ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 697 อย่าประมาทหลินอิ่ง

บทที่ 697 อย่าประมาทหลินอิ่ง

เมื่อหลินสวนถูจากไปแล้ว การประชุมของอาคารเทียนหลงจึงกลับสู่ความสงบ

เวลานี้สายตาทุกคน รวมถึงตัวแทนของคุณท่านจ้าวและตระกูลกงซุนที่มีอคติกับหลินอิ่ง ต่างยำเกรงเขาอยู่ลึกๆ

ที่ว่าฟ้าฝนไม่แน่นอนก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง

แวดวงตระกูลใหญ่ในตี้จิงได้เห็นว่าคุณชายอิ่งมีวิธีการดุดันขนาดไหนอีกครั้ง

ขนาดหลินสวนถูที่มีแบ็คกราวด์ยักษ์ใหญ่ เป็นบุคคลผู้มีฝีมือร้ายกาจยังไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งของคุณชายอิ่งได้ ทั้งยังทำให้ตำแหน่งของเขามั่นคงยิ่งกว่าเดิม…

ครั้นแล้วหลินอิ่งก็นำผู้อาวุโสฉินไปห้องทำงานหัวหน้าสมาคมของเขาในอาคารเทียนหลง พูดคุยกันระยะหนึ่ง

ส่วนพวกจ้าวเฉิงเฉียนกับฉู่หยุนซานทั้งสามก็ถูกรับรองให้รออยู่ที่ห้องรับแขก

ส่วนเรื่องแขกที่ถูกเรียกมาในห้องประชุม หลินอิ่งก็มอบให้นิ่งซวนเป็นผู้จัดการ

ใช้การนี้สร้างเสถียรภาพให้โปรเจคเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ให้นิ่งซวนทำความเข้าใจเรื่องแผนงานเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงกับตัวแทนตระกูลเหล่านี้ให้เรียบร้อย ถือเป็นการสร้างศักดาอย่างหนึ่ง

ด้านนอกของอาคารเทียนหลง หลังจากหลินสวนถูออกมาแล้ว สีหน้าก็ตึงเครียดถึงขีดสุด ท่าทางอารมณ์ก็บิดเบี้ยว อดกลั้นต่อโทสะแทบไม่ไหว

นี่พูดได้เลยว่าเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา!

แต่เขากลับไม่กล้าท้าทาย ไม่กล้าล้มโต๊ะ

“ท่านปู่เจ็ด ต่อไปพวกเรา…” ชายหนุ่มในชุดเสื้อคอจีนคนหนึ่ง เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“หุบปาก!” หลินสวนถูพูดขัดเสียงกร้าว “กลับชางโจวเดี๋ยวนี้ กลับเขาลังยา เรื่องอื่นไม่ต้องพูดอีก!”

หลังจากระบายอารมณ์กับผู้ติดตามแล้ว หลินสวนถูก็ขึ้นนั่งรถMPV สีดำ

รถขับไปบนถนนเส้นใหญ่ด้วยความรวดเร็ว ห่างจากเทียนหลงสแคว์ไกลลิบ

และในเวลาเดียวกัน บนชั้นสูงสุดของอาคารเทียนหลง ดวงตาทั้งสองคู่ก็มองรถที่หลินสวนถูนั่งจากไป

“น่าสนใจ น่าสนใจ พอหลินอิ่งกลับตี้จิง หลินสวนถูก็ถูกบีบจนถึงขั้นนี้ได้…”

“ตอนแรกยังคิดว่าจะมีละครฉากใหญ่ให้ดูซะอีก ดูซิว่าบูโดของหลินอิ่งจะซักแค่ไหนกัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินสวนถูจะขลาดขึ้นมา เหอะๆ”

บนชั้นสูงสุดมีเสียงช่ำชองต่อโลกดังออกมา น้ำเสียงหยอกเย้า

เวลานี้บนชั้นสูงสุดของอาคารเทียนหลง มีคนสองคนยืนไพล่หลังเด่นเป็นสง่าอยู่

คนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตปักลาย แขนยาวสีเขียว เป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ ยืนตรงองอาจ ท่วงท่าน่าเกรงขาม นัยน์ตาคมกริบทรงพลังราวกับอินทรีย์

ส่วนอีกคนสวมชุดฝึกกังฟูสีขาว ชายชราท่านนี้ร่างกายผ่ายผอม นัยน์ตาเผยความปราดเปรื่องมากประสบการณ์ ท่าทางประหนึ่งผู้รู้

ทั้งสองคนนี้ก็คือท่านมังกรเขียวที่นั่งผงาดอยู่ที่ตี้จิง และทูตชือคงที่เป็นผู้รู้ใจและคลังความรู้ของอาจารย์กู้ต้านั่นเอง

“คุณซือคง ผิดหวังกับการทดสอบครั้งนี้หรือ?” มังกรเขียวพูดไปชืดๆ

“เหอะๆ” ทูตชือคงหัวเราะแห้ง “มีบ้างแหละนะ”

“หลินสวนถูคนนี้เป็นลูกชายคนที่เจ็ดของนายท่านใหญ่ตระกูลหลิน พ่อเป็นพยัคฆ์ ลูกเป็นสุนัข ช่างน่าผิดหวังจริงๆ ขนาดหลินอิ่งที่เป็นเด็กก็ยังสยบไม่ได้” ทูตชือคงส่ายหน้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขบขัน

“ตอนแรกยังคิดว่าจะได้เห็นศึกใหญ่น่าสะพรึงเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะลงเอยแบบนี้ ตระกูลหลินแห่งลังยาม้วนเสื่อออกจากตี้จิงไปซะอย่างนั้น”

“แล้วหลินอิ่งล่ะ? คุณซือคงคิดเห็นยังไงกับเด็กคนนี้?” มังกรเขียวถามไปเรียบๆ

เรื่องราวที่หลินสวนถูก่อขึ้น ดึงดูดสายตายอดคนทั้งสองนี้อยู่นานแล้ว

โดยเฉพาะหลินอิ่งที่อยู่ในขอบข่ายการพิจารณาของพวกเขาทั้งสองด้วย

ดังนั้นทั้งสองจึงมาดูสถานการณ์วันนี้ที่อาคารเทียนหลงทันที

เมื่อพูดถึงหลินอิ่ง สีหน้าทูตซือคงก็เคร่งขรึม กล่าว “หลินอิ่งผู้นี้ มองข้ามไม่ได้”

“ขนาดกลับมาเผชิญหน้ากับหลุมพรางของหลินสวนถูเพียงลำพัง ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ง่ายดายเช่นนี้ สยบศึกโดยไม่ต้องออกรบ บีบให้หลินสวนถูที่เป็นผู้อาวุโสทำลายมือตัวเองแล้วจากไปอย่างอดกลั้นกับความอดสู” ทูตซือคงว่าไปช้าๆ “ความสามารถนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ”

“จริงสิ ท่านมังกรเขียว วันนี้คุณดูความสามารถของหลินอิ่งออกหรือยัง?” ทูตซือคงเปลี่ยนเรื่องถาม

“ดูออกแล้ว” มังกรเขียวค่อยพูด “คนผู้นี้ลมหายใจบางเบา น่าจะมีกำลังอยู่ที่รายการแห่งดินเท่านั้น หรือหากฝึกหนักจนก้าวหน้า อย่างมากก็พอเอื้อมรายการแห่งฟ้าได้”

“วันนี้เขาแค่จงใจเล่นละครข่มหลินสวนถูเท่านั้น”

“หากลงมือจริง เกรงว่าเขาก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวนถู สถานการณ์อย่างนั้นยังกล้าบีบบังคับหลินสวนถูอีก ช่างกล้าเหลือเกิน”

ได้ยินดังนั้นแล้วทูตซือคงก็ขมวดคิ้ว สะท้อนใจพูด “ร้ายกาจจริงๆ ถ้าถามผมนะ ในสถานการณ์อย่างนั้นต้องไม่กล้าบีบหลินสวนถูแน่”

“ถึงมีความช่วยเหลือจากจ้าวเฉิงเฉียน ฉู่หยุนซานและชูราแห่งความมืด แต่หากต้องประชันกับฉินเหิงเยว่และหลินสวนถูก็ยังห่างชั้นอยู่บ้าง” ทูตซือคงพูดจาเป็นเหตุเป็นผล “ดูเหมือนหลินอิ่งจะรู้อยู่แล้วว่าหลินสวนถูไม่กล้าลงมือ ความคิดละเอียดรอบคอบ ความสามารถในการฉวยโอกาสจากสถานการณ์เช่นนี้ ถือว่าเป็นขิงแก่จริงๆ มิน่าล่ะ อายุอานามยังน้อยก็สร้างรากฐานใหญ่ในตี้จิงได้”

“ที่สำคัญก็คือ แม่เฒ่าตระกูลหลินที่ตั้งเขาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอด” มังกรเขียวพูด “ไม่เช่นนั้น หากฉินเหิงเยว่อยู่ฝ่ายหลินสวนถู หลินอิ่งจะต่อกรยังไง?”

“ถูกต้อง แต่เท่าที่ผมรู้มา หลินอิ่งไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน แม้แต่พวกเราก็ไม่เคยได้ข่าวนี้เหมือนกัน” ทูตซือคงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉินเหิงเยว่รู้จักกับหลินอิ่งที่มณฑลตุงไห่มาก่อน ตอนนั้นอาจถูกหลินอิ่งได้ใจไปแล้วก็ได้”

“ผมชักอยากรู้เรื่องนี้มากขึ้นแล้วสิ” ทูตซือคงคิดอะไรบางอย่างแล้วพูด “เกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน มีการติดต่อกับตระกูลโครเมียร์ทางตะวันตก แถมนายน้อยแก๊งหยางเหมินยังเป็นพันธมิตรเหนียวแน่นของเขา”

“ตอนนี้ยังมีฐานะผู้ท้าชิงผู้สืบทอดตระกูลหลินอีก คนผู้นี้ต้องโดดเด่นอยู่ในแวดวงลึกลับแน่”

มังกรเขียวพยักหน้าเห็นด้วย “การที่หลินอิ่งเข้าตระกูลหลินแห่งลังยา เกรงว่าต้องเกิดเป็นคลื่นลมแน่”

“นี่ไม่ค่อยเกี่ยวกับงานพวกเรา แต่วันนี้ก็ตัดสินได้ว่าหลินอิ่งไม่ใช่คนที่ท่านมังกรดำสืบหาแน่”

“เหรอ? ท่านมังกรเขียวกล่าวมาเช่นนี้ ไม่ทราบว่าตัดสินจากอะไร?” ทูตซือคงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามด้วยความสงสัย

“หลินอิ่งมีอะไรถึงขนาดทำให้ฉู่หยุนซาน จ้าวเฉิงเฉียนกับตระกูลโครเมียร์ออกหน้าได้ ท่านมังกรเขียวไม่นึกสงสัยหรือ?” ทูตซือคงถาม

ท่านมังกรเขียวยิ้มมีเลศนัย เอ่ย “เรื่องราวทั้งหมดผมได้สืบรู้มานานแล้ว คุณหนูตระกูลโครเมียร์ หลานสาวสุดรักของคุณท่านฉู่และน้องสาวแท้ๆ ของจ้าวเฉิงเฉียนล้วนมีใจให้หลินอิ่งมาก ”

“อิทธิพลทั้งสามล้วนต้องการให้เขาเป็นลูกเขย”

“แค่นี้เองหรือ?” ทูตซือคงถามด้วยความฉงนใจ

“เช่นนี้แล” มังกรเขียวพูดอย่างเรียบๆ “หากคุณซือคงยังคิดว่าตัดข้อสงสัยในตัวหลินอิ่งไม่ได้ งั้นผมก็มีแผนการหนึ่ง ต้องการให้คุณช่วยอยู่พอดี”

ทูตซือคงเอ่ยถาม “แผนอะไร?”

“ถึงหลินอิ่งได้เป็นผู้ท้าชิงผู้สืบทอดตระกูลหลินแล้ว แต่รากฐานของเขาในแวดวงลึกลับก็น้อยมาก แล้วเขาจะต่อกรกับสองคนที่เหลืออย่างไร?”

มังกรเขียวค่อยๆ กล่าว “ผมต้องการผลประโยชน์จากเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงที่ตี้จิงอยู่พอดี และคุณซือคงก็อยากชี้ชัดฐานะของหลินอิ่งด้วย”

“ไม่อย่างนั้น…คุณซือคงก็ไปเจรจากับหลินอิ่งแทนผม หากเขายอมแบ่งผลประโยชน์เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงให้ เช่นนั้นเขาก็จะได้รับการสนับสนุนจากองครักษ์มังกรเขียว ช่วยเขาตั้งรากฐานมั่งคงในตระกูลหลิน”

“เช่นนี้ ยิงนัดเดียวได้นกสามตัว ไม่ทราบคุณซือคงมีความเห็นอย่างไร?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท