ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 715 เหยียบเขาลังยา

บทที่ 715 เหยียบเขาลังยา

เมื่อได้ฟังการลอบถามของซือคงฟู่แล้ว

หลินอิ่งก็ทำหน้านิ่ง เกิดความระแวดระวัง

ฐานะของซือคงฟู่ ทำให้เขาต้องปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวัง

“การต่อสู้ของผมกับหลินเซี่ยวในวันนี้ คุณซือคงมองไม่ออกเหรอครับ?” หลินอิ่งถามหน้านิ่ง

หลินอิ่งรู้ว่าซือคงฟู่เป็นคนในสำนักโหมวของแก๊งมังกร งานหลักของสำนักนี้ก็คือการคิดแผนรายงานข่าว ไม่แตกฉานด้านบูโดสักเท่าไหร่

ซือคงฟู่หัวเราะ “คุณชายอิ่งเห็นผมเป็นพวกสามเศียรหกกรหรือไงกัน? รับมือกับสองอาวุโสตระกูลหลิน แล้วยังมีตาไปมองศึกของคุณชายอิ่งอีกหรือ?”

การต่อสู้กับหลินเซี่ยวในวันนี้ เขาใช้แค่กระบวนท่าธรรมดาเท่านั้น ตอนสุดท้ายที่ซัดจุดตายถึงได้ใช้พลิกทะเลพิชิตมังกรของทางมังกรเหลือง

อย่าว่าแต่ซือคงฟู่ที่กำลังติดพันกับคนอื่นอยู่แล้ว ถึงเขาจะแสดงต่อหน้าซือคงฟู่อีกครั้ง อีกฝ่ายก็ยังจับทางไม่ได้อยู่ดี

การต่อสู้นั้นไวดุจสายฟ้า ดวงตาเห็นแต่ภาพติดตาเท่านั้น

อีกทั้งบูโดในแก๊งมังกรมากมายหลายแขนง ห้าสำนักสิบสองฝ่ายล้วนไม่เชื่อมโยงกัน ต่างฝ่ายต่างพัฒนา รับผิดชอบต่อประมุขคนเดียวเท่านั้น

แม้ซือคงฟู่ที่เป็นทูตที่อยู่ข้างตัวอาจารย์กู้ต้า และเคยติดต่อกับนักพรตมังกรเหลือง ก็ยังมองวิชาของมังกรเหลืองไม่ออก

ครั้นแล้วหลินอิ่งจึงเอ่ย “ถ้าคุณซือคงอยากรู้ ผมจะบอกให้ก็ได้”

“บูโดของผมได้รับการถ่ายทอดมาจากแม่ เป็นเคล็ดวิชาตระกูลหลินไม่กี่บท เรียนมาตั้งแต่ยังเด็ก พออยู่กับตระกูลฉีก็ได้อาจารย์ดังท่านหนึ่งให้คำชี้แนะ ทางบูโดก็เลยหลากหลาย” หลินอิ่งพูดหน้านิ่ง

ซือคงฟู่พยักหน้าเล็กน้อย และไม่ถามมากความอีก

เขาพิจารณาคำพูดของหลินอิ่ง… ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาตระกูลหลินมาไม่กี่บท? ตระกูลฉีเชิญอาจารย์ดังมา?

ฟังดูแล้วก็สมเหตุสมผลดี เพราะตระกูลหลินแห่งลังยาเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งบูโด วิชามากมายหลายหลาก ตระกูลฉีก็มีธุรกิจใหญ่โต มีเงินทองบารมีชุบเลี้ยงผู้ฝึกบูโด

หลินอิ่งออกจากตระกูลแต่เล็ก เติบใหญ่ในที่เล็กๆ มีพรสวรรค์บูโดเชื้อจากตระกูลหลิน ประสบความสำเร็จในวันนี้ได้ก็ไม่ถือว่าเกินเลยไปนัก

เมื่อนั้นซือคงฟู่จึงไม่สงสัยหลินอิ่งอีก

เพราะซือคงฟู่เป็นคนหยิ่งในตน เขาไม่เชื่อว่าอยู่กับหลินอิ่งแล้ว หากหลินอิ่งเป็นเป้าหมายที่สงสัยจริงจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้!

อีกอย่าง ตอนนี้ก็จับมือเป็นพันธมิตรกับหลินอิ่งแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยชักจูงแนะนำให้อาจารย์กู้ต้ารู้จัก

ถึงจะเล็ดลอดสายตาเขาไป แต่ก็พ้นสายตาอาจารย์กู้ต้าไม่ได้หรอกมัง?

เมื่อไร้ความกังวลแล้ว การพูดคุยของซือคงฟู่จึงผ่อนคลายลงมาก

“คุณชายอิ่งไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ซือคงฟู่พูดเนิบ “ตอนผมอายุเท่าคุณ แค่ขึ้นรายการแห่งคนได้ก็ดีใจกระโดดโลดเต้นแล้ว ภูมิใจเสียไม่มี ”

“แต่คุณชายอิ่งกลับมีพลังถึงรายการแห่งดินขั้นสูงแล้ว ต่อไปต้องขึ้นถึงรายการแห่งฟ้าขั้นสุดยอดได้แน่”

หลินอิ่งกล่าวไปแบบธรรมดา “แต่การที่คุณซือคงมีตำแหน่งสูงในแก๊งมังกรได้ นี้ก็เห็นแล้วว่าต้องฝึกสำเร็จในภายหลัง”

“คุณซือคงก็น่าจะรู้คำพูดนี้ดี เบื้องล่างรายการแห่งฟ้าก็เป็นแค่มดแมลง ผู้ฝึกบูโดที่ไม่สามารถถึงรายการแห่งฟ้าได้ อย่างไรก็เงยหน้าไม่ขึ้น ”

ซือคงฟู่กำลังหยั่งเชิงหลินอิ่ง

ทว่าคำพูดหลินอิ่งประโยคนี้ก็กำลังหยั่งเชิงเขาเช่นกัน

เพราะจนถึงตอนนี้หลินอิ่งก็ยังมองพลังของซือคงฟู่ไม่ออก ตาแก่คนนี้ปกปิดเสียมิดชิดเชียว

“ฮ่าๆ!” ซือคงฟู่หัวเราะชอบใจ ราวกับถูกหลินอิ่งพูดโดนจุด ท่าทางภาคภูมิใจมาก “ถูกต้อง! ตอนนั้นผมเป็นคนธรรมดาในกลุ่มรุ่นเดียวกันของสำนัก แต่สุดท้ายก็ได้แสดงความโดดเด่นออกมา”

“รายการแห่งฟ้าน่ะนะ โอกาสหายาก ขั้นนี้ได้แต่พบพานไม่อาจขอ” ซือคงฟู่ค่อยวาที “หากคุณชายอิ่งโชคดีได้เคล็ดลังยามา บางทีอาจเข้าถึงความล้ำลึกได้บ้าง”

“ก็ขอให้เป็นอย่างที่หวังล่ะครับ” หลินอิ่งหัวเราะ ดื่มชาอึกหนึ่ง

“ด้วยความสามารถของคุณชายอิ่ง ต้องได้อย่างที่หวังแน่” ซือคงฟู่ก็หัวเราะดื่มชาด้วย

จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยสัพเพเหระ

ตอนนี้หลินอิ่งแน่ชัดแล้ว ว่าฝีมือซือคงฟู่ต้องถึงระดับรายการแห่งฟ้า

ก่อนที่เขาจะคืนกำลังตามเดิม จะผิดใจกับคนผู้นี้ไม่ได้เด็ดขาด

อีกอย่าง ซือคงฟู่ก็มีประโยชน์มาก ไม่เพียงแต่เป็นอาวุธร้ายชิ้นหนึ่ง แถมยังเลาะถามเรื่องอาจารย์กู้ต้าได้จากเขาอีก

หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง หลินอิ่งก็เหมือนมีเรื่องพูด “คุณซือคงครับ ยังมีอีกเรื่อง ก่อนหลินเซี่ยวจะตาย เขาบอกว่าอาจารย์ของเขานักพรตมังกรเหลืองจะมาแก้แค้นให้เขา”

เมื่อได้ยินดังนั้นซือคงฟู่ก็แวบความเย็นชาออกมา เอ่ย “มีเรื่องเช่นนี้ ก็หลินเซี่ยวเป็นลูกศิษย์ของนักพรตมังกรเหลืองนี่”

“แต่คุณชายอิ่งไม่ต้องกังวลไป นักพรตมังกรเหลืองไม่กล้าออกจากมณฑลหวงไห่ง่ายๆ หรอก เขาไม่มาหาเรื่องคุณเพราะศิษย์คนนี้แน่ และถึงเขาจะมา คุณชายอิ่งก็วางใจได้เลย มีผมซือคงฟู่อยู่ จะไม่ให้เขามาอาละวาดได้แน่” ซือคงฟู่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เหรอครับ?” หลินอิ่งชักสนุก เหมือนซือคงฟู่จะมีความขัดแย้งกับนักพรตมังกรเหลืองเล็กน้อย

หลินอิ่งรู้ความเป็นมาของนักพรตมังกรเหลือง แต่ไม่รู้จักกับเขา และไม่รู้สถานการณ์ในแก๊งมังกรตอนนี้ด้วย

“เท่าที่ผมรู้มา นักพรตมังกรเหลืองเป็นที่ยกย่องในแก๊งมังกร เป็นผู้อาวุโสที่มากด้วยประสบการณ์ มีคุณธรรมสูงส่ง คุณซือคงจะเอาเขาอยู่หรือ?” หลินอิ่งพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย

“เหอะๆๆ” ซือคงฟู่หัวเราะแห้ง คิดว่าหลินอิ่งแค่ระมัดระวังเท่านั้น “คุณชายอิ่ง แก๊งมังกรมีอาจารย์กู้ต้าเป็นประมุข ถึงมังกรเหลืองจะมีคุณธรรมสูงส่ง เป็นที่นับหน้าถือตายังไงก็ต้องดูสถานะของตัวเอง พูดในอีกแง่มุมหนึ่ง คุณชายอิ่งเป็นพันธมิตรกับผม ก็ถือว่าร่วมมือกับอาจารย์กู้ต้าด้วย เขากล้าขัดขวางอาจารย์กู้ต้าหรือ?”

“การที่คุณชายอิ่งฆ่าศิษย์ของมังกรเหลืองก็เป็นความต้องการของผมเหมือนกัน! พูดตามตรง คนที่ผมพามาคือองครักษ์ของมังกรเขียว เขาเองก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ด้วย ก็เลยให้การสนับสนุนคุณกับผมที่ชางโจว คาดว่าคุณชายอิ่งน่าจะรู้ว่ามังกรเขียวเป็นใคร คุณกับเขาก็อยู่ตี้จิงเหมือนกัน เอาไว้เสร็จเรื่องที่นี่แล้วผมค่อยแนะนำให้คุณรู้จัก ”

ว่าแล้วซือคงฟู่ก็หัวเราะสะใจ จิบชาสบายอารมณ์

ถูกต้อง! ที่หลินอิ่งสังหารหลินเซี่ยว ซือคงฟู่ก็อยากเห็นผลลัพธ์แบบนี้นี่แหละ ชอบใจนัก

เขากับนักพรตมังกรเหลืองมีความแค้นดั่งขุนเขา การเอาคืนทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องธรรมดา

หลินอิ่งพูดไปเรียบๆ “งั้นก็ดีครับ”

ซือคงฟู่เหมือนกำลังคิดถึงอะไร พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พรุ่งนี้คุณชายอิ่งยังต้องขึ้นเขาลังยาอีกละสิ? ผมยังไม่สะดวกจะไปกับคุณ คุณชายอิ่งต้องระวังให้มาก ผมจะรอคุณอยู่ที่ชางโจว”

“ครับ” หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “ได้เวลาแล้ว คุณซือคงรอฟังข่าวจากผมเถอะ”

ครั้นแล้วทั้งสองก็แยกทางกัน

หลินอิ่งพาจางฉีโม่กลับไปนอนพักที่โรงแรม

เช้าวันถัดมา…

เมื่อหลินอิ่งและจางฉีโม่ตื่นนอนและลงจากตึก

ฉินเหิงเยว่ได้ขับรถมารออยู่ที่ชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว เขามารับหลินอิ่งและคุณนายหลินไปเขาลังยา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน