ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 722 ผิดคาด

บทที่ 722 ผิดคาด

หลินอิ่งเดินมาจนถึงด้านนอก ก็พบว่านอกจากฉินเหิงเยว่ที่กำลังรออยู่ ยังมีชายวัยกลางคนสองคนที่สวมชุดคอจีนลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา

คนหนึ่ง ใบหน้าแข็งกร้าว สายตาดุจดั่งนกอินทรี จ้องมองมาที่หลินอิ่งด้วยความเย็นชา

หลินอิ่งเหลือบตามอง คิ้วขมวดเล็กน้อย

คนที่มองเขาอยู่นั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยความทรงพลังที่หาผู้ใดมาเปรียบได้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร มองตนเองด้วยความอาฆาต

“คุณหลินอิ่ง นี่คือหลินเสวียนหมิงผู้อาวุโสสองกับหลินเสวียนเฮ่อผู้อาวุโสแปดครับ” ฉินเฟิงเยว่ยืนแนะนำอยู่ข้างๆ

“หลินเสวียนหมิงผู้อาวุโสสอง?” หลินอิ่งทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ มองไปที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นที่ทรงพลังด้วยสีหน้าเมินเฉย

หลินเสวียนหมิงยืดตัวตรง รัศมีออร่าไม่ธรรมดา สายตาคู่นั้นมีพลังมาก ยืนอยู่ที่นั่นราวกับเหยี่ยวที่ทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า เผยให้เห็นออร่าที่ดุดันและดุร้าย

หลินเสวียนหมิงแก่กว่าหลินซวนหวาผู้เป็นปู่ อายุที่แท้จริงควรจะมีอายุหกสิบกว่าแล้ว กระทั่งอายุเจ็ดสิบเข้าไปแล้ว

แต่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก หลินเสวียนหมิงเหมือนคนที่อายุสี่สิบถึงห้าสิบปี ชายวัยกลางคนที่กำลังรุ่งโรจน์ในชีวิต ผมดำครับ เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ

หลินอิ่งมองแวบเดียวก็ตัดสินใจได้ในทันที นี่คือปรมาจารย์ระดับรายการแห่งฟ้า!

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้อาวุโสสองแห่งตระกูลหลิน

แต่ก่อนหน้านี้ ได้เคยดวลกันมานับไม่ถ้วนแล้ว

ในทุกครั้ง มักเป็นหลินเสวียนหมิงที่ต้องกล้ำกลืนกับผลของความเจ็บปวด ความอาฆาตที่เขามีต่อตนเอง มันสามารถจินตนาการได้

หลินเสวียนหมิงทำเสียงหึอย่างเย็นชา กลอกตาใส่หลินอิ่งอย่างเยือกเย็น หันหลังเดินจากไป โดยไม่พูดอะไร

สีหน้าของหลินเสวียนเฮ่อถึงกับเขียนจนคล้ำ หน้าแดงก่ำ แล้วหันหลังเดินตามหลินเสวียนหมิงไปในทันที

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา

จากคำพูดของท่านเฉินเฟิง เขาสามารถรับรู้ได้ว่านี่เป็นแผนการของหลินเสวียนหมิง อยากจะยืมใช้มีดของคนอื่นมาฆ่าคน ยืมมือของท่านเฉินเฟิงมากำจัดตัวเองทิ้งซะ

เพียงแต่พวกเขาคิดไม่ถึง หลายปีก่อนท่านเฉินเฟิงจะถูกเขาทำลายความกล้าไปทั้งหมดแล้ว เห็นเงาตัวเองยังต้องกลัว จะกล้าลงมือได้อย่างไร?

คิดไปคิดมา หลินเสวียนหมิงผู้นี้อยากจะมาเยาะเย้ยตัวเอง คราวนี้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ จึงทำให้เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก

สำหรับหลินเสวียนหมิงผู้อาวุโสสองตระกูลหลิน หลินอิ่งได้วางแผนไว้แล้ว จะหาโอกาสที่เหมาะสม ต้องจัดการฆ่าเขาทิ้งซะ

หลินอิ่งมาที่ตระกูลหลินแห่งลังยา ยังมีอีกหนึ่งจุดประสงค์นั่นก็คือสะสางเรื่องที่หลินซวนหวาผู้เป็นปู่ทำไม่สำเร็จในอดีต และต่อสู้เพื่อแม่ที่ตายไปแล้ว

ทำให้คนของตระกูลหลินเห็นว่า หลินซูชิงที่ถูกพวกเขาไล่ออกจากบ้าน ลูกชายที่เธอให้กำเนิด เป็นคนอย่างไร!

“คุณชายหลินอิ่งครับ คุยกับท่านเฉินเฟิงสำเร็จไหมครับ?” ฉินเหิงเยว่ใส่สีหน้าตกใจมองสำรวจหลินอิ่ง

เขาคิดไม่ถึงว่า หลินอิ่งจะสามารถเดินออกมาจากคฤหาสน์ของท่านเฉินเฟิงโดยสงบสุขพบไม่พบเจอกับปัญหาใดๆ

ต้องรู้ว่า เมื่อครู่ฉินเหิงเยว่รับรู้ได้ถึงความดุดันที่ออกมาจากภายในห้องโถง แม้แต่เขายังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเลย

เขาสามารถสรุปได้เลยว่า ท่านเฉินเฟิงจะต้องโกรธมาก จนลงมือแน่

แต่สุดท้าย หลินอิ่งกลับ เดินออกมาอย่างไม่มีอะไรเสียแม้แต่ปลายผม?ท่านเฉินเฟิงสามารถทนกับการที่ลูกศิษย์ถูกฆ่า?ไม่สั่งสอบหลินอิ่ง?

ฉินเหิงเยว่มองไปที่หลินอิ่งหลายครั้ง แต่จากสีหน้าของหลินอิ่งก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติแม้แต่นิดเดียว

เขารู้สึกภายในใจว่า หลินอิ่งผู้นี้ยิ่งอยู่ยิ่งดูออกยากขึ้นทุกวัน!ช่างลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก

“ถือว่าคุยสำเร็จมั้ง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

หลินเหิงเยว่หัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “วิธีการของคุณชายหลินอิ่งไม่ธรรมดาเลยครับ แม้แต่เรื่องที่ยุ่งยากอย่างนี้ยังสามารถจัดการได้!กระผมเหล่าฉินเลื่อมใสมากครับ”

พูดจบ ฉินเหิงเยว่ก็หันกลับมาพูดต่อว่า “คุณชายหลินอิ่งครับ งั้นเชิญเข้าไปที่คฤหาสน์เถอะครับ แม่เฒ่ากำลังรอคุณอยู่ครับ ”

พูดจบ ทั้งสองก็พากันเดินทางไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน หลินอิ่งจึงพาจางฉีโม่มาด้วย

อีกด้านหนึ่ง

หลินเสวียนหมิงกับหลินเสวียนเฮ่อมาถึงบันไดหยกนอกคฤหาสน์ของตระกูลหลิน

หลินเสวียนหมิงหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่นจนเสียงดังกรอบแกรบ โกรธจนปอดแทบจะระเบิด!

“ผู้อาวุโสสองครับ คะ คุณอย่าโกรธเลยนะครับ เดี๋ยวก็ต้องเข้าพบแม่เฒ่าแล้ว อย่าใจร้อนนะครับ” หลินเสวียนเฮ่อสังเกตเห็นผู้อาวุโสสองที่ที่กำลังโกรธ จึงรีบพูดเกลี้ยกล่อม

“นี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว!ตู้เฉินเฟิงเป็นเศษสวะรึไง?มันทำอะไรของมัน!ลูกศิษย์ของเขาถูกหลินอิ่งฆ่า ฉันอุตส่าห์เอาผลประโยชน์มาล่อเขา แต่เขากลับปล่อยหลินอิ่งไป?” หลินเสวียนหมิงแทบจะกัดฟันกรอด สีหน้าโกรธเกรี้ยว

เขาคิดไม่ออกว่า เหตุใดหลินอิ่งถึงเดินมาโดยไม่มีอะไรเสียหาย!

ท่านเฉินเฟิงมัวทำอะไรอยู่?

หรือเขาไม่ได้ต่อกรกับหลินอิ่ง?

“อะ เอ่อตู้เฉินเฟิงอาจจะลงมือไปแล้ว แต่อาจจะถูกหลินอิ่งรับมือได้?แล้วทำให้เขาตกใจ ไม่กล้าสู้ต่ออีก?” หลินเสวียนเฮ่อพูดเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ ด้วยสีหน้าสงสัย

พวกเขาทั้งสองคน เดิมทีอยากจะมาดูเรื่องตลกของหลินอิ่งด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความสุข จะรอดูว่าหลินอิ่งจะถูกกำจัดบูโดได้อย่างไร แล้วไสหัวออกมาอย่างสะบักสะบอม

แต่คิดไม่ถึงว่า ตอนนี้หลินอิ่งจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาทั้งสองอย่างเริงร่า

จิตใจของพวกเขา รู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก!

“ผิดคาดจริงๆ ผิดคาดมาก!” หลินเสวียนหมิงส่ายหัวไปมา แล้วพูดอย่างไม่ยอม “ตู้เฉินเฟิงคนนี้เสียทีที่เป็นถึงปรมาจารย์เปิดสำนัก ปรมาจารย์ที่มีอยู่ในต้นๆของรายการแห่งฟ้า!แต่กลับไม่สามารถสั่งสอนหลินอิ่งได้?”

“หรืออยากจะบีบให้ฉันหาโอกาส กำจัดหลินอิ่งด้วยตัวเอง?”

“ผู้อาวุโสสอง อย่าใจร้อนไปเลยครับ รออีกเดี๋ยว เราเข้าไปถามตู้เฉินเฟิง ถามว่าเขาจัดการเรื่องนี้ยังไง!ถ้าไม่อธิบายออกมา งั้นเราก็ไปถามตาแก่ง่อยนั่น!” หลินเสวียนเฮ่อกล่าวว่า “แม่เฒ่าจะมอบหมายภารกิจให้หลินอิ่งด้วยตัวเอง เรายังต้องหาโอกาสย้ายกลับเข้าไปในเมือง!”

“ย้ายกลับเข้าไปในเมือง?” หลินเสวียนหมิงสายตาเฉียบคม แล้วทำท่าเหมือนเริ่มครุ่นคิด

“จริงด้วย ไม่ว่ายังไง ฉันจะทำให้หลินอิ่งมันอยู่ในตระกูลหลินอย่างทรมาน!อยากจะลงหลักปักฐานในตระกูลหลิน มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”

……

หลังจากผ่านไปห้านาที

ณ ห้องโถงตระกูลหลิน

แม่เฒ่ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ปรมาจารย์

ด้านล่าง คือเหล่าบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหลิน แต่ละคนเป็นคนมีอำนาจและอิทธิพลในการพูดสั่งการ

รวมถึงหลินซวนหวาคุณตาของหลินอิ่งก็อยู่ในที่นี้เช่นกัน

ครั้งนี้ หลินอิ่งปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลหลินแห่งลังยาอย่างเป็นทางการ ในฐานะทายาท ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

เวลานี้เอง หลินอิ่งกับจางฉีโม่ ก็ค่อยๆเดินเข้ามา

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างมองไปที่พวกเขาทั้งหมด

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท