ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 709 จิตสังหาร

บทที่ 709 จิตสังหาร

เมื่อรับรู้ว่ามียอดฝีมือปรากฏขนาบข้างแล้ว หลินอิ่งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“น้องหลินอิ่ง เธอยอมจำนนแต่โดยดีจะดีกว่า ยอมรับผิดดีๆ พี่น้องตระกูลเดียวกัน ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก แต่ถ้าเธอรู้สึกว่าเสียหน้า งั้นถ้าพวกเราลงมือจับกุมตัวเธอจริงๆ เธอต้องขายหน้าไปกันใหญ่!” หลินเซี่ยวพูดเย้ย

ในความคิดของหลินเซี่ยว วันนี้เขาต้องเหยียบหน้าหลินอิ่งให้ได้

ยอดฝีมือทั้งสองเป็นสมาชิกในคณะกรรมการผู้อาวุโสตระกูลหลิน เป็นหัวใจหลักของฝ่ายผู้อาวุโสสอง

การเจาะจงเชิญพวกเขามาในครั้งนี้ โดยรวมก็เพื่อตัดทอนความน่าเกรงขามของหลินอิ่ง

หลังจากวันนี้ไป ไม่เพียงทำให้หลินอิ่งต้องเจียมตัวในตระกูลหลิน แต่หลินเซี่ยวก็จะได้หน้าเพราะการเหยียบคุณชายสามคนนี้ด้วย

ทำให้แม่เฒ่าได้เห็น ว่าหลินอิ่งที่เธอให้ความสำคัญเป็นแค่ไอ้สวะเท่านั้น สู้เขาไม่ได้เลย

หลินอิ่งวางเฉย ทว่าจิตสังหารในดวงตาทวีความรุนแรงมากขึ้น

หลินเซี่ยววางมาดจะโค่นเขาให้ได้ นี่ทำให้เขาเริ่มมีใจคิดฆ่า

เมื่อหลินอิ่งมองไป ก็รู้ระดับฝีมือของผู้เฒ่าทั้งสองทันที

สองคนนี้ด้อยกว่าฉินเหิงเยว่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าเป็นยอดฝีมือเยี่ยมยุทธ์

จากเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าเบื้องหลังตระกูลหลินยิ่งใหญ่เพียงใด ที่ว่าตระกูลหลินมียอดคนเกลื่อนกลาดนั้นหาใช่ความเท็จไม่

ยอดฝีมือรายการระดับดินเป็นเจ้าพ่อในสังคมทั่วไปได้ และตระกูลหลินกลับปรากฏยอดฝีมือระดับรายการแห่งดินอยู่เนืองๆ

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะตระกูลหลินแห่งลังยามีรากฐานบูโดที่ล้ำลึก บ่มเพาะคนเก่งได้ทุกรุ่นทุกสมัย ทั้งยังเป็นที่ดึงดูดยอดฝีมือภายนอกอีก

ตระกูลหลินแห่งลังยาสมกับที่เป็นตระกูลลึกลับอันดับหนึ่ง และควรค่าแก่การขนานนามว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งบูโด

สถานการณ์ที่เผชิญในตอนนี้

หลินอิ่งตัดสินได้อย่างชัดเจน

กำลังของเขากำลังกลับคืนมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เดินกำลังสู้ศึกหนักก็มักชะลอการฟื้นฟู

หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากออกโรงเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลินเซี่ยวเป็นแค่คุณชายรองตระกูลหลิน แต่ด้านหลังเขายังมีผู้อาวุโสสองและคุณชายใหญ่ตระกูลหลินอีก

หลินอิ่งไม่อยากเห็นภาพที่ต้องเปิดศึกใหญ่กับหลินเซี่ยว

การรู้จักซ่อนคมก็เป็นระดับความสำเร็จอย่างหนึ่งเหมือนกัน

เพียงแต่…เวลานี้หลินเซี่ยวบีบคั้นเข้าทุกที หากไม่สั่งสอนให้หนัก ต่อไปก็จะวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น

ทำให้หลินเซี่ยวบาดเจ็บ บีบสองอาวุโสตระกูลหลินให้ล่าถอย

นี่เป็นเรื่องที่หลินอิ่งมั่นใจว่าสามารถทำได้ เพียงแต่เขาต้องแลกกับบางสิ่งเท่านั้น

“ยังไง? น้องหลินอิ่ง ฉันจะให้เวลาเธอคิดอีกสิบวินาที คิดให้ดีนะ! ถ้าจะผิดใจกับฉัน เธอเก่งพอเหรอ?” หลินเซี่ยวยิ้มเย็นพูด

“ฉันจะบอกให้นะ อย่าฝืนเป็นวีรบุรุษเลย อย่าคิดว่าน้องสะใภ้อยู่นี่ ขายหน้าต่อหน้าผู้หญิงแล้วจะรับไม่ได้” หลินเซี่ยวทำหน้าเย้ยเยาะ “ถ้าฉันไม่ขวางเรื่องนี้ไว้ให้ เหอซานกูกับพวกหัวหน้าสมาคมหลี่ต้องถลกหนังเธอแน่”

“เกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมา น้องสะใภ้จะทำไงละ? ฮ่าๆ”

เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉีโม่ก็ตกใจหนัก มองหลินอิ่งทันที ความหวาดกลัวและกังวลเผยออกมาจากสายตา

ทันใดนั้น ความเย็นในดวงตาหลินอิ่งก็ลงถึงจุดเยือกแข็ง

“หลินเซี่ยว แกรนหาที่ตายแล้ว!”

หลินอิ่งส่งเสียงคำราม จากนั้นร่างกายก็แล่นไปทางหลินเซี่ยวฉับพลัน

โครม!

หลินอิ่งใช้ฝ่ามือเป็นดาบ ใช้ชี่กังฟันออกไปด้วยความดุดัน ผ่าอากาศราวกับกระบี่อันคมกริบ เปี่ยมด้วยแรงสังหาร

วินาทีนั้นเอง หลินเซี่ยวที่เตรียมตัวอยู่ก่อนแล้วก็โต้กลับซัดออกไปสองฝ่ามือ ขับเคลื่อนกำลังภายใน ปะทะฝ่ามือกับหลินอิ่ง

เมื่อนั้น ชี่กังก็แผ่ออกไปเป็นวงแหวน เกิดเสียงสนั่นกลางอากาศ

ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างมุ่งสายตามองรัชทายาททั้งสองของตระกูลหลินที่กำลังสู้ศึกกันด้วยความตึงเครียด

เรื่องเหนือความคาดหมายได้เกิดขึ้นแล้ว! การปะทะฝ่ามือของทั้งสองเมื่อครู่ทำให้หลินเซี่ยวถูกกระแทกถอยไปสองสามก้าว เหยียบพื้นเป็นรอยบุ๋ม สุดท้ายถึงยืนได้มั่นคงด้วยการยันกำแพง

หลินอิ่งดาหน้าขึ้นไปอีก แต่กลับถูกผู้อาวุโสทั้งสองเข้าขวางอยู่ตรงหน้า

ช้งเช้งๆๆๆๆ

ร่างทั้งสามเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว วุ่นวายชุลมุนไปหมด

แค่หายใจไปสิบกว่าครั้งก็ประมือกันไม่น้อยกว่าห้าสิบกระบวนท่าแล้ว เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ต่อสู้จนโต๊ะเก้าอี้แหลกกระจัดกระจาย กระจกแตกละเอียด

แต่สุดท้ายหลินอิ่งก็ถูกขวางไว้

สองอาวุโสถอยไปอยู่ข้างหลินเซี่ยว มองหลินอิ่งด้วยใบหน้าตึงเครียด

“คุณชายสาม นี่คุณคิดเอาชีวิต? กับพี่น้องต้องอำมหิตเช่นนี้เชียวหรือ?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

หลินอิ่งไม่สนใจ ความเย็นยะเยือกของเขา ทำให้คนที่เห็นต้องหนาวสะท้านราวกับนั่งอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง

ใช่แล้ว! หลินเซี่ยวเหยียบถูกกับระเบิด

เขาไม่ควรพูดถึงจางฉีโม่ และไม่ควรข่มขู่เธอต่อหน้าเขา

“นี่…หลินอิ่งร้ายกาจอย่างนี้เชียว? รับมือคุณชายรองกับผู้อาวุโสสองคนได้ด้วยตัวคนเดียว?”

“ศึกนี้น่ากลัวชะมัด…”

คนตระกูลหลินที่สังเกตการณ์จากระยะไกล ต่างตะลึงตาค้างกระซิบกระซาบ

พวกเขาถูกพลังการรบที่หลินอิ่งระเบิดออกทำให้ตกตะลึง

เดิมยังคิดว่าหลินอิ่งไร้ทางไป ต้องถูกหลินเซี่ยวเหยียบย่ำยกใหญ่

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินอิ่งจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ต้อนคุณชายรองและผู้อาวุโสสองคนจนมุม

เช่นนั้น ก่อนหน้านี้ที่เขาอดกลั้นต่อการยั่วยุของตัวประกอบอย่างหลี่ว่านหยวนกับเหอซานกูล่ะ? เก็บอารมณ์ได้ดีจริง!

นี่แหละหนาที่เรียกว่าเก็บสายฟ้าไว้ในอก ใบหน้าสงบนิ่ง ยกขึ้นเป็นจอมพลได้

และในสายตาคนตระกูลหลิน หลินอิ่งก็คือคนเช่นนั้น

“ผู้อาวุโสสวี ผู้อาวุโสหลิว ฉวยโอกาสฆ่าหลินอิ่งซะ ปล่อยไว้ไม่ได้ จะให้มันกลับเขาลังยาไม่ได้เด็ดขาด” หลินเซี่ยวกระซิบ นัยน์ตาดุดันถึงที่สุด และคิดเอาชีวิตหลินอิ่งด้วย

“คุณชายรอง เอาอย่างนี้จริงหรือ?”

หลังจากผู้อาวุโสทั้งสองรู้สึกถึงจิตสังหารของหลินเซี่ยวแล้ว ใบหน้าก็เผยความตกตะลึงออกมา

“หลินอิ่งมันเก่งกว่าผม ศัตรูร้ายอย่างนี้ ถ้าให้แม่เฒ่าเจอเข้าต้องให้มันมีอำนาจในตระกูลแน่ จะปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด อาศัยตอนที่มันยังไม่มีที่ยืนในตระกูลกำจัดมันก่อน!”

หลินเซี่ยวพูดด้วยเสียงแผ่วเบา มีเพียงพวกเขาทั้งสามเท่านั้นที่ได้ยิน

“พวกท่านทั้งสองฟังผมนะ พวกท่านใช้ความเป็นผู้อาวุโสอ้างว่าจะไกล่เกลี่ย แล้วล่อหลินอิ่งออกไป พูดปลอบถ่วงเวลามันไว้ ส่วนผมจะติดต่อท่านปู่ให้ส่งยอดฝีมือมา คืนนี้ต้องเก็บหลินอิ่งในเมืองชางโจวนี้ให้ได้!”

“ถึงจะทำให้แม่เฒ่าไม่พอใจก็ต้องฆ่ามัน!”

เมื่อได้ฟังคำพูดที่ต้องเอาชีวิตให้ได้แล้ว ผู้อาวุโสสองคนก็สบตากัน ไม่ค่อยเข้าใจกับเรื่องนี้ จากนั้นก็มองหลินอิ่งเดินเข้ามา

พวกเขารู้นิสัยคุณชายสองหลินเซี่ยวดี ใจเหี้ยมอำมหิต เมื่อตัดสินใจแล้วจะไม่ลังเลเด็ดขาด

เป็นเช่นนั้นจริง หลินเซี่ยวคิดว่าตนตัดสินใจถูก เพราะเขาตกใจกับพลังของหลินอิ่ง และถูกความระห่ำของอีกฝ่ายทำให้ช็อกด้วย

คู่ปรับแบบนี้ หากมีโอกาสต้องตัดรากถอนโคน จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด!

“คุณชายหลินอิ่ง ดูท่าคุณกับคุณชายรองจะเกิดความเข้าใจผิดกัน พวกเราปรึกษากันแล้ว เห็นว่าจะใช้ความเป็นอาวุโสมาปรับความเข้าใจข้อพิพาทในครั้งนี้

ผู้อาวุโสหลินพูดกับหลินอิ่งด้วยความเคร่งขรึม

“ยังไงก็พี่น้องกัน เกิดเป็นเรื่องใหญ่ก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียงตระกูลหลินด้วย ที่นี่ไม่เหมาะจะคุย ไม่ทราบคุณชายหลินอิ่งจะไปคุยกันทางนั้นได้หรือเปล่าครับ?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท