ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 702 ของาจากช้าง

บทที่ 702 ของาจากช้าง

“ฮ่าๆ” ชายแก่หัวเราะแห้งแล้วพูด “ผมชื่อซือคงฟู่ ชื่นชมเกียรติศักดิ์คุณชายมานานแล้ว วันนี้ได้พบ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

“ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอกครับ พูดมาตรงๆ เถอะ คุณมาหาผมมีจุดประสงค์อะไรไม่ทราบ?” หลินอิ่งพูดด้วยความนิ่ง

แค่เขามองซือคงฟู่ปราดเดียว ก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา

บุกคลิกซือคงฟู่ล้ำลึก ลมหายใจมีท่วงทำนองแปลก เห็นชัดว่าฝึกวิชาร้ายกาจ

แต่กลับดูลักษณะพิเศษของศิลปะการต่อสู้โบราณบนตัวเขาไม่ออก

เห็นชัดว่ามีบูโดสูงระดับหนึ่ง

อย่างน้อย…กำลังคนผู้นี้ต้องไม่ด้อยกว่ากู่ชางไห่แน่

“ได้ คุณหลินอิ่งตรงไปตรงมา” ซือคงฟู่หัวเราะพลางพูด “ที่ผมมาหาคุณหลินอิ่ง ก็เพราะอยากมอบโอกาสให้กับคุณนั่นแหละ”

“ผมอยากขยายเส้นทางธุรกิจในเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง แล้วทางหกมณฑลแห่งเจียงเป่ยก็มีธุรกิจที่อยากร่วมมือกับคุณด้วย” ซือคงฟู่ค่อยเจรจา

“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ผมจะช่วยคุณหลินเป็นปึกแผ่นในตระกูลหลิน และได้ตำแหน่งผู้สืบทอดมา”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินอิ่งก็พลันระแวดระวัง จับจ้องซือคงฟู่

ชายแก่ผู้นี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่การพูดกลับน่าตกใจ พูดใหญ่พูดโต

อ้าปากมาก็ว่าจะช่วยเขาให้ได้ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลิน?

มั่นใจขนาดนั้นเชียว?

หลินอิ่งนิ่งงันครู่หนึ่ง

การที่แม่เฒ่าประกาศเรื่องผู้สืบทอดของตัวเองนั้น คงทำให้แวดวงลึกลับระส่ำระสายจนผู้คนหันมาสนใจเขา

แต่แพล็บเดียวก็มีคนมาชักจูงเขาเข้าพวกถึงที่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่หลินอิ่งคาดไม่ถึง

ซือคงฟู่รู้แผนการเดินทางของเขาดี

และมีข่าวรายงานที่ว่องไว

จุดประสงค์ของซือคงฟู่ง่ายขนาดนี้เชียวหรือ?

แค่ต้องการผลประโยชน์จากเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง กับหนทางการค้าในเจียงเป่ย

เมื่อใช้ความคิดแล้ว หลินอิ่งก็รู้ขึ้นมาทันที ว่าชายแก่ตรงหน้านี้ต้องการยื่นมือเข้าแทรกแซงเรื่องภายในตระกูลหลิน โดยใช้ตนเป็นข้ออ้าง

“คุณซือคง คุณล้อเล่นอะไรครับ?” หลินอิ่งพูดเรียบ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผมจะร่วมมือทำการค้านี้กับคุณหรือเปล่า เอาแค่ว่าคุณกล้ายุ่งเรื่องตระกูลหลินแห่งลังยาเหรอ?”

“ฮ่าๆๆ” ซือคงฟู่หัวเราะห้าว “คุณหลินอิ่ง ดูท่าคุณจะระวังมากเลยนะครับ กลัวว่าผมจะรับกับตระกูลหลินไม่ได้เหรอ?”

“จริงอยู่ที่ตระกูลหลินมีอิทธิพลมาก แต่ในสายตาของผม มันก็แค่นั้น เมื่อไม่มีนายท่านใหญ่นั่งบัญชาการ ตระกูลหลินก็แตกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับสองเท่านั้น”

เมื่อได้ฟังซือคงฟู่ว่าแล้ว หลินอิ่งก็ขมวดคิ้ว

ซือคงฟู่โอหังมาก ทั้งไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ แต่ดูออกได้เลย ในแววตาของเขาไม่หวั่นตระกูลหลินสักเท่าไร

บนโลกนี้ กลุ่มอิทธิพลที่ทะนงตนขนาดไม่เห็นตระกูลหลินอยู่ในสายตาจะมีสักเท่าไร…

“คุณซือคง คุณมาจากที่ไหนครับ?” หลินอิ่งจ้องซือคงฟู่ กล่าวเรียบ

เมื่อซือคงฟู่รับกับสายตาของหลินอิ่งแล้ว มุมปากก็เผยรอยยิ้มมั่นใจ

“คุณหลิน พูดแบบนี้…หรือคุณมีความคิดแล้ว?” ซือคงฟู่พูดเป็นปกติ แล้วดื่มกาแฟไปอีกคำ

“สัดส่วนสองส่วนของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง บวกกับร่วมได้ทรัพยากรวงการธุรกิจในเจียงเป่ยหกมณฑลทั้งหมด คุณจะยอมแลกกับหมากนี้ไหม?” ซือคงฟู่พูดจริงจัง

หลินอิ่งหัวเราะ เอ่ย “เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงอยู่ในมือผม ผมอยากให้กี่ส่วนก็ย่อมได้ แถมผมยังเป็นหัวหน้าสมาคมธุรกิจใหญ่ตี้จิง ไม่ว่าคุณอยากทำธุรกิจด้านไหน หรืออยากติดต่อวงการธุรกิจเจียงเป่ยหกมณฑล มันก็แค่กริ๊งเดียวเท่านั้น

ว่าแล้วหลินอิ่งก็ละเมียดชาแดงอีกอึก

“แต่ไม่ทราบว่าหมากในมือคุณซือคงมีมากแค่ไหนเหรอครับ?”

หลินอิ่งกล่าวได้ถูกต้อง!

ด้วยอิทธิพลหัวหน้าสมาคมธุรกิจใหญ่ตี้จิงของเขา เจียงเป่ยหกมณฑลอยู่ใกล้ตี้จิง ไม่ว่าธุรกิจด้านไหนเขาก็เชื่อมต่อเบิกทางได้หมด

อย่างไม่ต้องสงสัย…นี่แหละอิทธิพลของสมาคมธุรกิจใหญ่ตี้จิง

เพราะสมาชิกแต่ละคนในสมาคมธุรกิจใหญ่ตี้จิง ล้วนเป็นเศรษฐีมั่งคั่งที่มีหน้ามีตาในทุกมณฑลของเจียงเป่ย

ซือคงฟู่หัวเราะขึ้นมา จ้องหลินอิ่งแล้วพูด “ผมเป็นคนของเทพราชากู้ต้า ทูตสำนักโหมว ซือคงฟู่”

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว หลินอิ่งก็เบิกตาโพลงตกตะลึง

คนของเทพราชากู้ต้า? ทูตสำนักโหมว?

เทพราชากู้ต้า…นั่นก็ต้องหมายถึงอาจารย์กู้ต้า ประมุขแก๊งมังกรคนปัจจุบันอยู่แล้ว

สำนักโหมว ก็คือหนึ่งในห้าสำนักสิบสองฝ่ายของแก๊งมังกร

หลินอิ่งคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี

สำนักโหมวเป็นฝ่ายปฏิบัติแกนกลางของแก๊งมังกร หรืออาจพูดว่าเป็นองค์กรข่าว ขุมทรัพย์แห่งปัญญาก็ได้

คนในสำนักโหมวมีหน้าที่เก็บข้อมูลข่าวสาร มีเครือข่ายข่าวกระจายอยู่ทั่วโลก

ส่วนอาจารย์กู้ต้าก็เคยเป็นเจ้าสำนักเทียนเหมินมาก่อน เพื่อช่วงชิงบัลลังก์ประมุขแก๊งแล้ว กลิ่นคาวนองเลือดทั่วแก๊งมังกร

จากข้อมูลที่มังกรดำทิ้งไว้ จึงได้รู้ว่าอาจารย์กู้ต้าแอบส่งคนตามหาเบาะแสเขามาโดยตลอด

ในอนาคตหากเขากลับแก๊งมังกรอีกครั้ง คนผู้นี้ก็คือศัตรูตัวฉกาจ

หลินอิ่งจ้องซือคงฟู่ด้วยสายตาเย็นชา ไม่พูด

เกิดความระแวดระวังขึ้นทันใด

เพราะเขาไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของซือคงฟู่จะเป็นการหยั่งเชิงเขาหรือไม่

และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนำกำลังพลมาตี้จิงเท่าไร หรืออาจารย์กู้ต้าคนนั้นจะอยู่นี่ด้วยหรือไม่

ทันใดนั้น ก็รู้สึกอันตรายอย่างยิ่งยวดก็ผุดขึ้นจากใจเขา

“เหอะๆ คุณหลินอิ่งรู้สึกตกใจเหรอครับ?” ซือคงฟู่ยิ้มได้ใจ “ฐานะของผม คุณไม่ต้องสงสัยไปหรอก ผมจะให้คุณได้เห็นกำลังที่แท้จริงแน่นอน”

ซือคงฟู่แอบดีใจ เขาสังเกตการเปลี่ยนทางของหลินอิ่งตลอด และสังเกตเห็นความตกใจของเขา คิดว่าหลินอิ่งถูกฐานะของตนทำจนตกตะลึง

จะว่าไปหลินอิ่งก็แค่คนที่เริ่มจากครอบครัวธรรมดาเท่านั้น ถึงจะเป็นลูกหลานตระกูลหลินแห่งลังยา แต่ก็ไม่เห็นโลกกว้าง พอพูดถึงอาจารย์กู้ต้าก็ตกตะลึงพรึงเพริด

นั่นสินะ ด้วยเกียรติศักดิ์ของเทพราชากู้ต้า เขาราวกับอาทิตย์กลางท้องฟ้า เลื่องลือทั่วแวดวงลึกลับ เหนือล้ำยิ่งว่าชื่อเสียงของนายท่านใหญ่ตระกูลหลิน

ดูท่า…ที่ตอนแรกคิดว่าหลินอิ่งจะเกี่ยวข้องกับแม่เฒ่าจะคิดผิด

หลังจากซือคงฟู่คิดแล้วก็พูดเรียบ “คุณหลินอิ่ง ผมอยากสนับสนุนให้คุณขึ้นตำแหน่งตระกูลหลิน แต่ก็อยู่ที่คุณจะคิดยังไงแล้ว แน่นอน ผมไม่ขอปิดบัง ผมก็มีแผนกับตระกูลหลินด้วยเหมือนกัน”

“งานนี้…สำหรับคุณ มีแต่ได้ไม่มีเสีย”

ว่าแล้วซือคงฟู่ก็ยกกาแฟขึ้นดื่มอย่างเป็นธรรมชาติ ทำท่ามั่นใจราวกับพิชิตศึกราบคาบ

ก็จริง หลินอิ่งไม่มีเหตุผลปฏิเสธเรื่องดีที่มาถึงที่แบบนี้

การสนับสนุนจากแก๊งมังกร พอให้เขาวางก้ามในตระกูลหลินได้

“เรื่องเกี่ยวพันถึงส่วนรวม ขอให้ผมคิดดูหน่อยนะครับ” หลินอิ่งพูดเรียบ ใบหน้านิ่งสงบ

ซือคงฟู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย สำรวจมองหลินอิ่ง แต่กลับมองไม่เห็นเค้าความอะไรจากอารมณ์ของเขาเลย

“ก็ดี คุณหลินอิ่ง เรื่องสำคัญเช่นนี้ คุณพิจารณาดูก่อนก็ได้ เอาไว้คุณไปชางโจว ผมจะให้คุณได้เห็นความจริงใจเอง” ซือคงฟู่ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเดินจากไป

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท