ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 712 ไม่ฆ่าคนกระจอก

บทที่ 712 ไม่ฆ่าคนกระจอก

“อย่าว่าแต่คุณเลย ต่อให้มังกรเหลืองมาใช้วิชานี้ต่อหน้าผม ก็แค่เอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเท่านั้น” หลินอิ่งพูดเรียบ

“แก…” หลินเซี่ยวกระอักเลือดคำใหญ่ มองหลินอิ่งด้วยแววตาสิ้นหวัง “บอกมา แกเรียนมาจากที่ไหนกันแน่?!”

พลิกทะเลพิชิตมังกร เคล็ดวิชานี้เป็นกระบวนท่าที่นักพรตมังกรเหลืองหวงแหน และเป็นกระบวนท่าที่ร้ายกาจที่สุดที่สอนให้กับเขา

เมื่อหลายปีก่อนตอนที่หลินเซี่ยวติดตามอาจารย์เรียนวิชานี้ ตอนนั้นเขาต้องตรากตรำร่ำเรียนอยู่บนทะเลถึงหนึ่งปีเต็ม

ต้องอยู่บนผิวทะเลที่เป็นน้ำแข็ง ควานทะเลจับฉลามด้วยนิ้วมือทั้งห้า กระทั่งสามารถซัดน้ำแข็งจากผิวทะเลลงไปได้หลายสิบเมตรแล้วจับฉลามที่ว่ายอยู่ในน้ำให้ตายได้ จึงจะถือว่าเรียนรู้กระบวนท่านี้สำเร็จ

ความลำบากในช่วงเวลานั้น มีเพียงเขาที่รู้

ด้วยกระบวนท่านี้ หลินเซี่ยวสามารถท่องยุทธภพได้ ในแวดวงลึกลับก็สยบได้อย่างราบคาบ ในบูโดระดับเดียวกันก็แทบไม่มีใครสกัดเขาได้

เป็นเคล็ดวิชาที่นำความภาคภูมิมาให้เขา และเป็นความภูมิใจในบูโดของเขามาตลอด

แต่…วันนี้หลินอิ่งกลับใช้กระบวนท่านี้ทำจนเขาหมดท่า

ขยี้ความภาคภูมิของหลินเซี่ยวจนแหลกละเอียด แทบให้ความศรัทธาในบูโดของเขาแตกสลาย

หลินอิ่งยิ้มมุมปาก ไม่อธิบาย

หลินอิ่งแตกฉานเคล็ดวิชาทั้งหมดในแก๊งมังกร

พลิกทะเลพิชิตมังกรที่หลินเซี่ยวเรียนมาจากนักพรตมังกรเหลือง ต่อหน้าหลินอิ่งก็เป็นแค่กลเด็กเล่นเท่านั้น

และเพราะวิชาส่วนใหญ่ของหลินเซี่ยวมาจากนักพรตมังกรเหลือง หลินอิ่งจึงเดาทางออกและสยบเขาได้

ไม่เช่นนั้นด้วยกำลังของหลินอิ่งในตอนนี้ หากจะคว่ำหลินเซี่ยวยังต้องใช้กำลังอีกมาก

หลินอิ่งไพล่หลัง เดินไปทางหลินเซี่ยว

หลินเซี่ยวตื่นตระหนก อยากจะลุกขึ้น แต่เพราะความเจ็บปวดทั่วร่าง ชี่กังภายในที่แตกซ่าน และการที่กระดูกเส้นลมปราณสะบั้นจึงขยับตัวไม่ได้

“หลินอิ่ง แกจะทำอะไร?!”

พลั่ก!

หลินอิ่งเหยียบใบหน้าหลินเซี่ยวอย่างแรง กดใบหน้าเขาติดพื้นขยับไม่ได้

“จำไว้! อย่ามาข่มขู่ผู้หญิงของผมต่อหน้าผม!” หลินอิ่งพูดเสียงเย็น “แต่น่าเสียดาย คุณไม่มีโอกาสเรียนจุดนี้แล้ว!”

หลินเซี่ยวกระอักเลือดออกมาสองคำ หน้าแดงอับอาย เบิกตาโต ทั้งขายหน้าทั้งโกรธ

ความอดสูเช่นนี้ทำให้เขาโมโหตายทันที

เขาเป็นถึงคุณชายสองแห่งตระกูลหลิน เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูล เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอยู่ในแวดวงลึกลับ

แต่กลับ…กลับถูกคนสยบลงพื้น เหยียบศีรษะต่อหน้าธารกำนัล!

“คุณชายเซี่ยวไม่เป็นใช่ไหม? หลินอิ่ง! คุณอย่าทำไปเรื่อยนะ! คิดจะทำอะไรนะ?!”

“คุณชายเซี่ยวเป็นคนที่แม่เฒ่าให้ความสำคัญมาก คุณอย่าทำไปเรื่อยนะ! เกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาคุณจะรับผิดชอบไม่ไหว!”

อีกด้านหนึ่ง หลังจากผู้อาวุโสหลิวเห็นท่าทางหลินเซี่ยวซมซานแล้วก็ตกใจตะโกนโหวกเหวก รีบร้อนจะมาคุ้มกัน

“ไอ้แก่ ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดเลย ยังมีใจไปห่วงคนอื่นอีก?”

ซือคงฟู่หัวเราะหยอกเย้า หมุนตัวซัดฝ่ามือออกไป ทำจนผู้อาวุโสหลิวต้องพ่ายถอยหลังเนืองๆ ไม่อาจสนใจหลินเซี่ยวได้อีก

วินาทีนี้ ใบหน้าลูกหลานตระกูลหลินแต่ละคนที่มุงล้อมดูจากไกลๆ ต่างตกใจจนหน้าขาวซีด

พวกเขาไม่กล้าเสียงดัง มองคุณชายเซี่ยวถูกหลินอิ่งเหยียบติดอยู่กับพื้นเหมือนสุนัขตัวหนึ่งอย่างตกตะลึง

ภาพนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!

ใครก็คิดไม่ถึง ว่าคุณชายเซี่ยวที่จัดงานเลี้ยงให้หลินอิ่งที่กลับตระกูลหลินมาเสียหน้า

แต่ท้ายที่สุด…กลับเป็นเช่นนี้ไปได้!

คุณชายเซี่ยว รัชทายาทสองแห่งตระกูลหลิน มีอำนาจในตระกูลหลินเพียงใด?

แต่เมื่อประมือกับคุณชายสามหลินอิ่งที่กลับมาอย่างทรงอิทธิพลแล้ว กลับถูกกำราบจนเหมือนสุนัข

เหลือเชื่อ! ไม่อยากจะเชื่อเลย!

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง คนตระกูลหลินกลุ่มนี้ยังต้องคิดว่าตาตัวเองมีปัญหา!

“หลินอิ่ง! อย่าฆ่าฉันนะ ถ้าแกฆ่าฉัน นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังมีแต่จะทำให้แกต้องลำบาก”

หลินเซี่ยวทิ้งศักดิ์ศรีคุณชายสองตระกูลหลินไปแล้ว กระหืดกระหอบร้องขอชีวิต

“ฉันยินดีจะขอขมาแก ขอโทษคุณนายแกด้วย ขอแต่อย่าฆ่าฉันเลย!”

“ฉันเป็นคุณชายสอง เป็นพี่แก ถ้าแกฆ่าฉันแล้วจะไปอธิบายกับแม่เฒ่ายังไง? แม่เฒ่าต้องโกรธแน่ แล้ว… ปู่ๆ ของฉันก็ต้องไม่ปล่อยแกไปด้วย!”

“หลินอิ่ง! ถึงแกจะฆ่าฉันก็ครองตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลินไม่มั่นคงหรอก! อย่าลืมนะ! ตระกูลหลินยังมีคุณชายใหญ่อีก ถ้าพวกเราเพลี่ยงพล้ำทั้งสองฝ่าย สู้กันตายไปข้าง มีแต่จะให้คุณชายใหญ่ได้ประโยชน์!”

หลินอิ่งยังคงไร้อารมณ์ แม้ได้ฟังคำวิงวอนขอชีวิตของหลินเซี่ยวแล้ว เขาก็ยังไม่หวั่นไหว ซ้ำเพิ่มแรงเท้าหนักกว่าเดิม เหยียบจนกล้ามเนื้อใบหน้าอีกฝ่ายเปลี่ยนรูป ศีรษะลงฝังอยู่ในปูน

“อ้า…!”

หลินเซี่ยวส่งเสียงทรมาน อดกลั้นต่อความเดือดดาลแล้วพูดดีเอาใจ “หลินอิ่ง อย่าเพิ่งวู่วามไป ถ้าวู่วามฆ่าฉันแล้ว มีแต่จะให้แกเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด”

“ฉันยอมจับมือเป็นมิตรกับแก ต่อไป ฉันจะสนับสนุนแกต่อสู้กับคุณชายใหญ่ ครั้งนี้ฉันยอมแพ้แกแล้ว”

หลินอิ่งกล่าวเรียบ “ตอนนี้มายอมแพ้? ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่ล่ะ?”

“ก่อนหน้านี้ฉันมีตาหามีแววไม่ หลินอิ่ง แกปล่อยฉันไปเถอะ อาจารย์ของฉันคือนักพรตมังกรเหลือง แกฆ่าฉันแล้วไม่แค่ต้องรับกับศึกหนักจากตระกูลหลิน อาจารย์ฉันก็ต้องไม่ปล่อยแกไปแน่”

หลินอิ่งยิ้มเย็น พูดด้วยความเย้ยหยัน “คุณคิดว่ามังกรเหลืองจะทำอะไรผมได้?”

“อย่าเพิ่งเข้าใจผิด หลินอิ่ง ฉะ ฉันไม่ได้เอานักพรตมังกรเหลืองมาขู่แก รอบนี้ฉันแพ้แล้ว”

“หลินอิ่ง ตอนอยู่ตี้จิงแกยังไม่ฆ่าหลินสวนถูเลย นี่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าแกเกรงจะทำให้แม่เฒ่าโกรธเหรอ? ยำเกรงความเกรียงไกรของตระกูลหลิน”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมแกต้องใช้อารมณ์ บีบฉันให้ถึงที่สุดด้วยล่ะ?”

หลินเซี่ยวใช้ความคิดทั้งหมดราวกับเกิดปัญญาในยามวิกฤต เพื่อร้องขอชีวิตแล้ว คุณโทษอะไรก็พูดออกมาหมด

หลินอิ่งส่ายหน้า กล่าวเรียบๆ “อย่างที่คุณพูด คุณเก่งกว่าหลินสวนถู ที่ผมไม่ฆ่าเขา เพราะเขาไม่คู่ควร”

“ผมหลินอิ่ง ไม่ฆ่าคนกระจอก!”

เมื่อพูดจบ หลินอิ่งก็ออกแรงเหยียบหน้าอกหลินเซี่ยว

ครืน! อาคารทั้งชั้นสั่นสะเทือน เพดานด้านบนแตกร้าวและมีเศษหินตกลงมาประปราย

“อ้า…!”

หลินเซี่ยวครวญครางทรมานอย่างบ้าคลั่ง เลือดสดทะลักออกมาจากปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความแค้น

วินาทีต่อมา เขาก็สิ้นลมหายใจ ศีรษะหันไปอีกข้าง

คุณชายสองของตระกูลหลินถูกหลินอิ่งเหยียบตายคาที่

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท