ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 710 ใจเด็ด!

บทที่ 710 ใจเด็ด!

ท่าทางหลินอิ่งเย็นชาถึงที่สุด ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของสองอาวุโส

“ไม่จำเป็นต้องปรับความเข้าใจ ให้หลินเซี่ยวคุกเข่า!”

หลินอิ่งพูดด้วยเสียงเย็น

คำพูดนี้ราวกับสายฟ้าฟาดผ่า ทำให้ทุกคนในที่นี้ตกตะลึง

คนตระกูลหลินที่มุงดูพากันอ้าปากค้าง

พูดเป็นเล่น?! จะให้คุณชายรองหลินเซี่ยวคุกเข่า? คุณ…คุณชายสามหลินอิ่งที่กลับมาคนนี้เผด็จการขนาดนี้เลยเหรอ?!

หลินเซี่ยวเป็นถึงใครกัน? เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอด เป็นคุณชายรอง แบ็คกราวด์ยังมีอิทธิพลใหญ่ล้นฟ้า แถมยังเป็นที่โปรดปรานของแม่เฒ่าอีก!

คนตระกูลหลินกว่าพันชีวิต ไม่ว่าใคร ฐานะสูงแค่ไหน มีใครกล้าสั่งให้หลินเซี่ยวคุกเข่าบ้าง?

หลินอิ่งคิดว่าตัวเองเป็นนายท่านใหญ่ตระกูลหลินหรือยังไง?!

ผู้อาวุโสหลิวและผู้อาวุโสสวีต่างตะลึงกับคำพูดของหลินอิ่ง พาให้สมองหยุดชะงัก ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรมาหลอกล่อหลินอิ่งดี

“หลินอิ่ง! ฉันอุตส่าห์ไว้หน้าแก แต่แกกลับจะให้ฉันคุกเข่า?! ไอ้นอกคอก! แกกล้าดียังไงฮะ?!”

หลินเซี่ยวเดือดพลุ ชี้นิ้วก่นด่าหลินอิ่ง

บ้าไปแล้ว!

ช่างไม่รู้ว่าตัวเองเป็นตัวอะไร!

จะให้เขาคุกเข่าต่อหน้าประชาชี?

หลินเซี่ยวโกรธจัด แทบอยากสั่งให้สองอาวุโสเก็บหลินอิ่งเสียตอนนี้

“คุณชายหลินอิ่ง คุณดื่มมากไปหรือว่าธาตุไฟเข้าแทรก? สถานการณ์อย่างนี้ คุณเป็นถึงคุณชายสามตระกูลหลิน พูดแบบนี้ได้เหรอ?!” ผู้อาวุโสหลิวพูดเสียงหนัก “คุณชายเซี่ยวเป็นพี่ชายของคุณ ตระกูลหลินเคร่งยศศักดิ์ คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?!”

“เหล่าสวี กุมตัวคุณชายหลินอิ่งไปสงบสติกับฉันก่อนเถอะ เรื่องนี้ต้องกลับไปให้คณะกรรมการผู้อาวุโสเป็นผู้ตัดสิน”

ผู้อาวุโสสวีพยักหน้านิ่ง

ว่าแล้วทั้งสองก็ค่อยๆ ขยับเข้าประชิดหลินอิ่ง

นัยน์ตาหลินอิ่งแวบไอเย็น บีบมือที่ไพล่หลังอยู่จนแน่น

“ใครจะกุมตัวคุณชายอิ่งเหรอ?”

ตอนนี้เองที่ปากประตูก็มีเสียงทุ้มเย้าแหย่ลอยมา

ชายสูงอายุผมหงอกคิ้วขาวในชุดเสื้อคอจีนสีเหลืองอ่อนเดินเอื่อยเข้ามา พร้อมกับชายชุดดำสายตาคมเฉียบมาสิบกว่าคน

ซือคงฟู่พาคนมาแล้ว

เขาย่างเท้าทางหลินอิ่งมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า เผยรอยยิ้มแล้วเอ่ย “ระหว่างทางมีเรื่องนิดหน่อย คุณชายอิ่งคงไม่ถือที่ผมมาสายหรอกนะครับ?”

หลินอิ่งไม่ตอบ ก่อนหน้านี้ก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าซือคงฟู่อาจยื่นมือเข้ามา

ดูท่าตาแก่คนนี้คงจ้องเขาอยู่ตลอด น่าจะถึงโรงแรมชางไห่นานแล้ว แต่แค่ยื่นมือมาช่วยตอนนี้เท่านั้น

เมื่อรับกับความเย็นชาของหลินอิ่ง ซือคงฟู่ก็ไม่ได้โกรธ เขาหัวเราะแล้วมองไปทางพวกหลินเซี่ยว สายตาดูแคลน

“พวกคุณกล้าไม่ใช่เล่น จะจับกุมคุณชายอิ่งเหรอ? ถามผมหรือยัง?”

ซือคงฟู่พูดเสียงกร้าว ตำหนิผู้อาวุโสทั้งสอง

ผู้อาวุโสหลินพูดเสียงหนัก “คุณเป็นใครถึงกล้าบุกเขาสถานที่ของตระกูลหลิน? แล้วยังกล้ามาโอหังวางอำนาจอีก!”

“ผม…ซือคงฟู่แห่งเจียงเป่ย”

ซือคงฟู่พูดเรียบ

“ไม่เคยได้ยิน ยังไง? แกก็เป็นคนของหลินอิ่งหรือไง? คนจากเจียงเป่ยกล้ามาวางก้ามที่ชางโจวเหรอ? แถมยังกล้าขวางความประสงค์คณะกรรมการผู้อาวุโสอีก?”

หลินเซี่ยวพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“แกบุกเข้าสถานที่ตระกูลหลินมาโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วยังมาเห่าหอนที่นี่อีก เดี๋ยวจะเจื๋อนไอ้แก่นี่ซะเลย!”

ทุกคนต่างมองออกว่าซือคงฟู่เป็นยอดฝีมือแห่งศิลปะการต่อสู้ แค่มองไม่ออกถึงระดับของเขาเท่านั้น

แต่จะว่าไป…ในเมื่อเป็นลูกน้องของหลินอิ่ง ก็คงไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง

เพราะตอนนั้น แค่หลินสวนถูคนเดียวก็ทำจนรังของหลินอิ่งในตี้จิงวุ่นวายอลหม่านไปหมด หากไม่ใช่เพราะเจ้าตัวออกหน้าในตอนท้าย ก็คงถูกกวาดเรียบไปนานแล้ว

“ฮ่าๆๆ? เจื๋อนไอ้แก่อย่างฉัน?” ซือคงฟู่สะบัดพัดขาวที่ถืออยู่ในมือ ส่ายหน้าด้วยท่าทางหยิบแกมหยอก “หลินเซี่ยวหนอหลินเซี่ยว ตาเฒ่ามังกรเหลืองอาจารย์ของเธอยังไม่กล้าโอหังต่อหน้าฉันเลย แต่เธอกลับกล้ายิ่งกว่า”

“ถ้าไม่รู้จักฉันซือคงฟู่ ก็โทรไปถามมังกรเหลืองอาจารย์เธอดูสิ ว่าซือคงฟู่เป็นใคร” ซือคงฟู่พูดเย้ยเรียบๆ “แต่เอ๊ะไม่ได้สิ! ตาแก่มังกรเหลืองพิลึกคนจริงเชียว นี่มันสมัยไหนแล้วยังใช้พิราบสื่อสารอยู่อีก จะหาเขายังต้องไปหวงไห่ด้วยตัวเอง ถ้าเธอจะไปหาเขาก็ต้องไปเกาะหวงหลงที่หวงไห่ แต่ก็นะ…ไม่แน่ว่าเขาจะเปิดประตูให้?”

เมื่อคนในตระกูลหลินได้ฟังคำพูดของซือคงฟู่แล้วก็งุนงง

แต่หลินเซี่ยวกลับเบิกตาโตจ้องซือคงฟู่ด้วยสายตาตกใจและหวาดกลัวอย่างหนัก

ความสัมพันธ์ของเขากับมังกรเหลืองมีคนรู้ไม่มาก

อย่าว่าแต่อย่างอื่นเลย การที่ซือคงฟู่พูดได้ละเอียดขนาดนี้ รู้นิสัยความเคยชินของนักพรตมังกรเหลือง ทั้งยังรู้ว่าเขาอยู่ที่เกาะหวงไห่

หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นคนรู้จักของนักพรตมังกรเหลือง?

จากที่ฟัง อีกฝ่ายก็เหมือนไม่เห็นนักพรตมังกรเหลืองอยู่ในสายตา

แต่…นี่เป็นแค่ลูกน้องหลินอิ่งนี่?

ลูกน้องหลินอิ่ง เป็นคนใหญ่คนโตขนาดนี้เชียวหรือ?

เป็นไปได้ยังไง?!

หลินเซี่ยวคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก ทั้งมองค่ายสำนักของซือคงฟู่ไม่ออก ดังนั้นจิตใจเขาจึงเริ่มว้าวุ่น

“หลินเซี่ยว ไม่ต้องกลัวไป ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่าทีของคุณชายอิ่ง” ซือคงฟู่วางตัวตามสบายสะบัดพัด หยอกหลินเซี่ยว

ต้องยอมรับเลยว่าซือคงฟู่ข่มเก่งทีเดียว จากท่าทางแล้วก็กดหลินเซี่ยวได้อยู่หมัด

ขณะที่พูด ซือคงฟู่ก็หันกลับไปมองหลินอิ่ง พูดอย่างจริงจัง “คุณชายอิ่ง ไม่ทราบคุณคิดจะทำยังไงครับ? ผมจะทำตามที่คุณบอก ผมได้แสดงความจริงใจของผมแล้วนะ

หลินอิ่งมองซือคงฟู่สายตาหนึ่ง ยิ้มชืดเอ่ย “ผมคิดจะทำยังไง? เรื่องที่ผมต้องการให้คุณทำ คุณกล้าทำเหรอ?”

“ฮ่าๆๆ” ซือคงฟู่หัวเราะ “คุณชายอิ่ง ว่ามาได้เลย ในเมื่อพวกเราจะร่วมมือกันก็ต้องจริงใจต่อกันอยู่แล้ว ผมไม่คิดว่าจะมีเรื่องที่ผมกลัวหรอกนะ”

“ฆ่าหลินเซี่ยว”

หลินอิ่งกล่าวไปเรียบๆ

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าสบายๆ ของซือคงฟู่ก็เคร่งเครียดขึ้นมา จ้องหลินอิ่ง

“ไม่กล้า?” หลินอิ่งมองซือคงฟู่ พูดด้วยความเย็นชา

ทันใดนั้น ซือคงฟู่ก็มองหลินอิ่งใจลอยไปเล็กน้อย รู้สึกอย่างกับกำลังเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจ

เมื่อเจอกับคำสั่งของหลินอิ่ง เขาก็รู้สึกหวั่นเกรง ถูกความกดดันส่งทอดมาถึง ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับอดีตท่านประมุขและอาจารย์กู้ต้าประมุขคนปัจจุบัน

ฆ่าหลินเซี่ยว?

ซือคงฟู่อดลังเลเป็นไม่ได้

หลินอิ่งใจเด็ดจริง

ชางโจวเป็นถิ่นของตระกูลหลินแห่งลังยา และหลินเซี่ยวก็เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลหลิน

คนที่สังหารคุณชายรองที่นี่ ก็คือเขาซือคงฟู่ เขาจำต้องทบทวนผลตามมาให้ดี…

“คุณชายอิ่ง ต้องฆ่าให้ได้หรือ?” ซือคงฟู่ถามด้วยความจริงจัง

หลินอิ่งพูดเรียบ “เขาทำให้ภรรยาผมตกใจ”

“ถ้าคุณไม่กล้า ก็สกัดผู้อาวุโสตระกูลหลินสองคนนั้นให้หน่อย ผมจัดการเอง!” หลินอิ่งพูดเป็นง่าย

“เพื่อสาวงามเองหรือนี่” ซือคงฟู่จ้องหลินอิ่งทีหนึ่ง แทบจะตบโต๊ะด้วยความสะใจ ครั้งแล้วก็ปรบมือ พูดสะท้อนใจ “คุณชายอิ่ง คุณใจเด็ดมาก! ผมชื่นชม! มีความใจเด็ดของคุณแบบนี้แล้วยังต้องกลัวอะไรอีก ผมซือคงนับถือ!”

“วันนี้ ผมจะทำเรื่องนี้เป็นเพื่อนคุณเอง!”

“เด็กๆ! คุณชายอิ่งจะฆ่าคน ทุกคนไปปิดล้อมโรงแรมชางไห่ไว้ ห้ามใครเข้าออก!” ซือคงฟู่สะบัดมือสั่งการ “เจ้าเจ็ดเจ้าแปด! ไปสกัดตาเฒ่าสองคนนั้นกับฉัน เปิดทางให้คุณชายอิ่ง!”

หลังจากทุกคนที่ได้ยินการสนทนาของหลินอิ่งกับซือคงฟู่แล้ว ก็สะดุ้งหนัก

หลินเซี่ยวทั้งตกใจทั้งเลือดขึ้นหน้า “พวกแกจะบ้าไปแล้วเหรอ? คนบ้าสองคนมาพูดเพ้อเจ้ออะไรที่นี่! จะฆ่าฉัน? ฉันหลินเซี่ยวยืนอยู่นี่แล้ว หลินอิ่ง! แกกล้าฆ่าฉันเหรอ?!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท