ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 725 ให้เด็กคนนี้ไปมณฑลจี้โจว

บทที่ 725 ให้เด็กคนนี้ไปมณฑลจี้โจว

ได้ยินแม่เฒ่าเอ่ยถาม สีหน้าของหลินเสวียนคุนถึงกับตึงเครียดในทันที สายตาหลอกแหลก ในสมองไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“หลินอิ่งเด็กคนนี้ มีพรสวรรค์พิเศษ ฝีมือเกินมนุษย์ แม่เฒ่าไม่ได้มองผิดไป ได้เด็กคนนี้ เป็นความโชคดีของตระกูลหลินของเรา” หลินเสวียนคุนพูดอย่างสงบ

แม่เฒ่าหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “ตาใหญ่ อย่าเลือกพูดแต่เรื่องดีๆ พูดความจริงมา แกคิดยังไงกับที่ ฉันมอบตำแหน่งทายาทสืบทอดให้กับหลินอิ่ง”

ริมฝีปากของหลินเสวียนคุนขยับเบาๆ มองไปที่แม่เฒ่าแวบหนึ่ง ไม่ได้รีบตอบกลับทันที

ในใจของเขารู้ดี ที่แม่เฒ่าเรียกให้ผู้อาวุโสตระกูลหลินอย่างเขาอยู่ต่อ มีอะไรมากกว่าที่เห็น

เนื่องจาก ตอนนี้หลินเซี่ยวตายแล้ว ตระกูลหลินมีเพียงทายาทแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอด คนหนึ่งคือหลินอิ่งที่ถูกแม่เฒ่าเรียกกลับตระกูลหลิน อีกคนหนึ่งคือหลินเซวียน ลูกชายที่น่าภูมิใจของเขา

เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เกิดในตอนนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะ เห็นความคาดหวังและความลำเอียงของแม่เฒ่าต่อหลินอิ่งเด็กคนนี้

หลินเสวียนคุนไม่รู้ว่าแม่เฒ่าคิดจะทำอะไร หรือเป็นไปไหมที่อยากให้หลินอิ่งรับตำแหน่งของตระกูลหลิน?

“การให้สถานะทายาทแก่หลินอิ่งเป็นการตัดสินใจของแม่เฒ่า ผมไม่กล้ามีความเห็นอะไรหรอกครับ” หลินเสวียนคุนพูดอย่างจริงจัง

“หืม?ไม่กล้าออกความเห็นงั้นหรอ?” แม่เฒ่าหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ตาใหญ่ แกมีความเห็นแต่ไม่กล้าพูดงั้นหรอ?”

“พูดมาเถอะ ที่ให้แกอยู่ต่อ ก็เพราะอยากฟังความเห็นของแกดู ไหนพูดมาสิ หลินอิ่งคนนี้มีข้อดียังไง คนเราไม่มีทางเต็มไปด้วยข้อดีหรอก?”

แม่เฒ่าถามอย่างนิ่งเฉย

ความจริงแล้ว เธอเองก็คาดเดาหลินอิ่งไม่ได้เช่นกัน

เด็กคนนี้มีพลังบางอย่างเกินมนุษย์ และไม่สามารถหยั่งรู้พลังภายในได้ เมื่อพิจารณาจากทัศนคติที่หลินอิ่งมีต่อตระกูลหลินและบางสิ่งบางอย่างที่เขาทำ เขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่ยอมศิโรราบจิตใจเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง

ถ้าหาดหลินอิ่งเติบโตในตระกูลหลิน แม่เฒ่าอาจจะพิจารณาให้ความใส่ใจในการฝึกอบรมเขาก็เป็นได้

เดิมทีแม่เฒ่ามีความรู้สึกที่ซับซ้อน ต่อหลินอิ่ง ด้านหนึ่งคือเริ่มรักในพรสวรรค์ของเขา อีกด้านคืออยากจะใช้ประโยชน์จากหมากรุกตัวฉกาจอย่างหลินอิ่ง

แต่หลังจากพบกันถึงได้ตระหนักได้ว่า หลินอิ่งไม่ใช่คนที่ควบคุมได้ง่ายๆ

“แม่เฒ่าครับ ถ้าหากจะให้พูดข้อเสียของหลินอิ่ง จริงๆก็ไม่มีอะไรนอกจากความสามารถที่มีล้นเอ่อ ความตั้งใจอันแรงกล้า” หลังจากที่หลินเสวียนคุนครุ่นคิดแล้ว ก็ค่อยๆพูดขึ้นมาว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร เนื่องจากอายุของหลินอิ่งก็มีให้เห็น อายุน้อยเลยไม่รู้จะทำตัวยังไง หลังจากผ่านการฝึกฝน ถึงยังไงก็ต้องยอมอ่อนข้อให้กับตระกูลหลินอยู่ดี”

แม่เฒ่าขำแห้งๆ แล้วพูดอย่างครุ่นคิดว่า “ตาใหญ่แกก็เห็นว่าหลินอิ่งเป็นคนมีความสามารถ ไม่เลวเลย เป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ต่อตระกูลหลินหรือไม่”

“หลินอิ่งมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตระกูลหลินแต่เดิมอยู่แล้ว มาวันนี้ยังมีสถานะเป็นทายาทของตระกูลหลินอีก จะไม่มีประโยชน์ต่อตระกูลหลินยังไงล่ะครับ?” หลินเสวียนคุนค่อยๆพูดขึ้นมาว่า “หน้าที่การงานในสังคมของหลินอิ่งใหญ่โต มีเงินทองอำนาจ ฐานะของเขาก็รุ่งเรืองที่สุด บนโลกใบนี้ยังมีอะไรให้เขาต้องหวั่นไหวอีกหรอครับ?เขากลับมาที่ตระกูลหลิน แน่นอนว่าอยากหาโอกาสทะลุเข้าไปสู่รายการแห่งฟ้า เมื่อจับจุดนี้ได้แล้ว แม่เฒ่าไม่กลัวว่าหลินอิ่งจะมีประโยชน์หรอครับ”

“ฮ่าๆ” แม่เฒ่าหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ตาใหญ่ แกตีโจทย์สถานการณ์โดยรวมแตกจริงๆ มันเป็นแบบนี้จริงๆนั่นแหละ ถึงหลินอิ่งจะหยิ่งจองหองยังไง นั่นมันก็คือการก้าวไปที่อีกขั้นของบูโดไม่ใช่หรอ?”

จากที่แม่เฒ่าดูแล้ว ที่หลินอิ่งยอมกลับตระกูลหลิน ต้องเป็นเพราะอยากไล่ลำดับรายการแห่งฟ้าของบูโดอย่างแน่นอน

เนื่องจาก พรสวรรค์วิชาบูโดของหลินอิ่งไม่ธรรมดา แต่เขาจะไปเรียนรู้วิชาบูโดขั้นสูงสุดอะไรจากโลกของคนธรรมดาล่ะ?ที่เขาก้าวมาถึงในทุกวันนี้ได้จนเกือบเข้าไกลขีดจำกัด ไม่มีวิชาบูโดขั้นสูงสุด จะไม่สามารถคว้ารายการแห่งฟ้าได้

รายการแห่งฟ้า นั่นเป็นช่องว่างที่นักบูโดหลายคนใช้ทั้งชีวิตในการก้าวข้ามผ่าน

ถึงแม้หลินอิ่งจะมีเส้นสายของแก๊งมังกร มีอิทธิพลกว้างใหญ่ ณ จุดที่สำคัญที่สุด ก็มีแค่ตระกูลหลินที่สามารถช่วยเหลือเขาได้

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมาเฒ่าถึงตัดสินใจให้หลินอิ่งเป็นทายาท

เพราะด้วยวิธีนี้ ถึงจะสามารถดึงดูดคนมีความสามารถอย่างหลินอิ่งได้

ชะงักไปครู่หนึ่ง แม่เฒ่าก็พูดขึ้นมาว่า “ตาใหญ่ แกคิดว่า หลินอิ่งกับเซวียนเอ๋อเทียบกันแล้วเป็นยังไง?”

“เอ่อคือ……” สีหน้าของหลินเสวียนคุนระมัดระวังมากขึ้น

คำถามที่แม่เฒ่าถามนั้นอ่อนไหวมาก

หลินเซวียน คุณชายตระกูลหลิน ปัจจุบันเป็นคู่แข่งเพียงคนเดียวของหลินอิ่ง

คุณชายหลินเซวียน อายุสามสิบต้นๆ มีเกียรติยศมากในตระกูลหลินแห่งลังยา มีความสุขุมมากเมื่อเทียบกับหลินเซี่ยว เขามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และมีชื่อเสียงในทางที่ดี ได้รับเสียงเชียร์ให้ขึ้นรับตำแหน่งในตระกูลหลินสูงมาก

การเติบโตของหลินเซวียนในตระกูลหลินเต็มไปด้วยสีสันที่น่าทึ่งมาก

เขาไม่ได้เกิดมาจากตระกูลหลินโดยแท้จริง แต่เป็นลูกนอกสมรสของผู้อาวุโสหลินเสวียนคุน มีพื้นเพต่ำต้อย

ในตอนที่หลินเซวียนกลับมายังตระกูลหลินแห่งลังยา สิ่งที่เขาพบเจอก็ไม่ได้ดีไปกว่าหลินอิ่งเลย เพียงแต่เขารู้จักอดทนที่จะอยู่เฉยๆ ไม่เหมือนกับหลินอิ่งที่แสดงความสามารถที่มีอยู่ออกมา แต่จะต้องแบกรักกับความอัปยศอดสู จนวิชาบูโดบรรลุผล ถึงค่อยๆเปิดเผยความสามารถออกมา

จนถึงขณะนี้ ภายในตระกูลหลินไม่มีใครกล้าพูดถึงตัวตนของคุณชายหลินเซวียน แม้แต่ภรรยาคนแรกของผู้อาวุโส เหล่าบรรดาลูกๆของเขา ก็ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจตำแหน่งของหลินเซวียน

“แม่เฒ่าครับ หลินอิ่งกับเซวียนเอ๋อไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้หรอกครับ” หลินเสวียนคุนพูดอย่างจริงจัง “ถ้าว่ากันตามศักดิ์แล้ว เซวียนเอ๋อโตกว่าหลินอิ่งหนึ่งรุ่น อายุก็มากกว่าไม่น้อย”

“ทั้งสองคนนี้นิสัยตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง หลินอิ่งแรงอาฆาตหนักมาก เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ เซวียนเอ๋อท่านก็น่าจะรู้ดี เป็นคนสุขุมเยือกเย็น ทำอะไรรอบคอบเสมอ”

แม่เฒ่าหัวเราะ แล้วพูดขึ้นมาว่า “แกพูดได้ไม่เลว ทั้งสองคนนี้เป็นลูกชายที่โดดเด่นของตระกูลหลิน แต่ว่านิสัยกลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง”

“หลินอิ่งเหมาะที่จะต่อสู้ในยุทธภพ แต่เซวียนเอ๋อเหมาะที่จะเฝ้าปกป้องยุทธภพ ในอนาคตจะต้องเลือกหนึ่งในพวกเขาสองคนมารับผิดชอบตระกูลหลิน เลือกยากจริงๆ” แม่เฒ่าแสดงความคิดเห็น

“จริงสิ ตาใหญ่ ฉันจะใช้หลินอิ่งซะหน่อย แกคิดว่า งานแบบไหนที่เหมาะกับเขามากกว่ากัน?”

จู่ๆแม่เฒ่าก็เปลี่ยนบทสนทนา แล้วหันไปถามหลินเสวียนคุน

หลินเสวียนคุนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นมาว่า “แม่เฒ่าครับ เรื่องแบบนี้ ผมไม่ค่อยสะดวกให้ความเห็นครับ? ท่านตัดสินใจเองดีกว่า”

“ฉันให้แกพูด แกก็พูดมาเถอะ!” แม่เฒ่าพูดอย่างเคร่งขรึม

สายตาของหลินเสวียนคุนหลอกแหลก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อแม่เฒ่าอยากจะใช้งานหลินอิ่ง งั้นผมก็ขอเสนอว่า ให้หลินอิ่งไปจัดการเรื่องของตระกูลเผยแห่งจี้โจว”

“ให้เขากับเซวียนเอ๋อไปจัดการเรื่องนี้ที่มณฑลจี้โจวด้วยกัน แบบนี้จะยิ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าฝีมือของสองคนนี้เป็นยังไง”

แม่เฒ่าหรี่ตาลง แล้วหัวเราะพลางถามขึ้นมาว่า “ตาใหญ่ ดูท่าแกจะมั่นใจในตัวเซวียนเอ๋อมากใช่ไหม?ถึงได้เอาตระกูลเผยแห่งจี้โจวเป็นเวทีประลอง ให้พวกเขาสองคนสู้กันว่าใครเก่งกว่ากัน?”

“ได้ งั้นก็เอาตามที่แกพูดมานั่นแหละ อีกเดี๋ยว ฉันจะให้หลินอิ่งไปทำธุระที่มณฑลจี้โจว เขากับเซวียนเอ๋อใครเก่งกว่ากัน กลับมาก็ให้คนที่ชนะไปชักดาบที่สระลังยา” แม่เฒ่าพูดอธิบาย

หลินเสวียนคุนตกใจ พูดขึ้นมาว่า “ทำตามที่แม่เฒ่าจัดการได้เลยครับ”

เขาจงใจให้หลินเซวียนไปเปรียบเทียบเพื่อให้หลินอิ่งแพ้

แต่แม่เฒ่าบอกว่าจะให้ไปชักดาบที่สระแห่งลังยา นั่นก็คือการให้หลินอิ่งกับหลินเซวียนประลองกันว่าใครเก่งกว่ากัน

สระลังยาเป็นสระที่ต้องห้ามของตระกูลหลิน และถูกเรียกว่าสระล้างดาบ มีอาวุธวิเศษที่บรรพบุรุษของตระกูลหลินแห่งลังยาอยู่ในนั้น มีเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับถึงจะสามารถชักดาบออกจากฝักได้

ผู้ที่สามารถชักดาบออกมาได้ ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง ตามกฎของตระกูลหลิน จะสามารถได้รับเคล็ดลังยา

แม่เฒ่า ใจกว้างจริงๆ!

ภายในใจของหลินเสวียนคุนหนักอึ้ง และเขาได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด….

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท