ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 737 นายเข้าใจความหมายของฉัน

บทที่ 737 นายเข้าใจความหมายของฉัน

พอเห็นหลินอิ่งยังไม่มีท่าทีใดๆ หลินหวูซินก็ตึงเครียดกดดันสุดๆ มองสำรวจการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของหลินอิ่งอย่างระมัดระวัง

ในเวลานี้เอง หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา สร้างความกดดันอันใหญ่หลวงในใจของเธอ มีภาพลวงตาเหมือนกับกำลังเผชิญหน้าอยู่กับนายท่านใหญ่ตระกูลหลินที่เข้มงวดอยู่

หลินอิ่งกลับจากตี้จิงมาที่ตระกูลหลินแห่งลังยา การที่มาในครั้งนี้ได้รับมอบหมายจากแม่เฒ่าให้มาที่จี้โจวก็ยิ่งสร้างความโกลาหลวุ่นวายมากขึ้นไปอีก

สักพักชื่อเสียงของหลินอิ่งก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น หลินหวูซินก็ตั้งใจไปศึกษาทำความเข้าใจกับประวัติในอดีตของเจ้านายคนก่อนคนนี้มาเป็นพิเศษแล้วเหมือนกัน เป็นหลานชายของอาสิบสองหลินซวนหวา ลูกชายของอาซูชิง

เมื่อก่อนอยู่ที่ตี้จิงก็มีชื่อเสียงที่โด่งดังมากๆ คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงที่ทรงพลังและสง่างาม มั่งคั่งร่ำรวยเทียบเท่าระดับทรัพย์สินของชาติ มีพลังอำนาจมากมาย

ต่อมากลับมาที่ชางโจว ก็ฆ่าคุณชายรอง หลินเซี่ยวทิ้งเพื่อประดับบารมี ถึงขนาดที่อำนาจอิทธิพลที่มากมายขนาดนั้นแบบผู้อาวุโสสองก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้

มีข่าวลือมาจากข้างนอกว่า หลินอิ่งโหดเหี้ยมอำมหิต จิตใจโหดร้าย ฆ่าคุณชายรอง หลินเซี่ยวได้ลงคอ การกระทำท่าทีนี้แค่เห็นก็รู้ทั้งหมดแล้ว

แล้วตอนนี้ข้ารับใช้มาสร้างความลำบากให้กับหลินอิ่ง หลินหวูซินไม่มั่นใจจริงๆว่าหลินอิ่งจะเกรี้ยวกราดแล้วลงมืออย่างโหดเหี้ยมทารุณหรือไม่

“คุณชายสาม ผู้ถือหุ้นระดับสูงของบริษัททุกคนเตรียมมาต้อนรับท่านกันเรียบร้อยแล้ว จัดงานเลี้ยงไว้เสร็จแล้วด้วย ท่านจะไปดำรงตำแหน่งที่บริษัทกับฉันไหม? ฉันจะกลับไปทบทวนข้อบกพร่องในการทำงานของฉันค่ะ”หลินหวูซินสีหน้าตึงเครียดกดดัน พูดถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

“เอ่อนี่มัน……”พอเห็นท่าทางที่ตึงเครียดอยู่ไม่สุขของหลินหวูซิน ใจของหวงลี่ก็ตื่นตระหนกไปหมด

อยู่ข้างกายของคุณหนูใหญ่หลินมานานขนาดนี้ เธอยังไม่เคยเห็นคุณหนูใหญ่ท่าทางตึงเครียดกดดันขนาดนี้มาก่อน

ตึ้ง!

จู่ๆ หวงลี่ก็คุกเข่าลง คุกเข่าลงที่เท้าของหลินอิ่งไปตรงๆ

“คุณชายสาม ฉันสำนึกผิดแล้ว ขอให้ท่านให้อภัยฉันด้วยเถอะค่ะ ฉัน ฉันไม่ได้จงใจที่จะทำผิด ปากพล่อยๆนี้ของฉันควรจะโดนตบให้รู้แล้วรู้รอดไปซะ”หวงลี่ตกใจจนน้ำตาแทบร่วงหล่น ขอร้องอ้อนวอน

หลินอิ่งส่ายหัว ขี้เกียจที่จะหันไปมองหวงลี่ กำลังที่จะพูดอะไรบางอย่างกับหลินหวูซิน

เสียงตี๊ดๆก็ดังขึ้นมา

ในตอนนี้ มือถือของหลินหวูซินดังขึ้นมา

เธอมองคนที่โทรมา สีหน้าสงสัย มองไปยังหลินอิ่ง พร้อมกับพูดรายงาน”คุณชายสาม คุณชายใหญ่โทรศัพท์มาหาฉันค่ะ”

“หลินเซวียนโทรหามา?”หลินอิ่งเริ่มรู้สึกสนใจ

จากท่าทางการแสดงออกของหลินหวูซินสามารถมองออกได้ว่า เธอบกพร่องในการทำงานจริงๆ ไม่ได้เตรียมการเรื่องการต้อนรับไว้จริงๆ ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ตนเองยากลำบาก

ว่ากันตามลำดับความอาวุโสแล้ว หลินหวูซินเป็นหลานสาวของคุณชายใหญ่หลินเซวียน แต่แค่ว่าหลินเซวียนเป็นลูกนอกสมรส ความสัมพันธ์กับหลินหวูซินจึงไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันขนาดนั้น

“คุณชายสาม เมื่อตะกี้ฉันก็ได้รับสายจากคุณชายใหญ่ บอกว่าท่านมาถึงจี้โจวแล้ว เขาบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับท่านค่ะ”หลินหวูซินพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

หลินอิ่งพูดตอบ”รับสายเถอะ”

หลินหวูซินพยักหน้า รับโทรศัพท์

“หวูซิน เธอเจอกับหลินอิ่งแล้วยัง?”

ในสาย มีเสียงที่เย็นชาและทรงพลังดังขึ้นมา

“เจอแล้วค่ะ ฉันเจอคุณชายสามแล้ว”หลินหวูซินพูดตอบกลับไปอย่างจริงจัง

“บอกหลินอิ่งว่าฉันต้องการคุยกับเขา”

“ค่ะ”

หลินหวูซินมองไปยังหลินอิ่งพร้อมกับพูดขึ้น”คุณชายสาม คุณชายใหญ่มีเรื่องจะคุยกับท่านค่ะ”

หลินอิ่งรับโทรศัพท์มา ยกมาไว้ที่ข้างหู

“น้องสาม ฉันทำธุระอยู่ที่ต่างแดน ไม่ได้อยู่ที่เมือง ไม่ไปรับนายแล้วกัน”หลินเซวียนพูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่น

“มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆเลย”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

หลินเซวียนพูดขึ้น”มาที่จี้โจวแล้ว นายไปบริหารจัดการหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยให้ดีๆ สมัยก่อนที่ตี้จิงนายก็เก่งในเรื่องการดำเนินจัดการวงการธุรกิจอยู่ไม่น้อย ฉันให้อำนาจกับนาย ส่งมอบงานทั้งหมดของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยให้นายเป็นคนจัดการ เรื่องอื่นๆ นายก็ไม่ต้องไปยุ่งแล้วเหมือนกัน”

“จัดการหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยเสร็จแล้ว ธุรกิจของวงการธุรกิจเป็นของนายทั้งหมด”

“อ๋อ? ให้อำนาจกับผม?”หลินอิ่งยิ้มๆ”คุณหมายความว่ายังไง?”

แค่หลินเซวียนอ้าปากพูด หลินอิ่งก็เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว

ให้อำนาจทั้งหมดกับตัวเองในการดำเนินจัดการหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย เปิดการประชุมหกตระกูลลึกลับโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวอะไร หลินเซวียนคิดที่จะกำจัดตัวเองออกไป เขาจะได้จัดการเรื่องของแวดวงลึกลับเพียงคนเดียว

พูดง่ายๆก็คือ คิดที่จะให้ตัวเองยอมจำนนอยู่ที่จี้โจวซะ แล้วตักตวงผลประโยชน์จากวงการธุรกิจก็พอแล้ว

“นายไม่เข้าใจความหมายของฉัน”หลินเซวียนพูดยิ้มๆอย่างขี้เล่น

“นายทำหน้าที่ของตัวเองแต่โดยดีซะ เชื่อฟังฉัน ฉันก็จะเหลือที่ในตระกูลหลินไว้ให้กับนาย ให้นายได้เพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งอย่างไม่รู้จบ”หลินเซวียนพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ”ของที่นายไม่ควรได้ นายก็อย่าคิดเพ้อฝันไปเลย นายมีคุณสมบัติพอที่จะมาสู้กับฉันหรือเปล่า นายเองก็รู้ดี เหมือนที่เขาว่ากันว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดของคนก็คือการรู้จักตัวเองยังไงล่ะ”

“เหอะ”หลินอิ่งสบถออกมาอย่างเย้ยหยัน”ถ้าเกิดผมไม่เชื่อฟังคุณล่ะ?”

“ไม่เชื่อฟัง?”หลินเซวียนก็ยิ้มอย่างเย็นชา”ที่ภูเขาลังยาฉันก็พูดกับนายชัดเจนแล้วนะ”

“เชื่อฟังฉันก็มีชีวิตอยู่ต่อได้ ถ้าไม่ชื่อฟังฉันก็ตายซะ”

หลินเซวียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร

หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ”คุณต้องการอะไร ผมก็จะอยู่ไปด้วยกันกับคุณจนถึงที่สุด”

พูดจบ หลินอิ่งก็วางสาย คืนมือถือให้กับหลินหวูซิน

พอหลินหวูซินได้ฟังบทสนทนาของหลินอิ่งกับหลินเซวียนแล้ว สีหน้าก็หนักอึ้งไม่น้อย

เธอฟังออกว่าหลินอิ่งมีความขัดแย้งกับคุณชายใหญ่ ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกัน

แม้ว่าหลินหวูซินจะเป็นหลานสาวของผู้อาวุโส แต่ในความจริงแล้วความสัมพันธ์กับหลินเซวียนก็ปกติธรรมดามาก

การขัดแย้งต่อสู้กันของสองบุคคลที่ยิ่งใหญ่สองคนนี้ เธอจะไม่มีทางเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวแน่นอน

“คุณชายสาม ตอนนี้กลับบริษัทไหม? คืนนี้ฉันอยากที่จะเชิญท่านชายไปงานเลี้ยง แล้วก็ให้เหล่าไฮโซของจี้โจวได้รู้ว่าท่านมาดำรงตำแหน่งบริหารดูแลหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย”หลินหวูซินพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ”ได้ กลับบริษัทตอนนี้ ผมมีธุระต้องจัดการพอดี”

ไม่นาน

หลินอิ่งก็กลับมาถึงหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยพร้อมกันกับหลินหวูซิน

หลังจากที่ทั้งสองคนเดินเคียงกันเข้าไปในอาคารแล้ว ก็ดึงดูดสายตาที่ตกตะลึงของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับหญิงที่เคาน์เตอร์คนนั้นก็ยิ่งตกใจจนอ้าปากค้าง

พวกเขาเพิ่งจะเห็นภาพฉากที่หวงลี่ก้าวก่ายหลินอิ่งทำให้เขาลำบากใจอยู่เลย แล้วตอนนี้กลับเห็นหลินอิ่งกลับมายังบริษัทภายใต้การนำของคุณหนูใหญ่หลินซะอย่างนั้น ส่วนหวงลี่ก็เดินตามคอตกด้วยความหดหู่ท้อแท้อยู่ข้างหลัง ใจของพวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

หลังจากผ่านไปห้านาที ภายในห้องทำงานท่านประธานชั้นที่หกสิบแปด

นี่เป็นห้องทำงานของหลินหวูซิน การตกแต่งกับเฟอร์นิเจอร์ภายในสวยงามหรูหรา ภายในห้องทำงานยังมีกลิ่นหอมสดชื่นอีกด้วย

“คุณชายสาม ห้องทำงานของท่านยังกำลังเตรียมการอยู่ ตอนนี้ท่านใช้ห้องทำงานของฉันชั่วคราวก่อนก็แล้วกันนะคะ”หลินหวูซินยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย นั่งลงที่เก้าอี้เจ้านาย จิบกาแฟไปหนึ่งคำอย่างช้าๆ

“คุณชายสาม คืนนี้ฉันจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้กับท่านที่สโมสรจื่อจิน เชื้อเชิญพันธมิตรในวงการธุรกิจที่ให้ความร่วมมือที่สำคัญต่อธุรกิจของบริษัทมาเพื่อเฉลิมฉลองให้กับการดำรงตำแหน่งของท่าน ขอให้ท่านได้โปรดมาเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยค่ะ”หลินหวูซินพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ได้”หลินอิ่งพยักหน้า”ใช่แล้ว ข้อมูลการร่วมงานกันทั้งหมดของบริษัทกับตระกูลเผยอยู่ที่ไหน? เอามาหน่อย”

“เอ่อ……”หลินหวูซินพูดขึ้นอย่างลำบากใจ”คุณชายสามคะ ก่อนหน้านี้สามสี่วันคุณชายใหญ่ปิดผนึกข้อมูลโปรเจกต์การร่วมงานกันของหลินซื่อกับตระกูลเผยไปหมดแล้ว ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตรวจดูเหมือนกันค่ะ”

หลินอิ่งพยักหน้า”ออกไปก่อน”

“ค่ะ”หลินหวูซินตอบรับ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานแล้วปิดประตูไป

หลินอิ่งพิงลงที่เก้าอี้ มองไปยังวิวทิวทัศน์ที่อยู่นอกหน้าต่างของอาคาร จุดบุหรี่หนึ่งมวน

ครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็โทรไปหาจ้าวเฉิงเฉียน นอกจากนี้ก็ใช้โทรศัพท์ใส่รหัสผ่านส่งข้อความไปหาซือคงฟู่ด้วยเหมือนกัน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท