ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 731 การประชุมของหกตระกูลลึกลับ

บทที่ 731 การประชุมของหกตระกูลลึกลับ

“พูดแบบนี้ได้ยังไง?”หลินอิ่งพูดถามขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“เหอะๆๆๆ”ซือคงฟู่หัวเราะแห้งออกมาสองสามที ก่อนจะค่อยๆพูดขึ้น”คุณชายอิ่ง คุณกับผมลงเรือลำเดียวกันแล้ว ผมก็ไม่ปิดบังคุณก็แล้วกัน นักพรตมังกรเหลืองนั่นมีความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่กับผม”

“แน่นอน ว่าตอนนี้เขาก็มีความแค้นมากมายกับคุณชายอิ่งเช่นกัน จากจุดนี้ พวกเราก็ถือว่าอยู่ฝั่งเดียวกันแล้ว นับว่ามีศัตรูคนเดียวกัน”

หลินอิ่งดื่มชาไปหนึ่งคำ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ”คุณซือคงกับนักพรตมังกรเหลืองมีความขัดแย้งอะไรกัน?”

หลินอิ่งตระหนักได้ก่อนแล้ว ว่าทุกครั้งที่พูดถึงนักพรตมังกรเหลือง สายตาของซือคงฟู่จะแฝงไปด้วยเจตนาฆ่า

ไม่แปลกที่ตอนที่ตนเองจะฆ่าหลินเซี่ยวก่อนหน้านี้ ซือคงฟู่ถึงให้ความร่วมมืออย่างกระตือรือร้นขนาดนั้น

เกรงว่าซือคงฟู่คงอยากจะฆ่าหลินเซี่ยว ลูกศิษย์ของนักพรตมังกรเหลืองก่อนอยู่แล้ว

ซือคงฟู่หัวเราะสบถอย่างเย้ยหยัน พูดขึ้น”แค้นมากถึงขนาดที่ไม่อยากอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันเลยล่ะ”

“ดังนั้น คุณชายอิ่งคุณวางใจได้เลย ถ้านักพรตมังกรเหลืองกล้ามาทำอะไรคุณ ผมก็จะจัดการกับเขาเอง”

“ถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็ การออกมาในครั้งนี้ของท่านมังกรเหลืองจะต้องไปที่จี้โจวแน่นอน เพื่อที่จะใช้เรื่องนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง เพราะเขารู้ว่าผมกำลังช่วยคุณอยู่ แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณชายอิ่ง คุณจะเป็นตัวแทนของตระกูลหลินไปเข้าร่วมประชุมของหกตระกูลลึกลับที่จี้โจว”ซือคงฟู่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

หลินอิ่งกลับไม่คิดว่าซือคงฟู่จะมีความแค้นที่มากมายขนาดนี้กับนักพรตมังกรเหลือง

ครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็รู้สึกว่าการคาดเดาของซือคงฟู่ก็สมเหตุสมผลเหมือนกัน

ที่นักพรตมังกรเหลืองออกจากมณฑลหวงไห่ในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะการตายของหลินเซี่ยว ฆาตกรของตัวเองคนนี้จะต้องถูกเขาเล็งเอาไว้แน่นอน

ส่วนซือคงฟู่ก็มีความแค้นกับเขาพอดี แล้วทำงานด้วยกันกับตัวเองอีก ก็จะต้องถูกเขาเล็งไว้อยู่เหมือนกันแน่ๆ

ส่วนเรื่องที่ตระกูลหลินส่งตนเองไปที่จี้โจว ภายในแวดวงลึกลับจะต้องวุ่นวายโกลาหลแน่นอน แถมมันก็เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งใหญ่ด้วย มังกรเหลืองจะต้องสร้างเรื่องที่จี้โจวอย่างเป็นแน่

“ซือคง เมื่อตะกี้คุณบอกว่าประชุมของหกตระกูลลึกลับ?”จู่ๆหลินอิ่งก็คิดอะไรขึ้นมาได้ พูดถามขึ้นด้วยความสงสัย”แล้วทำไมเหรอครับ?”

แม้ว่าหลินอิ่งจะรู้จักรากฐานของเหล่าพวกกองกำลังลึกลับใหญ่ก็ตาม แต่กลับไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากซับซ้อน ร่วมต้านแยกขจัดนี้อยู่ระหว่างพวกกองกำลังพวกนี้เท่าไรนัก

ซือคงฟู่มองหลินอิ่ง ครุ่นคิดอยู่สักพัก พูดขึ้น”ดูท่าคุณชายอิ่ง ไม่ค่อยได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงลึกลับ เลยไม่เข้าใจวิถีทางที่อยู่ข้างใน หกตระกูลลึกลับมีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพันธมิตรกัน มีข้อตกลงร่วมกัน ไม่ว่าตระกูลไหนจะเกิดเรื่องหนักหนาอะไรขึ้น พวกเขาก็จะเปิดการประชุมของหกตระกูล ตัดสินใจหากลยุทธ์ร่วมกัน”

“การป่วยหนักของนายท่านตระกูลเผยแห่งจี้โจวในครั้งนี้ ภายในของตระกูลเผยขาดแคลนคนชั่วคราว แตกแยกออกจากกัน รากฐานของตระกูลที่มีมาเป็นร้อยปี ก็จะถูกทำลายไปในยุคนี้ เป็นไปได้มากว่าจะถูกแทนที่ด้วยตระกูลลึกลับที่เลื่อนขั้นมาใหม่ มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่คอยจับจ้องตำแหน่งของหกตระกูลลึกลับอยู่”ซือคงฟู่ค่อยๆพูดขึ้น

“การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบนี้ของตระกูลเผย แน่นอนว่าดึงดูดความสนใจของอีกห้าตระกูลที่เหลืออยู่แล้ว”

“ต้องรู้ก่อนว่า ภายในของหกตระกูล ท่าทีของแต่ละตระกูลต่างก็ไม่เหมือนกัน มีทั้งสนับสนุนให้ยกเลิกตำแหน่งของตระกูลเผย แล้วก็มีสนับสนุนให้ตระกูลเผยสละตำแหน่งของหกตระกูลทิ้งไปซะ”

“นอกจากหกตระกูลแล้ว ก็มีกองกำลังนับไม่ถ้วนที่คอยจับจ้องผลประโยชน์มากมายมหาศาลที่ยังหลงเหลืออยู่หลังจากการล่มสลายของตระกูลเผยอีกด้วย ต่างก็ต้องการแบ่งสันปันส่วนกันทั้งนั้น”

“แล้วก็กองกำลังใหญ่นั้น ก็อยากที่จะใช้เรื่องนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง ทำลายพันธมิตรของหกตระกูลลึกลับ แยกความสัมพันธ์ออกจากกัน”

“วิถีทางภายในนี้ มันลึกสุดๆไปเลยล่ะ”ซือคงฟู่พูดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“แถมตระกูลเผยแห่งจี้โจวก็มีศัตรูคู่อาฆาตอยู่ไม่น้อยมาตั้งหลายปีแล้วด้วย พวกเขาแอบเข้าไปในจี้โจว เพื่อที่จะรอโอกาสในการลงมือ”

“ดังนั้น เหตุการณ์ที่จี้โจวในครั้งนี้มันยุ่งยากซับซ้อนมาก เรียกได้ว่าวุ่นวายโกลาหลสุดๆ การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยส่งผลถึงสถานการณ์โดยรวมเป็นอย่างมาก แวดวงลึกลับส่วนใหญ่ ต่างก็วุ่นวายไปหมดเพราะว่าตระกูลเผย”

พอได้ฟังแบบนี้หลินอิ่งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

การประชุมของหกตระกูลลึกลับ แม่เฒ่าตระกูลหลินแทบจะไม่เคยพูดให้ตัวเองฟังมาก่อนเลย แต่ออกคำสั่งให้ตัวเองไปที่จี้โจว

“คุณชายอิ่ง การประชุมของหกตระกูลลึกลับนี้สำคัญมากๆ ตระกูลหลินส่งคุณชายใหญ่ หลินเซวียนไปเป็นตัวแทนเชียวนะครับ”ซือคงฟู่ค่อยๆพูดขึ้น”ถ้าเกิดคุณชายอิ่งสามารถเอาชนะเขาในจี้โจวได้ ได้สิทธิ์อำนาจในการพูดในการประชุมของหกตระกูลในครั้งนี้ ถ้าอย่างนั้นต่อไปศักดิ์ศรีภายในตระกูลหลินก็จะสามารถกดขี่หลินเซวียนไว้ได้อย่างแน่นอน”

หลินอิ่งฟังด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่มีท่าทีใดๆ

ตระกูลหลินแห่งลังยาเป็นผู้นำของตระกูลใหญ่ ตัวแทนการประชุมของหกตระกูลลึกลับ นั่นถือว่าเป็นอำนาจของตระกูลหลิน

ดูท่าแล้ว แม่เฒ่าคนนั้นคงจะมองหลินเซวียนสำคัญที่สุด ในสายตาของแม่เฒ่าแล้ว ตนเองก็เป็นแค่คนที่ร่ำเรียนมาเป็นเพื่อนกับคุณชายคนหนึ่งเท่านั้น

“หน้าที่ความรับผิดชอบที่จี้โจวในครั้งนี้สำคัญยิ่งใหญ่มาก แก๊งมังกรมีได้เข้ามาแทรกแซงไหม?”หลินอิ่งพูดถามขึ้น

ซือคงฟู่ส่ายหัว พูดขึ้น”คุณชายอิ่ง พูดตามตรงไม่ปกปิดเลยนะครับ เข้ามาแทรกแซงหรือไม่นั้นผมไม่รู้ แก๊งมังกรยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ต่อให้อาจารย์กู้ต้าจะส่งคนไปจัดการเรื่องที่จี้โจว แล้วใครเป็นคนรับผิดชอบภารกิจนั้น ผมก็ไม่อาจรู้ได้ครับ”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ก็ไม่ได้ถามเกินเลยอะไรต่อ

“คุณชายอิ่ง เตรียมที่จะออกเดินทางตอนไหนครับ? ผมเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว แค่รอคุณชายอิ่งกำหนดการเดินทางเท่านั้น”ซือคงฟู่พูดถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

หลินอิ่งพูดตอบ”พรุ่งนี้คุณค่อยรอรับแจ้งจากผมแล้วกัน”

ซือคงฟู่พยักหน้า”ครับ ผมจะรอครับ”

จากนั้น ทั้งสองคนก็ดื่มชาไปคนละแก้ว ก่อนจะต่างคนต่างแยกจากกัน

หลังจากที่พบกับซือคงฟู่แล้ว หลินอิ่งก็ออกมาจากร้านน้ำชา กลับไปยังวิลล่าคฤหาสน์ที่ชางโจว

คืนวันนั้น เขากับจางฉีโม่นอนกันอย่างสงบสบาย

วันต่อมาตอนที่ตื่นขึ้นมา กินอาหารเช้ากับจางฉีโม่ และพูดคุยมอบหมายกันสักพัก ก็ให้กู่ชางไห่เอารถมารับ นั่งรถตรงไปยังใจกลางเมืองชางโจว

กู่ชางไห่ขับรถอยู่ที่ตำแหน่งคนขับอย่างตั้งใจ ข้างหลังรถ หลินอิ่งกำลังหลับตาทำสมาธิ ครุ่นคิดอะไรอยู่

วันนี้ หลินอิ่งจะไปคุยเจรจากับท่านเฉินเฟิง แล้วก็ไปคลายผนึกส่วนหนึ่งของท่านเฉินเฟิงออกด้วย เพื่อตอบแทนให้กับเขาสักหน่อย

ตากับฉีโม่อยู่ที่ชางโจว หลินอิ่งจะต้องเตรียมการให้ดีๆ

เขาวางแผนที่จะมอบหมายกับท่านเฉินเฟิง ว่าให้คอยดูการเคลื่อนไหวของตาและฉีโม่ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ชางโจวก็จะมียอดฝีมือคนนี้ดูแลจัดการอยู่

นอกจากนี้ กู่ชางไห่ก็อยู่ที่ชางโจวด้วยเหมือนกัน คอยแอบคุ้มกันปกป้องความปลอดภัยของฉีโม่อยู่อย่างลับๆ

แบบนี้แล้ว หลินอิ่งก็สามารถไปยังมณฑลจี้โจวได้อย่างหมดห่วงสบายใจแล้ว

ตี๊ดๆ

ตอนที่หลินอิ่งกำลังหลับตาทำสมาธิอยู่นั้น จู่ๆมือถือของเขาก็ดังขึ้นมา

หลินอิ่งค่อยๆลืมตาขึ้น รับสายโทรศัพท์ คนที่โทรมาคือ เย่เฮย

ก่อนหน้านี้ หลินอิ่งก็ส่งเย่เฮยไปที่จี้โจวแล้ว ดูท่าเรื่องน่าจะได้เบาะแสเงื่อนงำอะไรมาบ้างแล้ว

“ท่านประมุขแก๊ง ผมมีเรื่องที่จะรายงานกับท่านครับ”

พอหลินอิ่งรับสาย ในสายก็มีเสียงที่เคารพนอบน้อมของเย่เฮยดังขึ้นมา

หลินอิ่งพูดตอบ”ว่ามา”

“จากแผนการของท่าน ผมได้ทำการตรวจสอบเมืองจี้โจวแล้ว แล้วก็หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากอันธพาลเจ้าถิ่นในพื้นที่แล้วครับ”

เย่เฮยค่อยๆพูดขึ้น”ในสายตาของคนนอกแล้วตระกูลเผยแห่งจี้โจวไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แล้วก็ไม่มีข่าวคราวการป่วยหนักของคุณท่านตระกูลเผยด้วยครับ”

“ข้อมูลที่จ้าวเฉิงเฉียนให้กับผมกลับตรงกันข้าม เขาสงสัยว่าคุณท่านตระกูลเผยป่วยจริงๆ แต่ตระกูลเผยปิดข่าวเอาไว้”

“ในจุดนี้ ผมไม่สามารถตรวจสอบได้ ตระกูลเผยระแวดระวังสุดๆ คุณท่านตระกูลเผยก็ไม่ได้โผล่ออกมาต่อสาธารณะมานานมากแล้วด้วย”

“นอกจากนี้ จากที่ท่านมอบหมายให้ ผมแอบตรวจหาว่าจี้โจวมีร่องรอยเบาะแสว่าแก๊งมังกรเคยอยู่มาก่อนหรือไม่ แล้วผมก็หาเบาะแสเจอจริงๆด้วยครับ….

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท