ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 720 ยังจำผมได้เหรอ?

บทที่ 720 ยังจำผมได้เหรอ?

เมื่อเห็นท่าทางหลินอิ่งยังนิ่งและยอมรับได้อย่างนี้แล้ว ฉินเหิงเยว่ก็ตะลึงเล็กน้อย

เป็นที่รู้กันว่าหลินอิ่งสังหารศิษย์ของตู้เฉินเฟิงที่รักเหมือนพ่อลูกแท้ๆ ตอนนี้ต้องไปเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่เคยขึ้นถึงรายการแห่งฟ้า แต่กลับไม่แคร์อะไรเลย

หรือว่า…คุณชายหลินอิ่งไม่รู้สึกกดดันกับการไปพบศัตรูที่มีกำลังแข็งแกร่งเลย?

ถึงจะบอกว่าท่านเฉินเฟิงไม่กล้าทำอะไรหลินอิ่ง แค่สั่งสอนระบายอารมณ์เท่านั้น แต่นั่นก็ยังต้องได้รับบาดเจ็บอะไรบ้าง

“คุณชายหลินอิ่งต้องระวังนะครับ ถึงท่านเฉินเฟิงจะไม่กล้าทำอะไรคุณชายจริงๆ แต่ก็คงไม่พ้นต้องลงมือสั่งสอนบ้าง ยั่วโมโหเขารังแต่จะเป็นภัยกับคุณชายเอง” ฉินเหิงเยว่เตือนด้วยความหวังดี

ถึงอย่างไรหลินอิ่งก็ยังเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน หากทำอะไรบุ่มบ่ามต่อหน้าตู้เฉินเฟิงจนอีกฝ่ายลงมือหนักขึ้นมา หลินอิ่งคงต้องนอนพักฟื้นสองสามเดือนแน่

“เฮอะ” หลินอิ่งหัวเราะ ไม่พูดมาก

เขาเดาออกได้ว่าแม่เฒ่าทำแบบนี้เพื่ออะไร

ประสงค์ของแม่เฒ่า ก็คงไม่พ้นส่งเขาเข้าไปให้ตาแก่เฉินเฟิงนั่นอัดสักยก

แบบนี้จะได้ปิดปากตู้เฉินเฟิง

พอตนไปห้องโถงใหญ่ตระกูลหลินด้วยบาดแผลเต็มตัว แม่เฒ่าจะได้ช่วยเขาไกล่เกลี่ยเรื่องที่ฆ่าหลินเซี่ยวตาย

หากมองจากจุดนี้ หลินอิ่งก็รู้สึกดีกับแม่เฒ่าท่านนั้นอยู่หน่อยหนึ่ง

“คุณชายหลินอิ่ง ตามผมมาเถอะครับ”

ฉินเหิงเยว่พูดจริงจัง

“ฉีโม่ คุณพักอยู่ที่ห้องก่อนนะ เดี๋ยวผมมา”

หลินอิ่งบอกกล่าวกับจางฉีโม่ และจางฉีโม่ก็พยักหน้ารับคำแต่โดยดี

จากนั้นทั้งสองก็เดินไปทางคฤหาสน์หยกขาวที่อยู่ไกล

ฉินเหิงเยว่รออยู่ด้านนอก หลินอิ่งเดินขึ้นบันไดตามลำพัง เข้าสู่ด้านใน

เฮ้อ!

วินาทีที่หลินอิ่งย่างเท้าเข้าข้างในก็มีลมเย็นวูบพัดเข้ามาทันที

เกิดลมไร้สาเหตุ จิตสังหารแรงกล้า

จิตสังหารที่เปี่ยมล้นระเบิดออกจากด้านใน ทำให้ผู้ที่ย่างเท้าเข้าไปรู้สึกขนลุกซู่ในทันที

แขนเสื้อหลินอิ่งโบกสะบัด ทุกย่างเท้าที่ก้าวเข้าไปล้วนมีพลังสกัด ทำให้เขาเดินต่อลำบาก

นี่คือจิตกระบี่!

ยอดฝีมือที่อยู่ข้างในส่งจิตกระบี่มา แสดงกำลังแข็งกร้าวให้เห็น

นี่เป็นระดับบูโดที่มีแต่ยอดฝีมือรายการแห่งฟ้าเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง

รายการแห่งฟ้าเป็นระดับที่ก้าวกระโดด เมื่อฝึกถึงขั้นนี้แล้วมักมีการเปลี่ยนแปลงราวกับเกิดใหม่ หลุดพ้นจากความเป็นปุถุชน มีขั้นตอนต่างๆ ที่คาดไม่ถึง

รับรู้ถึงจิตกระบี่อันเย็นเฉียบ หลินอิ่งยิ้มที่มุมปาก มองไปด้วยสายตาเย็นชา

ภายในนั้นมีชายแก่ผมยาวคลุมหลัง สวมชุดนักพรตนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะและหันหลังอยู่

ด้านข้างของเขามีฝักกระบี่สีโอ๊คแดงลายเส้นเลือดอยู่เล่มหนึ่ง

ภายนอกฝักกระบี่มีกลิ่นอายอันตรายอย่างยิ่งยวด ราวกับเก็บซ่อนยอดกระบี่แห่งยุค

จิตกระบี่ที่กดขี่จิตใจมนุษย์นั้นแผ่ซ่านออกมาจากฝักกระบี่เล่มนี้นั่นเอง

อายกระบี่และลมเย็นที่คละคลุ้งอยู่ในนี้ก็มาจากมันด้วย

ชายแก่ที่สวมชุดนักพรตก็คือตู้เฉินเฟิงนั่นเอง อดีตปรมาจารย์แห่งยุคที่เคยนั่งสิบสองเก้าอี้ในรายการแห่งฟ้ามาก่อน

ตู้เฉินเฟิงเป็นบุคคลที่ชื่อก้องในแวดวงลึกลับ สมัยหนุ่มแทบกวาดล้างตะวันตกเฉียงเหนือประเทศหลุงเพียงกระบี่เฉินเฟิงเล่มเดียว

และที่ทำให้เล่าลือกันให้ทั่ว ก็คือเขาไม่มีสำนัก ก่อตั้งหุบเขาเฉินเฟิง ฝึกบูโดด้านกระบี่เป็นของตัวเอง

แต่แค่ไม่กี่ปีกำลังบูโดของตู้เฉินเฟิงก็มีอันร่วงตกลงไป ประกาศลาออกจากรายการแห่งฟ้าด้วยตนเอง

“ตู้เฉินเฟิง วางมาดจริงนะ”

หลินอิ่งหัวเราะเย็น เอามือไพล่หลังยืนอยู่กับที่ มองแผ่นหลังอีกฝ่าย

“แกก็คือหลินอิ่ง? ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกกล้าดียังไงมาก่อเรื่องต่อหน้าปรมาจารย์อย่างฉัน?”

“แกฆ่าศิษย์ของฉัน ฉันจะไม่รังแกแกหรอก วันนี้จะทิ่มแกครั้งเดียว กลับไปแล้วก็สำนึกผิดด้วยล่ะ!”

ตู้เฉินเฟิงยังคงไม่หันหน้ามา หันหลังพูดเสียงหนักกับหลินอิ่ง

การหันหลังให้ศัตรูนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้ามเด็ดขาดของชาวบูโด และเป็นการดูถูกอีกฝ่ายด้วย!

ตู้เฉินเฟิงวางมาดเป็นปรมาจารย์เสียเต็มประดา

พึบ!

ทันใดนั้นตู้เฉินเฟิงก็วาดแขนออกไป

เสียงดังสนั่นกึกก้อง

ฝักกระบี่ที่อยู่ด้านข้างเขาเผยคมมีดออกทันใด แสงวิบวับปรากฏออกมาต้องตาจนแสบ ส่องสว่างไปทั่วทันที

แสงกระบี่อันเฉียบคมเข้ามาจากทุกสารทิศ

เชี้ยงๆๆ!

โต๊ะเก้าอี้ภายในนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ในเสี้ยววินาที ประกายไฟกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น ราวกับมีดาบกระบี่นับไม่ถ้วนกำลังฉีกอากาศออก อาละวาดอยู่เต็มไปหมด

อายกระบี่อันเย็นเฉียบที่ระเบิดออกในเสี้ยววินาที กลับดุดันถึงเพียงนี้!

หลินอิ่งยังอยู่ที่เดิม รู้สึกถึงจิตสังหารรุนแรง

เมื่อนั้นเงากระบี่เย็นยะเยือกกลางอากาศที่ราวกับสายฟ้าพิฆาต เร็วดุจไร้เงา ทิ่มเข้าจุดตันเถียนตรงท้องหลินอิ่ง!

กระบี่นี้แสดงให้เห็นถึงอานุภาพอันร้ายกาจ!

ฉึก!

หลินอิ่งเอามือคลำอากาศ พร้อมกันนั้นชี่กังอันร้ายกาจของเขาก็พุ่งออกมา ปะทะกระบี่เฉินเฟิงที่พุ่งเข้ามาจนผงะ เกิดเป็นเสียงแกล๊ง

“หือ?”

ตู้เฉินเฟิงส่งเสียงฉงนใจ รู้สึกได้ว่าหลินอิ่งสกัดการแทงนี้ได้

เป็นไปได้อย่างไร?!

กระบี่นี้มีกำลังภายในเพียงพอ จิตสังหารก็เปี่ยมล้น นอกจากรายการแห่งฟ้าแล้วก็ไม่มีใครสกัดได้!

“ตู้เฉินเฟิง ช่างกล้าจริงนะ! จะลงมือก็ไม่ดูเสียก่อนว่าเป็นใคร!”

หลินอิ่งมองตู้เฉินเฟิงด้วยสายตาเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงยะเยือก

เมื่อได้ยินดังนั้นตู้เฉินเฟิงก็แผ่จิตสังหารที่น่าตกใจออกมาจากตัว

หน้านิ่งดุจน้ำลึก ดวงตาดุดัน

เดิมทีตู้เฉินเฟิงได้แอบหารือกับหลินเสวียนหมิงไว้เรียบร้อยแล้ว คิดจะทำลายบูโดของหลินอิ่งด้วยกระบี่เดียว แต่คิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะรับไว้ได้

ด้วยความที่เขามีฐานะเป็นอาวุโสผู้มีคุณธรรม จึงไม่อาจต่อสู้เข่นฆ่าหลินอิ่งได้จริง

แต่ตอนนี้หลินอิ่งกลับโอหังนัก สังหารลูกศิษย์ของเขา แล้วยังด่าทอเขาต่อหน้าอีก ไร้เหตุผลสิ้นดี!

“โอหัง! เดิมทีฉันแค่คิดจะแทงแกแค่ครั้งเดียว ให้แกรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่แกกลับเหิมเกริมต่อหน้าฉัน? วันนี้ฉันต้องทำลายบูโดแกให้ได้!”

ตู้เฉินเฟิงโมโหก่นด่า ลุกขึ้นยืนแล้วหันตัวมามองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชาทันที

“กะ แกคือ…!”

เมื่อเห็นหน้าตาของหลินอิ่งแล้ว ตู้เฉินเฟิงก็หน้าถอดสีทันที ขาวซีดเผือด ราวกับเห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในแดนมนุษย์ ถอยหลังหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัว

หลินอิ่งยิ้มเย็นที่มุมปาก พูดชืดๆ “ที่แท้ก็ยังจำผมได้นี่?”

“ผะ…ผม”

ตู้เฉินเฟิงหน้าเขียวปั๊ด ตัวสั่นพั่บๆ จ้องหลินอิ่งตาเขม็ง ทำหน้าเหลือเชื่อ

รูปโฉมของหลินอิ่งเป็นดั่งฝันร้ายตลอดชีวิตของตู้เฉินเฟิง

เขาไม่มีวันลืมว่าหนุ่มน้อยวันสิบหกสิบเจ็ดคนนั้นทำลายกระบี่เขาจนแหลกเหลวอย่างไร ทำลายมือซ้ายที่เขาถือกระบี่อย่างไร!

ตอนนั้น หลังจากตู้เฉินเฟิงแพ้แล้วก็อยากเป็นทาสกระบี่ ติดตามหลินอิ่งตลอดชีวิต แต่กลับถูกอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างฉับพลัน

ตู้เฉินเฟิงคิดไม่ถึงว่าชาตินี้เขาจะมีโอกาสได้พบหนุ่มน้อยปิศาจแห่งยุคคนนั้นอีก แถมยังในสถานการณ์อย่างนี้อีก!

หนุ่มลึกลับตรงหน้าผู้นี้น่ากลัวแค่ไหน มีเพียงคนที่เคยเจอกับตัวเท่านั้นถึงจะรู้!

“ทะ ทำไมคุณถึงอยู่ที่ตระกูลหลินแห่งลังยาได้ล่ะครับ?” ตู้เฉินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“คุกเข่าพูด” หลินอิ่งกล่าวเรียบ

ปุก!

ตู้เฉินเฟิงคุกเข่าแบบไม่ลังเลสักนิด สีหน้าไร้ความขัดขืน ทั้งไม่มีมาดปรมาจารย์

“ไม่ทราบมีอะไรจะชี้แนะครับ ตู้เฉินเฟิงจะขอคุกเข่าฟัง” ตู้เฉินเฟิงพูดด้วยความเคารพนอบน้อม ราวกับอยู่ต่อหน้าผู้เป็นอาจารย์

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท