ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 701 บุคคลลึกลับ

บทที่ 701 บุคคลลึกลับ

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว สายตาหลินเสวียนหมิงก็มองทางหลินเสวียนเฮ่อทีหนึ่ง แล้วเย็นชาใส่

“แกโง่หรือไง?!” หลินเสวียนหมิงตวาด “ตอนนี้แม่เฒ่าประกาศให้หลินอิ่งเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งสืบทอดตระกูลหลินแล้ว แถมยังเรียกตัวหลินอิ่งกลับชางโจวอีก แกจะฆ่าหลินอิ่งในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ?!”

“ถึงจะฆ่าหลินอิ่ง แล้วจะอธิบายกับทางแม่เฒ่ายังไง? แม่เฒ่าจะมองพวกเรายังไง? อย่าลืมสิ พี่ใหญ่กับลูกชายเขากลับชางโจวมาแล้ว กำลังจับตาดูพวกเราอยู่!”

หลินเสวียนหมิงโมโหจนเอ็นขึ้นหน้าผาก กลับไปนั่งนวดขมับที่เก้าอี้ปรมาจารย์ “คิดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ แกมันโง่จริงๆ! ไม่รู้ว่าหลายสิบปีมานี้อยู่มาได้ยังไง!”

“พี่รองอย่าเพิ่งโมโหไป ฉันเลอะเลือนไปเองถึงได้คิดวิธีนี้ออกมา…” หลินเสวียนเฮ่อพูดแบบเหงื่อตก รีบขอโทษ

หลินเสวียนหมิงไม่พอใจ กวาดสายตามองคนที่อยู่รอบๆ

แต่เขายิ่งดู ก็ยิ่งอารมณ์เสีย

คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นผู้มีอำนาจในตระกูลหลิน มีหน้ามีตาอยู่ในสังคม

แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วกลับไม่มีใครสู้กับหลินอิ่งที่เป็นเด็กเมื่อวานซืนคนนั้นได้เลย

หลินเสวียนหมิงเป็นถึงผู้อาวุโสสอง เป็นเจ้าบ้านสองของตระกูลหลินแห่งลังยา จะลดตัวมาสู้กับหลินอิ่งเองก็ไม่ได้ เช่นนั้นจะเสื่อมเกียรติเกินไป

แต่จะให้หลินเสวียนหมิงทนกับความโมโหนี้ เขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

การกลับมาของหลินอิ่งและหลินซวนหวา ทำให้เขารู้สึกถึงวิกฤตครั้งใหญ่

แอ๊ด…

ขณะที่บรรยากาศกำลังเงียบกริบ ประตูบ้านพักก็ถูกผลักเข้ามากะทันหัน

ชายหนุ่มท่าทางงดงามที่สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน เชิดหน้าเดินเข้ามา

เป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบกว่า หน้าตาคมสัน งามดั่งหยกใส ดวงตาคมกริบ ย่างก้าวราวพยัคฆ์ ท่วงท่าสง่างามยิ่ง

“คุณชายเซี่ยว”

“คุณชายเซี่ยว”

คนตระกูลหลินในที่นี้ต่างพากันทักทาย

คุณชายเซี่ยวเป็นหลานรักของผู้อาวุโสสองหลินเสวียนหมิง ชื่อหลินเซี่ยว

พ่อแม่หลินเซี่ยวไม่โดดเด่นในตระกูล ที่เขาโดดเหนือกลุ่มหัวกะทิรุ่นใหม่ได้ ล้วนอาศัยพรสวรรค์ด้านบูโดทั้งนั้น เกือบถึงรายการแห่งฟ้าได้ตั้งแต่ยังเด็ก ถูกเห็นเป็นอัจฉริยะที่ขึ้นสู่รายการแห่งฟ้าได้แน่นอน

หลินเซี่ยวเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอดคนที่สองของตระกูลหลิน ถูกขนานนามว่าเป็นยอดคนแห่งยุคเช่นเดียวกับคุณชายใหญ่ มีฐานะและตำแหน่งในตระกูลสูงมาก

เมื่อเห็นหลินเซี่ยว หลินเสวียนหมิงก็คลายความตึงเครียดและเผยความยินดีออกมา

“เซี่ยวเอ๋อกลับมาแล้วเหรอ? ไปหวงไห่มาได้อะไรบ้าง?”

หลินเสวียนหมิงเก็บความขรึม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความเป็นมิตร

“ท่านปู่ ทางหวงไห่ไม่ราบรื่นเลยครับ นักพรตมังกรเหลืองไม่ยอมโผล่หน้า” หลินเซี่ยวผู้อย่างจริงจัง

หลินเสวียนหมิงพยักหน้าเล็กน้อย “นักพรตมังกรเหลืองฐานะสูงส่ง การที่เขาไม่รับปากก็เป็นเรื่องธรรมดา ต่อไปแกต้องไปหาเขาบ่อยๆ รักษาเส้นสายนี้เอาไว้”

“ถ้าได้รับการสนับสนุนจากนักพรตมังกรเหลือง อาศัยอิทธิพลของแก๊งมังกร แกก็ไม่ต้องกลัวอิทธิพลของคุณชายใหญ่ทางนั้นแล้ว ต้องได้สืบทอดจากนายท่านใหญ่ตระกูลหลินแน่”

หลินเสวียนหมิงพูดด้วยความจริงจัง

หลินเซี่ยวเป็นลูกหลานตระกูลหลิน และถือเป็นคนเก่งที่ยากพบพาน ท่องอยู่โลกภายนอกแต่ยังเล็ก ได้รับการชี้แนะจากนักพรตมังกรเหลืองเป็นครั้งคราว ดังนั้นบูโดของเขาจึงรุดหน้าแบบก้าวกระโดด

เมื่อมีเส้นสายนี้ หลินเซี่ยวจึงเข้าตาหลินเสวียนหมิง ด้วยการอบรมฝึกฝนอย่างเข้มงวด ทำการจนมีชื่อเสียงโด่งดัง และได้แต่งตั้งฐานะตำแหน่งเป็นคุณชายรองแห่งตระกูลหลิน

นายท่านใหญ่ใกล้จะออกจากการเก็บตัวแล้ว ถึงตอนนั้นต้องทดสอบลูกหลานในตระกูล เลือกผู้สืบทอดบูโดแน่ และหลินเซี่ยวกับคุณชายใหญ่ก็คือตัวเลือกยอดนิยม

หากจะแข่งขันกับคุณชายใหญ่จริง ความกดดันฝั่งหลินเซี่ยวก็หนักหน่วงมาก

และนักพรตมังกรเหลืองก็เป็นผู้ที่ควรค่าแก่การชักจูง ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในห้ามังกรแห่งแก๊งมังกร แต่ละคนล้วนมีชื่อโด่งดังไปทั่ว

ที่หลินเซี่ยวเจาะจงไปหวงไห่ขอพบนักพรตมังกรเหลืองในครั้งนี้ ก็เพราะอยากขอการสนับสนุนจากเขา แต่กลับไม่เป็นดั่งที่หวัง

“ท่านปู่ ถึงเขาไม่ยอมแทรกแซงเรื่องตระกูลหลิน แต่ก็บอกกับหลานว่าในช่วงวิกฤต เขาจะช่วยหลานครั้งหนึ่ง” หลินเซี่ยวพูดจริงจัง

“ดี! งั้นก็เป็นข่าวดีจริงๆ” หลินเสวียนหมิงยิ้มแย้มพูด “ถ้ามังกรเหลือยอมช่วยแกครั้งหนึ่ง แกก็วางใจไปสู้กับลูกของพี่ใหญ่ให้รู้ดำรู้ดีไปเลย มั่นใจได้อีกหน่อย”

ว่าแล้ว หลินเสวียนหมิงก็เปลี่ยนเรื่องพูด “เซี่ยวเอ๋อ แกกลับมาก็ดีแล้ว ช่วงนี้แกได้ยินเรื่องในตระกูลหลินบ้างหรือยัง? แม่เฒ่าตั้งผู้ท้าชิงตำแหน่งคนที่สาม ชื่อหลินอิ่ง เป็นหลานของไอ้สิบสอง มาจากตี้จิง”

สีหน้าหลินเซี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย พยักหน้า “ท่านปู่ ตอนที่หลานอยู่หวงไห่ก็ได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว”

“อื่อ” หลินเสวียนหมิงค่อยกล่าว “งั้นแกมีความมั่นใจว่าจะจัดการมันได้ไหม?”

หลินเซี่ยวพูดอย่างจริงจัง “ท่านปู่ หลินอิ่งทำให้ท่านต้องเสียหน้า หลานจะต้อนรับมันอย่าง ‘ดี’ เอง”

ขณะที่พูด ดวงตาหลินเซี่ยวก็เย็นยะเยือก เผยจิตสังหารแรงกล้าออกมา

เขาเคยได้ยินเรื่องของหลินอิ่ง

หลินเซี่ยวไม่พอใจหลินอิ่งมาก

หลินอิ่งถือดีอย่างไรถึงได้เป็นผู้ท้าชิงง่ายๆ?

เขาต้องลำบากแค่ไหน? พยายามแค่ไหน? บุกน้ำลุยไฟให้ตระกูลหลินแค่ไหนถึงจะได้ตำแหน่งนี้มา?

ยังไม่ต้องพูดถึงความแค้นใหญ่หลวงของปู่กับหลินซวนหวา สำหรับเขาแล้ว หลินอิ่งเป็นเนื้อร้ายในใจเขา

“ดี เซี่ยวเอ๋อ ถ้าแกไปจัดการเรื่องนี้ ปู่ก็วางใจ” หลินเสวียนหมิงพูดด้วยสีหน้าชื่นบาน

……

ณ เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงแห่งตี้จิง

ศูนย์การค้าเลขที่18 มีจิวเวลรี่เทรดเซนเตอร์แห่งหนึ่ง ใหญ่โตมาก

ย่านการค้านี้เป็นร้านค้าธุรกิจเกี่ยวกับจิวเวลรี่ และเป็นอาคารที่ทำงานของบริษัทจิวเวลรี่ต่างชาติ

มีบริษัทจิวเวลรี่แบรนด์เนมระดับโลกหลายบริษัท

วงจรธุรกิจของย่านนี้ก็ค่อนข้างสมบูรณ์ ขึ้นชื่อในประเทศหลุง

หลินอิ่งมอบหมายพื้นที่ส่วนนี้ให้จางฉีโม่เป็นคนจัดการ

ให้เธอสร้างอาณาจักรจิวเวลรี่ของเธออย่างที่เธอต้องการ

เวลากลางวันวันนี้ หลินอิ่งกับจางฉีโม่กำลังนั่งดื่มชายามบ่ายด้วยกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง

เนื่องจากตอนเช้าจางฉี่โม่เดินอยู่นานจึงอ่อนเพลีย ซบไหล่หลินอิ่งเข้าสู่ฝันไปแล้ว

หลินอิ่งนั่งอยู่บนโซฟานุ่มนิ่ม บีบแก้วชา ลิ้มรสชาอย่างละเมียดละไม ดื่มด่ำกับช่วงเวลาสบายๆ

และในตอนนั้นเอง ชายแก่ร่างผอมบางในชุดฝึกกังฟูสีขาวก็เดินเข้ามาในร้าน พร้อมคนหนุ่มเสื้อคอจีนอีกสองคน

สายตาชายแก่เฉียบแหลม ฝีเท้ามั่นคง เดินมาด้วยท่วงท่าแห่งพยัคฆ์ มีกำลังวังชา ดูกระปรี้กระเปร่ามากกว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่มาก

เขานั่งลงในตำแหน่งตรงข้ามกับหลินอิ่ง หยิบแก้วกาแฟขึ้นดื่ม หรี่ดวงตา ยิ้มมองหลินอิ่ง

หลินอิ่งรู้สึกสะดุดใจ ท่าทางและการแต่งกาย และบรรยากาศในร้านกาแฟไม่เข้ากับชายแก่ผู้นี้เลย

“คุณหลินอิ่ง” ชายแก่วางกาแฟลง กล่าวเรียบๆ “ผมมีการค้าอยากเจรจากับคุณหน่อย ไม่ทราบว่าสนใจไหมครับ?”

หลินอิ่งหัวเราะแล้วเอ่ย “คนที่อยากเจรจาการค้ากับผมในตี้จิง มีเยอะขนาดต่อแถวยาวไปถึงฝรั่งเศสได้เลยครับ ไม่ทราบคุณพกความมั่นใจอะไรมาเจรจาการค้ากับผม?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท