ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 721 ท่องโลกกว้าง?

บทที่ 721 ท่องโลกกว้าง?

ท่านเฉินเฟิงแทบจะถือว่า เป็นตำนาน และความศรัทธาในหัวใจของเขา ไม่กล้าที่จะไม่เคารพหลินอิ่ง

ในการต่อสู้ครั้งนั้น หลินอิ่งได้เปรียบเอาชนะ ทำให้ตู้เฉินเฟิงที่มีชื่อเสียงอยู่อันดับต้นๆของรายการแห่งฟ้าพ่ายแพ้ เหยียบย่ำความภาคภูมิใจของการเป็นปรมาจารย์รายการแห่งฟ้าของเขาให้แหลกสลาย!

ท่านเฉินเฟิงไม่มีวันลืมความหวาดกลัวที่หลินอิ่งมอบให้

ถึงเรื่องจะเกิดขึ้นมานานหลายปี รัศมีออร่าที่คุ้นเคยและทรงพลังบนตัวของหลินอิ่ง สายตาที่เย็นชาจนทำให้คนหวาดหวั่น เป็นฝันร้ายของเขาทั้งหมด!

ดังนั้น หลินอิ่งจะให้เขาคุกเข่า เขาไม่กล้าที่จะไม่คุกเข่า!

“หึ!”

หลินอิ่งทำเสียงหึอย่างเย็นชา ดึงเก้าอี้ปรมาจารย์ตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องโถงออก แล้วนั่งลงอย่างสง่างาม

“ตู้เฉินเฟิง ผมเป็นคนฆ่าเหอซานจินลูกศิษย์ของคุณเองแหละ คุณจะยอมรับไหม หรือว่าไม่ยอม?” หลินอิ่งมองไปที่ท่านเฉินเฟิงด้วยความเย็นชา แล้วถามอย่างเยือกเย็น

คำถามนี้ ทำให้เอาท่านเฉินเฟิงราวกับถูกสายฟ้าฟาด เขาตะลึงอยู่กับที่ น้ำเสียงสั่นเครือ……

“นะ นามแฝงของคุณคือหลินอิ่ง?หลินอิ่งแห่งตี้จิง?” ท่านเฉินเฟิงถามด้วยความเหลือเชื่อ

เขาไม่เคยคิดว่า หลินอิ่งเป็นชายหนุ่มผู้ลึกลับที่ทำลายแขนซ้ายของเขาในตอนนั้น!

และคิดไม่ถึงด้วยว่า หลินเสวียนหมิงให้เขาจัดการหลินอิ่งทิ้งเสีย!ซึ่งนี่เป็นคนที่เขากลัวที่สุดในชีวิต!

ในตอนที่หลินอิ่งไม่ทิ้งชื่อเสียงเรียงนามไว้ให้เขา เรียกตัวเองแค่ว่าคนท่องโลกกว้าง ไม่ต้องการคนรับใช้

ถ้าหากรู้ตั้งแต่แรก ถึงท่านเฉินเฟิงจะกล้าหาญอย่างไร ก็ไม่กล้าลงมือกับหลินอิ่งแน่นอน!

“ผะ ผมไม่รู้ว่าเป็นผู้อาวุโส!” ท่านเฉินเฟิงกล่าวอย่างตัวสั่น

“ผู้อาวุโสฆ่าเหอซานจิน ผมยอมรับครับ แม้แต่ชีวิตของผม ผู้อาวุโสก็เป็นคนไว้ชีวิตผม เหอซานจินรนหาที่ตายเองที่ไปปะทะผู้อาวุโส ตายก็สมควรแล้ว” ท่านเฉินเฟิงพูดอย่างเคารพ

ใช่แล้ว ตอนนั้นถ้าหากหลินอิ่งไม่เมตตา ท่านเฉินเฟิงก็คงตายไปแล้ว แม้แต่เขาเองยังไม่กล้าต่อสู้กับหลินอิ่ง จะไปโต้แย้งกับหลินอิ่งเพื่อลูกศิษย์ได้อย่างไร?

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ตอนนั้นเขาสมัครใจที่จะติดสอยห้อยตามหลินอิ่งเอง แต่กลับไม่ได้ความสำคัญจากหลินอิ่ง ซึ่งเขาก็รู้สึกเสียใจมาก

อีกทั้ง มือของเขาไม่ได้เสียไปซะทีเดียว แต่ถูกหลินอิ่งใช้วิธีลึกลับผนึกเส้นลมปราณไว้

แม้แต่เขาที่เป็นสุดยอดบูโดรายการแห่งฟ้า ก็ยังถูกหลินอิ่งใช้วิธีการที่คาดคิดไม่ถึงในการผนึกไว้!

ตอนนั้นหลินอิ่งก็เคยทิ้งคำพูดไว้ ในภายภาคหน้าหากมีวาสนา มีอะไรให้ตู้เฉินเฟิงคนอย่างคุณช่วย จะปลดผนึกเส้นลมปราณของคุณให้

หลายปีมานี้ท่านเฉินเฟิงก็เคยใช้เส้นสายของตัวเอง เพื่อค้นหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง กระทั่งยังเคยไปเข้าพบฉู่จี้ชังราชาสมุนไพรเฒ่าตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน อยากจะปลดผนึกเส้นลมปราณ แต่คนที่เขาขอร้องกลับบอกว่าทำอะไรไม่ได้เลย

ดังนั้น ภายในใจของตู้เฉินเฟิง หลินอิ่งเป็นตำนานคนหนึ่ง ที่มีการดำรงอยู่อย่างเทพเจ้า เขาเฝ้ารอคอยที่จะพบกับหลินอิ่งท่านผู้สูงส่งคนนี้อีกครั้ง บูโดของเขาถึงจะสามารถกลับมารุ่งโรจน์ได้

หลินอิ่งไร้ซึ่งสีหน้าความรู้สึก มองไปที่ตู้เฉินเฟิง แล้วพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉยว่า “ในเมื่อคุณยอมรับ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด ผมจะไม่กล่าวโทษอะไรคุณอีก”

“ขอบคุณครับผู้อาวุโสที่ไม่ฆ่าผม!” ท่านเฉินเฟิงตื้นตันใจ พูดอย่างเคารพ

ในสายตาของเขา หลินอิ่งจะฆ่าเขาเป็นเรื่องชั่วพริบตาเท่านั้น เพราะความแข็งแกร่งของหลินอิ่งยังคงเป็นเรื่องลึกลับ ท่านเฉินเฟิงจึงไม่กล้าเอาชีวิตของตัวเองไปลอง

ในตอนแรก หลินอิ่งที่ยังเป็นวัยรุ่นดูไปแล้วมีวิชาบูโดธรรมดา แต่พอได้ลงมือขึ้นมา ราวกับพลังแห่งการทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่!

“ผู้อาวุโสครับ ผมขอถาม ชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริง ว่าท่านมีนามว่าอะไรครับ!” ท่านเฉินเฟิงพูดอย่างนอบน้อม

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉยไปว่า “หลินอิ่ง นั่นคือชื่อจริงของผม”

ท่านเฉินเฟิงมีสีหน้าที่ตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลินอิ่ง หลังจากนั้นก็รีบเก็บสายตา ไม่กล้าสบตาของหลินอิ่ง

คุณชายอิ่งแห่งตี้จิง บุคคลที่ชื่อหลินอิ่งท่านนี้ ที่มาที่ไปและภูมิหลังของเขา ท่านเฉินเฟิงได้ไปสืบมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว!

ริมฝีปากของเขาขยับเบาๆ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็อดใจเอาไว้ ไม่กล้าถามหลินอิ่งออกไป

ในสายตาของท่านเฉินเฟิง หลินอิ่งเป็นการดำรงอยู่ที่ลึกลับมากกว่านายท่านใหญ่ของตระกูลหลิน!

หลินอิ่งรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ อายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น

แต่จากที่ท่านเฉินเฟิงดูแล้ว มันไม่ง่ายขนาดนั้น

เขาเคยติดอันดับรายการแห่งฟ้า เคยเห็นยอดมนุษย์เหนือคนมาก่อน รู้ว่าบนโลกใบนี้มียอดฝีมืออยู่มากมาย

บางคนมีทักษะเฉพาะตัว มีลักษณะเหมือนเด็กๆ อาจจะมีอายุเป็นร้อยปีหรืออาจจะมีใบหน้าที่อายุสิบกว่าปี!

ยอดฝีมือเช่นนี้มักชอบสับเปลี่ยนตัวตนท่องโลกกว้าง คอยอ่านและลิ้มลองรสชาติของทางโลก

หลินอิ่ง อาจจะเป็นยอดฝีมือท่านหนึ่งที่กำลังท่องโลกกว้าง จะสามารถคาดเดาอายุจากหน้าตาได้อย่างไร

แม้ว่าหลินอิ่งจะอายุเพียงยี่สิบกว่าปี ถ้าอย่างนั้นในตอนที่อายุสิบกว่าขวบก็สามารถทำลายเขาได้ ผนึกวิชาบูโดของเขาไว้!

ความสามารถที่น่าอัศจรรย์นี้ยิ่งทำให้ตกตะลึงมากยิ่งขึ้น!

ท่านเฉินเฟิงเดิมทีอยากถามหลินอิ่ง ถึงจุดประสงค์ที่มาตระกูลหลินแห่งลังยา แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรเยอะ

สีหน้าท่าทีของหลินอิ่งเรียบเฉย มองดูสีหน้าเคร่งเครียดของท่านเฉินเฟิง และไม่รู้เหมือนกันว่าตาแก่กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

สำหรับท่านเฉินเฟิงแล้ว หลินอิ่งมีวิธีการชั่งใจของตัวเอง

ตอนนั้นตนเองปิดผนึกเส้นลมปราณส่วนหนึ่งของท่านเฉินเฟิงไว้ ทำให้ความแข็งแกร่งของวิชาบูโดของเขาถูกตัดทอนไป

มาวันนี้ แน่นอนว่าสามารถปลดผนึกให้เขาได้

หลินอิ่งพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย “ในเมื่อมีวาสนาพบกันแล้ว ผมก็จะช่วยคุณปลดผนึกตามความเหมาะสมแล้วกัน”

“นี่!” ท่านเฉินเฟิงถึงกับรู้สึกตื่นเต้น “ผู้อาวุโสหลินอิ่งยอมปลดผนึกให้กระผมหรอครับ?”

“ตู้เฉินเฟิงยอมจงรักภักดีต่อผู้อาวุโสหลิน จะให้รับใช้เป็นทาสก็ยอม!”

ท่านเฉินเฟิงพูดด้วยความตื้นตันใจ

หลินอิ่งกล่าวอย่างยิ้มๆว่า “หลังจากนี้ไป ผมจะดูความประพฤติของคุณ”

“ครับ!” ท่านเฉินเฟิงพูดอย่างตื้นตันว่า “ถ้าผู้อาวุโสหลินมีอะไรให้รับใช้ ก็พูดออกมาได้เลยครับ!”

เห็นกำลังไฟได้ประมาณหนึ่งแล้ว ท่านเฉินเฟิงเองก็เลื่อมใสศรัทธาแล้ว

หลินอิ่งจึงพูดขึ้นมาว่า “ตัวตนของผม คุณถือซะว่าไม่รู้ก็แล้วกัน ในภายภาคหน้า ถ้าผมมีระดมพล จะต้องเรียกคุณแน่”

“ผมขอถามคุณหน่อยนะครับ เหตุใดคุณถึงกล้าลงมือกับผมที่ภูเขาลังยาอย่างโหดเหี้ยมครับ?”

“นี่……” ท่านเฉินเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสหลินครับ นี่เป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสสองเสวียนหมิงแห่งตระกูลหลินกับผมได้ปรึกษากันไว้ เขายั่วยุให้ผม……คุณก็น่าจะรู้ดี ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยรู้เลยว่าผู้อาวุโสจะเป็นหลินอิ่ง……”

“หลินเสวียนหมิง เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

“ช่างเถอะ เรื่องของตระกูลหลินแห่งลังยา คุณไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง อีกเดี๋ยวถ้าไปพบแม่เฒ่าตระกูลหลิน มอบหมายทุกอย่างแล้วลงจากเขาซะ”

“หลังจากลงเขาไป งะ งั้นต่อไปผมจะติดต่อผู้อาวุโสหลินยังไงครับ?” ท่านเฉินเฟิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง

หลินอิ่งจึงพูดขึ้นมาว่า “คุณไปรอผมที่มณฑลชางโจว ถ้ามีเรื่องอะไรให้มอบหมายไว้ ผมจะส่งคนไปหาคุณ”

“ดะ ได้ครับ ผู้อาวุโสหลิน ผมจะฟังคำสั่งของคุณทุกอย่างเลยครับ” ท่านเฉินเฟิงกล่าวอย่างนอบน้อม

“เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ ผมยังมีธุระต้องทำอีก” หลินอิ่งหยักหน้าเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

“ผู้อาวุโสหลินค่อยๆเดินนะครับ ผมจะไปส่งคุณ……” นายท่านเฉินรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แล้วเดินตามหลินอิ่งไป

“ไม่ต้องส่งหรอก อีกเดี๋ยว อาจจะต้องให้คุณไปคุยที่คฤหาสน์ของตระกูลหลินหน่อย” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ครับๆ” ท่านเฉินเฟิงพยักหน้าอย่างนอบน้อม แล้วก้าวถอยหลังไปหลายก้าว มองดูหลินอิ่งเดินออกจากห้องโถงไป

ในตอนนี้เอง ด้านนอกคฤหาสน์ หลินเสวียนหมิงกับหลินเสวียนเฮ่อได้เดินทางมาถึงแล้ว มาเพื่อรอดูสถานการณ์อันน่าเศร้าที่หลินอิ่งจัดการบูโดของท่านเฉินเฟิง!

“พี่รองครับ เมื่อกี้ผมสัมผัสได้ถึงรัศมีของความเฉียบแหลมที่อยู่ไกลออกไปในคฤหาสน์ ท่านเฉินเฟิงน่าจะลงมือฆาตกรรมไปแล้ว หลินอิ่งคนนี้จะต้องถูกกำจัดไปแล้วแน่ๆ!อีกทั้งเด็กคนนี้ยังหยิ่งผยอง ไม่แน่ ท่านเฉินเฟิงอาจจะฆ่าเขาด้วยความโกรธไปแล้วก็ได้” หลินเสวียนเฮ่อพูดพลางยิ้มอย่างเย้ยหยันอยู่ข้างๆ

มุมปากของหลินเสวียนหมิงเผยให้เห็นถึงความโหดเหี้ยม แล้วพูดขึ้นมาว่า “ฉันหวังว่าหลินอิ่งอย่าตายในมือของท่านเฉินเฟิง ฉันยังต้องค่อยๆทรมานเด็กคนนี้ถึงจะทำให้ฉันหายแค้นได้ หลินอิ่งกล้าเป็นปรปักษ์กับฉัน ให้เขาตายไปทั้งๆอย่างนี้ จะทำให้มันสบายเกินไป!”

“พี่รองพูดถูกครับ หลินอิ่งคนนี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงได้ผิดใจกับพี่ กล้าฆ่าคุณชายเซี่ยว สมน้ำหน้าที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าพี่วางแผนอีกหน่อย งั้นก็ให้เขาฟื้นฟูกลับมาไม่ได้อีกน่ะสิครับ” หลินเสวียนเฮ่อพูดอย่างประจบ

หลินเสวียนหมิงหัวเราะอย่างได้ใจ ใบหน้าเต็มไปสุขกายสบายใจ

ในเวลานี้เอง หลินอิ่งกลับเดินออกมาโดยไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่ปลายผม

หลินเสวียนหมิงกับหลินเสวียนเฮ่อ สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เปลี่ยนเป็นหน้าเสีย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท