ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 719 ทำลายบูโดด้วยดาบเดียว?

บทที่ 719 ทำลายบูโดด้วยดาบเดียว?

“ใช่! แม่เฒ่าปราดเปรื่องยิ่งนัก เรื่องนี้ผมเห็นด้วย ต้องให้หลินอิ่งมันรู้ซะบ้าง ว่าถ้าไม่มีตระกูลหลินคุ้มกะลาหัวแล้วต้องเผชิญหน้ากับท่านเฉินเฟิงคนเดียวจะกดดันขนาดไหน!” หลินเสวียนหมิงพูดอย่างจริงจัง “แต่ไหนมาหลินอิ่งก็บ้าเลือด ขนาดศิษย์ของท่านเฉินเฟิงก็ยังถูกเขาฆ่า ถ้าไม่ได้แม่เฒ่าออกหน้าห้ามไว้ หุบเฉินเฟิงคงบุกไปฆ่ามันถึงตี้จิงแล้วแน่”

“แล้วมันล่ะ? นอกจากจะไม่สำนึกความกรุณาของตระกูลหลินที่มีต่อมัน แล้วยังไม่สำนึกบุญคุณแม่เฒ่าที่ช่วยมันอีก พอมาชางโจวก็ฆ่าเซี่ยวเอ๋อ พฤติกรรมแบบนี้เห็นชัดว่าคนคนนี้มีจิตใจโหดเหี้ยม”

หลินเสวียนหมิงค่อยวาที

และเมื่อเขากล่าวจบ หลินเสวียนเฮ่อก็ลุกขึ้นมาสนับสนุนต่อ

“ใช่ๆ แม่เฒ่า! ผู้อาวุโสสองพูดถูก พฤติกรรมของหลินอิ่งแต่ละอย่าง แสดงให้เห็นว่าเขามีประสงค์แอบแฝง ไม่สำนึกในบุญคุณตระกูลหลินแล้วซักนิด ไม่รู้จักกฎระเบียบ แม่เฒ่าให้ความสำคัญคุณชายเซี่ยวขนาดนี้ เขาก็ยังกล้าฆ่า นี่มันใช่การกลับตระกูลนับบรรพบุรุษยังไง? มีใจคิดคดชัดๆ! ผมยังสงสัยเลยนะ ว่าคนคนนี้จะเป็นสายที่แก๊งมังกรส่งมา!”

แม่เฒ่าหรี่ตา บีบบดอัญมณีเขียวใสที่ฝังติดอยู่บนหัวมังกรยอดไม้เท้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“แม่เฒ่าต้องคิดให้ดีนะครับ! แต่ถ้าแม่เฒ่าติดที่เพิ่งเรียกตัวหลินอิ่งกลับมา แล้วการฆ่าเขาจะทำให้ตระกูลหลินเสื่อมเสียชื่อเสียง งั้นก็ยืมมือท่านเฉินเฟิงเก็บมันเสียสิ คนภายนอกจะได้เห็นว่าเรายุติธรรม แล้วยังได้ขจัดความกังวลของภายในด้วย อีกอย่าง ต่อไปท่านเฉินเฟิงจะได้สำนึกบุญคุณ สวามิภักดิ์กับพวกเราไม่เป็นอื่น”

เมื่อเห็นแม่เฒ่าไม่ตอบโต้ หลินเสวียนเฮ่อก็ได้คืบเอาศอก

สีหน้าแม่เฒ่าไม่พอใจ หรี่ดวงตาลงเล็กน้อย เหลือบมองหลินเสวียนเฮ่อ

“เสวียนเฮ่อ นี่แกผิดแล้วยังจะผิดอีกนะ! ตอนนั้นฉันออกหน้าขวางไม่ให้ท่านเฉินเฟิงไปแก้แค้นหลินอิ่ง พอมาวันนี้กลับจะปล่อยให้ท่านเฉินเฟิงไปแก้แค้นหลินอิ่งงั้นเหรอะ? มีที่ไหนมาขัดแย้งกันเองแบบนี้?!” แม่เฒ่าพูดเสียงหนัก

“เรื่องพวกนั้นที่แกว่ามามันปั้นน้ำเป็นตัวชัดๆ จริงอยู่ที่หลินอิ่งมีแก๊งมังกรหนุนหลัง แล้วพวกแกล่ะ? มีใครไม่มีเส้นสายมีอิทธิพลในแวดวงลึกลับ ไม่มีเพื่อนที่คบหาสนิทชิดเชื้อ?”

“ไม่ต้องพูดเรื่องกำจัดหลิงอิ่งอีก!”

แม่เฒ่าพูดเป็นประกาศิต ตัดสินเรื่องของหลินอิ่ง

หลังจากแม่เฒ่าตระกูลหลินได้ยินข่าวว่าหลินเซี่ยวเสียชีวิตแล้ว นอกจากความตกใจและความเสียดายแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับหลินอิ่งเลย

คนที่ดำรงตำแหน่งสูงอย่างแม่เฒ่า พบเจอกับเรื่องมากมายหลายหลาก กุมอำนาจตระกูลหลินมาหลายปี การตรึกตรองจะเหมือนกับหญิงธรรมดาหรือ?

เรื่องที่หลินอิ่งกับหลินเซี่ยวประมือกัน จะเป็นหลินเซี่ยวตายก็ดี หลินอิ่งตายก็ช่าง ทุกอย่างล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของแม่เฒ่าทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ

ที่แม่เฒ่าคำนึงถึง คือผลประโยชน์ส่วนรวมของตระกูล

หลินอิ่งมีพลังร้ายกาจขนาดนี้ ถึงกับฆ่าหลินเซี่ยวได้ในการสู้ตัวต่อตัว ดังนั้นหลินอิ่งย่อมเป็นที่จับตามองและต้องฝึกฝนให้มาก

ที่แม่เฒ่าแนะให้หลินอิ่งไปพบกับตู้เฉินเฟิง ก็คงเพราะอยากฝึกฝนหลินอิ่งเท่านั้น ให้หลินอิ่งเจอกับอุปสรรคบ้าง ทั้งยังเป็นการบอกคนตระกูลหลิน ว่านี่ก็คือบทลงโทษของเขา ถือเป็นการปกป้องแบบอ้อมๆ

ในความคิดของแม่เฒ่า ตู้เฉินเฟิงอย่างมากก็แค่ระบายอารมณ์กับหลินอิ่ง สั่งสอนเขาสักยกเท่านั้น

“นี่…!”

เมื่อได้ยินแม่เฒ่าพูดตรงๆ ว่าห้ามฆ่าหลินอิ่งแล้ว แววตาหลินเสวียนหมิงก็เผยความไม่พอใจสุดขีดออกมา

แต่…เขากลับอดกลั้นไว้อย่างที่ไม่เคยทำ คงความใจเย็น ไม่โต้แย้งแม่เฒ่าในทันที

“เอาล่ะ ตามนี้ก็แล้วกัน ให้ฉินเหิงเยว่ไปบอกหลินอิ่ง” แม่เฒ่ากล่าว

จากนั้นผู้อาวุโสตระกูลหลินสองสามคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ก็กลับไปแบบต่างฝ่ายต่างมีความคิด

เมื่อผู้คนออกไปจนหมดแล้ว แม่เฒ่าก็นั่งอิงอยู่กับเก้าอี้ปรมาจารย์ หรี่ดวงตาเล็กน้อย มองขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ

“ฉินชาง คุณไปเก็บตัวอย่างนี้ สบายจังเลยนะ ปล่อยให้ยายเฒ่าอย่างฉันจัดการคนเยอะแยะในเขาลังยา บ้านนี้…คุมยากจริงๆ” แม่เฒ่าพูดพึมพำอย่างมีความคิด

“ตระกูลหลินมีคนรุ่นใหม่ไฟแรงอีกแล้วหนา ขนาดฉันยังมองเขาไม่ออกเลย บางทีคงต้องรอคุณออกจากการเก็บตัวแล้วถึงจะควบคุมหลินอิ่งคนนี้ได้”

อีกด้านหนึ่ง เมื่อหลินเสวียนหมิงออกจากห้องโถงใหญ่ พักผ่อนอยู่ที่ลานบ้านด้านนอก แต่เมื่อกลับถึงห้องแล้ว เขาก็กลับไปนั่งเก้าอี้ด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด ดื่มชาไปอึกใหญ่

“เสวียนเฮ่อ! วันนี้แกเห็นแล้วหรือยัง? แม่เฒ่าลำเอียงถึงขนาดนี้! เซี่ยวเอ๋อเป็นเหลนของเขา ส่วนไอ้หลินอิ่งมันเป็นแค่เหลนนอก แต่ดันไปเข้าข้างมันเสียได้ เลอะเลือนไปแล้วหรือยังไง!”หลินเสวียนหมิงพูดเสียงหนัก

หลินเสวียนเฮ่อถอนหายใจ “เฮ้อ แต่ไหนมาแม่เฒ่าก็เดาใจยาก แต่นี่ก็พอเข้าใจได้ คุณชายเซี่ยวเสียแล้ว ไม่มีค่าอะไรจะพูดถึงอีก มุมมองที่แม่เฒ่ามองต่างกับพวกเรา”

“พี่รอง แม่เฒ่าปกป้องหลินอิ่งขนาดนี้ ถ้าคิดจะเล่นงานมันในคณะกรรมการผู้อาวุโสคงไม่ง่ายแล้วล่ะ เที่ยวนี้แม่เฒ่าให้หลินอิ่งไปเจอกับท่านเฉินเฟิง นี่เพราะคิดอยากยืมท่านเฉินเฟิงมาสั่งสอนหลินอิ่ง พร้อมบอกเราว่าเรื่องที่หลินอิ่งฆ่าคุณชายเซี่ยวจบเพียงเท่านี้ ไม่เอาความอีกชัดๆ”

“จบเพียงเท่านี้? เหอะๆๆ แม่เฒ่าวางหมากไว้ดีจริง แต่ฉันก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะ” หลินเสวียนหมิงหัวเราะเย็น

“ท่านเฉินเฟิงจะแค่สั่งสอนมันจริงเหรอ? หา? ฉันคุยกับท่านเฉินเฟิงไว้แล้ว ให้เขาทำลายบูโดมันในทีเดียว!” หลินเสวียนหมิงพูดด้วยสีหน้าเหี้ยม “ถึงตอนนั้น บูโดไอ้หลินอิ่งสูญสิ้น ฉันจะดูซิว่าแม่เฒ่ายังจะปกป้องไอ้เดรนั่นอีกไหม!”

“เหรอครับ? พี่รองแอบนัดแนะกับท่านเฉินเฟิงแล้วเหรอครับ?” หลินเสวียนเฮ่อเปลี่ยนสีหน้า ถามด้วยความตะลึง

“ใช่! ท่านเฉินเฟิงรออยู่ที่เขาลังยานี่ตั้งหลายวัน แม่เฒ่าต้องให้ไอ้หลินอิ่งคุยกับเขาอยู่แล้ว ฉันก็เลยให้สัจจะกับตู้เฉินเฟิงไว้ แล้วก็รับปากเขาก็ว่าจะเก็บกวาดเรื่องให้ ส่วนเขาก็รับปาก ว่าถ้าได้เจอไอ้หลินอิ่งแล้วจะทำลายจุดตันเถียนของมันทันที ให้มันสูญสิ้นบูโด!” หลินเสวียนหมิงหัวเราะเย็นกล่าว

“ท่านเฉินเฟิงเป็นยอดฝีมือที่เคยขึ้นถึงรายการแห่งฟ้า ถึงกำลังจะถดถอย แต่ก็จัดการไอ้หลินอิ่งได้สบาย!” หลินเสวียนเฮ่อพูดสะท้อนใจ “การยืมมีดฆ่าคนของพี่รองนี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”

“เฮอะ เหอซานจินศิษย์ท่านเฉินเฟิงคนนั้น เป็นเด็กที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ความสัมพันธ์เหมือนพ่อลูก จะกล้ำกลืนความแค้นนี้ได้ยังไง? ฉันแค่สะกิดนิดเดียว ตู้เฉินเฟิงก็ตกปากรับคำแล้ว”

“รอดูเถอะ พอท่านเฉินเฟิงทำลายบูโดมันแล้ว ฉันก็จะจัดการมันได้ตามใจชอบ ต้องเอามันมาทรมานสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นจนตายแน่!”หลินเสวียนหมิงพูดเสียงเหี้ยม

……

“คุณชายหลินอิ่ง แม่เฒ่าบอกให้คุณไปพบท่านเฉินเฟิงที่ห้องด้านข้างก่อน”

ที่นอกห้องโถงใหญ่ ฉินเหิงเยว่มองหลินอิ่งพร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“พบท่านเฉินเฟิง?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว

“ครับ” ฉินเหิงเยว่พยักหน้า “แม่เฒ่าต้องการให้คุณไปเจรจากับท่านเฉินเฟิงเรื่องที่คุณฆ่าศิษย์ของเขาที่ตี้จิงให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยไปห้องโถงใหญ่พบท่านพร้อมคุณนายหลิน”

อึกใจหนึ่งแล้วน้ำเสียงฉินเหิงเยว่ก็เข้มขึ้น “คุณชายหลินอิ่ง แม่เฒ่าเข้าข้างคุณนะ ที่ให้คุณไปพบท่านเฉินเฟิงก็เพื่อปิดปากคนอื่น ให้บทเรียนกับคุณเท่านั้น อย่างมากก็แค่ถูกท่านผู้นั้นข่มนิดหน่อย”

หลินอิ่งพยักหน้านิ่ง “ครับ”

“คุณนำทางไปเถอะ ผมจะไปพบตู้เฉินเฟิงซักหน่อย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท