่หลินอิ่งไม่ปรากฏก็ยังแทบควบคุมไม่อยู่

นี่ทำให้เหล่าตระกูลใหญ่ในตี้จิงเกิดข้อกังขาอย่างมากทันที

ใครกัน…ที่ปล่อยข่าวลือว่าคุณชายอิ่งไม่รอดแล้ว?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท