ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 703 ชี้แนะ

บทที่ 703 ชี้แนะ

หลังจากซือคงฟู่เดินออกจากร้านกาแฟไปแล้ว

แววตาหลินอิ่งก็เข้าสู่ห้วงลึก สีหน้ายากจะคาดเดา

เขาลูบใบหน้าจางฉีโม่ที่หลับสนิทอยู่ข้างๆ เผยสายตาอ่อนโยน

ส่วนด้านนอกร้านกาแฟ

ซือคงฟู่เดินออกไปยังลานกว้าง เข้านั่งรถเบนซ์สีดำที่เรียบอยู่ข้างทาง

มังกรเขียวหลับตาพิงเบาะรถ มือนับเม็ดประคำราวกับกำลังคิดหนักอะไรอยู่

“คุณซือคง เป็นยังไงบ้างครับ?” มังกรเขียวลืมตาขึ้นเล็กน้อย เผยนัยน์ตาแห่งอินทรีย์ พูดเรียบ

“หลินอิ่งหวั่นไหวแล้ว” ซือคงหัวเราะพลางพูดไปเรียบๆ “เป็นอย่างที่ผมคิด หลินอิ่งไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธความช่วยเหลือของพวกเรา”

มังกรเขียวหัวเราะ เอ่ย “คุณซือคงออกโรงเอง ไม่ธรรมดาจริงๆ”

“เหอะๆ ท่านมังกรเขียวกล่าวเกินไปแล้ว” ซือคงฟู่หัวเราะ “ถึงหลินอิ่งจะไม่ได้ตอบตกลงร่วมมือทันที แต่ดูจากปฏิกิริยาเขาแล้วคงไม่มีปัญหาแน่”

มังกรเขียวพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ย “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ หลินอิ่งต้องกลับไปคิดอยู่แล้ว ด้วยนิสัยของคนผู้นี้ ที่ไม่ปฏิเสธในทันทีก็แสดงว่าเขากำลังชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียอยู่”

“ถูกต้อง!” ซือคงฟู่กล่าวสมทบ “ขอแค่กลับไปวางงานสักหน่อย แล้วตอนที่หลินอิ่งไปชางโจวก็ช่วยเขาคุมสถานการณ์ เรื่องการเข้าแทรกแซงตระกูลหลินก็เรียบร้อยโดยปริยาย”

“ท่านมังกรเขียว ผมได้รับรายงานข่าวใหม่ล่าสุดจากชางโจว” ซือคงฟู่เปลี่ยนเรื่อง พูดจริงจัง “ทางชางโจว ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลหลินพาคุณชายใหญ่ท่านนั้นกลับมาจากจี้โจวแล้ว คุณชายรองหลินเซี่ยวก็กลับมาจากหวงไห่แล้วเหมือนกัน”

“เท่าที่ผมรู้ หลินอิ่งไปชางโจวครั้งนี้อันตรายมาก ต้องเจอกับการต่อสู้แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่” ซือคงฟู่พูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล “ท่านมังกรเขียว เรื่องนี้ต้องให้คุณสั่งเคลื่อนพลแล้ว คัดสรรยอดฝีมือจำนวนหนึ่งให้ผมเอาไปชางโจว ช่วยหลินอิ่งคุมสถานการณ์ ให้เขารู้ศักยภาพของพวกเรา”

มังกรเขียวพยักหน้าแล้วเอ่ย “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา คนที่จะไปชางโจวผมได้จัดการเรียบร้อยแล้ว”

“ไว้คุณซือคงไปทดสอบได้ ถ้าไม่พอใจก็เลือกคนจากองครักษ์มังกรเขียวตามใจชอบได้เลยครับ”

“ฮ่าๆ” ซือคงฟู่หัวเราะใหญ่ “ท่านมังกรเขียวทำการไร้ช่องโหว่จริงๆ หากเรื่องตระกูลหลินสำเร็จ ผมต้องไปขอตกรางวัลต่อหน้าอาจารย์กู้ต้าให้ท่านอย่างแน่นอน”

มังกรเขียวยิ้มบางแล้วกล่าว “เราต่างก็ทำงานให้อาจารย์กู้ต้า ทำหน้าที่สุดความสามารถเท่านั้น”

“ครับ ครับ มียอดแม่ทัพอย่างท่านมังกรเขียว อาจารย์กู้ต้ายังต้องกังวลอะไรอีก?” ซือคงฟู่หัวเราะพลางเอ่ย

จากนั้นมังกรเขียวก็เปลี่ยนเรื่องพูด สีหน้าจริงจัง “คุณซือคง ในเมื่อจะเข้าแทรกแซงตระกูลหลิน ประคองหลินอิ่ง เช่นนั้นก็ต้องรู้เรื่องภายในตระกูลหลินและเบื้องหลังผู้แข่งขันอีกสองคน”

“เท่าที่ผมรู้มา เบื้องหลังคุณชายใหญ่กับคุณชายรองตระกูลหลิน ต่างมีกำลังหนุนที่แข็งแกร่ง ไม่ทราบคุณซือคงไปชางโจวครั้งนี้มีแผนรัดกุมแล้วหรือยังครับ?”

ได้ยินดังนั้นแล้ว สีหน้าซือคงฟู่ก็เคร่งขรึม เอ่ย “ผมได้สืบเรื่องผู้ท้าชิงอีกสองคนมาแล้ว มีแผนการละเอียด เรื่องนี้ผมก็เคยรายงานกับอาจารย์กู้ต้าแล้ว และได้รับการอนุมัติจากเขา อาจารย์อนุญาตให้ผมใช้อำนาจพิเศษ ต้องสืบเรื่องในตระกูลหลินให้ได้”

“คุณชายใหญ่ตระกูลหลิน…หลินเฉิงฮว่าได้รับการสนับสนุนหลายปัจจัยจากผู้อาวุโสใหญ่ ภายนอกยังมีกำลังสนับสนุนจากตระกูลฉินแห่งซีซานและสำนักชิงฮัว มีรากฐานมั่นคงในแวดวงลึกลับ”

“ส่วนคุณชายรองหลินเซี่ยว ถ้าเทียบกันแล้ว เขามีศักดิ์และอายุที่อ่อนกว่า ถ้าเทียบกับหลินเฉิงฮว่า ด้านอิทธิพลก็ด้อยกว่าเล็กน้อย แต่เหนือกว่าที่ความหนุ่มและความสามารถ ”

“จะว่าไป หลินเซี่ยวกับตาแก่มังกรเหลืองก็มีเกี่ยวข้องกันนิดหน่อย ถือเป็นกึ่งลูกศิษย์ของมังกรเหลือง” ซือคงฟู่พูดด้วยสีหน้าหยอก “หลินเซี่ยวไปขอพบมังกรเหลืองที่หวงไห่เพราะอยากได้การสนับสนุนจากเขา เสียแต่ตาแก่นั่นยกตัวขึ้นสูง ไม่ให้การสนับสนุน”

“เหรอครับ? คุณชายรองตระกูลหลินกับมังกรเหลืองก็เกี่ยวข้องกัน? อาจารย์กู้ต้าระวังนายท่านใหญ่ตระกูลหลินมานานแล้ว ในเมื่อพวกเขาเกี่ยวข้องกันแบบนี้ ทำไมพวกเราไม่แทรกซึมเข้าตระกูลหลินให้เร็วหน่อยล่ะ? แต่กลับไปเข้าหาหลินอิ่งแทน?” มังกรเขียวสงสัยเอ่ยถาม

ซือคงฟู่หัวเราะเย็น นัยน์ตาปนความนึกสนุก “ท่านมังกรเขียว ท่านกับตาแก่มังกรเหลืองก็เป็นเพื่อนสนิทกัน น่าจะรู้ดีว่าเขาเป็นคนแก่แล้วแก่เลย แต่ไหนมาตาแก่มังกรเหลืองก็ทำเฉยไม่แยแสอาจารย์กู้ต้า อยู่เฝ้าถิ่นหวงไห่ของตัวเอง ”

“ตอนแรก ตอนที่อาจารย์กู้ต้ามอบอำนาจประเทศหลุงให้มังกรดำ เขาเป็นคนที่ไม่พอใจมากที่สุดคนหนึ่ง อาจารย์กู้ยังส่งคนไปหาเขาเพื่อพูดคุยเรื่องตระกูลหลิน ให้เขาให้ความร่วมมือ แต่ตาแก่นั่นกลับหลบหน้า อ้างว่าป่วยหนัก มีใจไร้เรี่ยวแรง”

“เฮอะ ถ้าไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน อาจารย์กู้ต้าก็จัดการตาแก่หัวรั้นคนนั้นไปแล้ว” ซือคงฟู่พูดด้วยความเย็นชา ราวกับเห็นนักพรตมังกรเหลืองเป็นศัตรูจริง

มังกรเขียวฟังอย่างสงบ ทว่าสายตากลับเป็นประกาย

เมื่อได้ฟังไปฟังมาแล้วก็พอเข้าใจได้

นักพรตมังกรเหลืองถือเป็นผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์มากที่สุด ตอนที่อดีตประมุขเข้าเก็บตัว เขายังถึงกับเป็นผู้แทนกุมอำนาจในตอนนั้น ชื่อเสียงแทบเหนือกว่าอาจารย์กู้ต้าประมุขเทียนเหมินในตอนนั้นเสียอีก

ตอนหลังอดีตประมุขเก็บตัวหายสาบสูญไป ส่งมอบตำแหน่งประมุขให้ผู้สืบทอดของเขา ตอนนั้นนักพรตมังกรเหลืองก็เป็นคนที่ไม่พอใจมากที่สุดเหมือนกัน

กระทั่งเหตุโกลาหลในแก๊งมังกร นักพรตมังกรเหลืองก็ขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุด และอยากได้บัลลังก์ประมุข แต่สุดท้ายก็สู้อาจารย์กู้ต้าไม่ได้ จึงกบดานจนถึงตอนนี้

มังกรเขียวรู้ดี ว่ามังกรเหลืองก็มีใจทะเยอทะยาน มีกองกำลังมากมายอย่างที่ไม่อาจคาดเดา

ดูท่า…ตระกูลหลินแห่งลังยาจะล้ำลึกยากจะคาดเดาจริงๆ

“มังกรเหลืองจะเข้าแทรกตระกูลหลินหรือเปล่ายังไม่แน่ แต่เขาจะแอบชี้แนะคุณชายรองหรือเปล่า…ใครจะไปรู้”

มังกรเขียวกล่าวลอยๆ

เมื่อได้ยินดังนั้น ซือคงฟู่ก็หรี่ตา ในตาปรากฏแสงเย็นชา ราวกับรู้บางสิ่ง

“ท่านมังกรเขียวกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก เรื่องนี้ผมจะรายงานให้อาจารย์กู้ต้าทราบ” ซือคงฟู่พูดอย่างเคร่งขรึม “แต่แค่ความสัมพันธ์ของตาแก่มังกรเหลืองกับคุณชายรองตระกูลหลิน ก็ต้องกดเขาลงให้ได้แล้ว”

“แต่ไหนมามังกรเหลืองก็มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่แน่นะ เขาอาจหวังวิชาลับของตระกูลหลินด้วยก็ได้..” ซือคงฟู่พึมพำอย่างมีความคิดในใจ

“ท่านมังกรเขียว ท่านรอข่าวของผมก่อน ไปชางโจวครั้งนี้ หากเกิดเหตุขึ้น บางทีอาจต้องเชิญคุณให้มาช่วยคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง!” ซือคงฟู่กล่าวอย่างหนักแน่น

มังกรเขียวพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ย “คุณซือคง เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ขอแค่คุณมีอำนาจเคลื่อนย้ายกำลังคนของอาจารย์กู้ต้า ผมก็จะรอฟังข่าวอยู่ตี้จิง รอนำยอดฝีมือไปชางโจวตลอดเวลา”

“ได้! งั้นผมจะกลับไปยื่นเรื่องจัดการทันที”

ซือคงฟู่กล่าวตกลงแล้วก็ลงจากรถด้วยสีหน้านิ่งเย็น ขึ้นรถรถMPV สีดำของตัวเอง และจากไปไกลลับ

นัยน์ตามังกรเขียวเข้าสู่ห้วงลึก วางลูกประคำที่อยู่ในมือ ฝ่ามือผุดเหงื่อเย็นขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว

“ไปโรงเรียนชิงถึง” มังกรเขียวสั่งออกไป

คนขับรถที่อยู่ตรงที่นั่งคนขับเหยียบคันเร่งทันที

โรงเรียนชิงถึง เป็นโรงเรียนไฮโซที่ขึ้นชื่อของตี้จิง ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า

รถเบนซ์สีดำหยุดอยู่ปากประตูโรงเรียน มังกรเขียวลงจากรถ สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมิตรมากขึ้น เขาสวมชุดลำลอง ราวผู้ปกครองที่ดีที่กำลังมารับส่งบุตรธิดา

“ลุงฮั่วคะ หนูอยู่นี่!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กหญิงไร้เดียงสาดังมาจากไม่ไกล

เด็กผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยคนหนึ่งวิ่งเหยาะๆ เข้ามา

ใบหน้ามังกรเขียวเผยรอยยิ้มมีเมตตา ลูบศีรษะของเธอแล้วเอ่ย “สู้เอ๋อ ตั้งใจอ่านหนังสือที่พ่อบุญธรรมซื้อให้ครั้งที่แล้วหรือเปล่า?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท