บทที่ 1412 : หลิงหยุนช่วยฉินจิวยื่อ (5)
จ้าวหมิงถังไม่รีบร้อนที่จะจู่โจมหลิงหยุนนักเขาหยุดเพื่อสำรวจหลิงหยุนอย่างละเอียดอีกครั้ง และเริ่มหารือกับศิษย์น้องทั้งสามอย่างจริงจัง เพื่อที่จะหาวิธีจู่โจมหลิงหยุนที่อยู่เบื้องล่างอีกครั้ง
ทั้งสี่มาจากคุนหลุนและเป็นศิษย์คุนหลุน จุดประสงค์เดียวที่พวกเขามาที่สำนักกระบี่เทียนซานนี้ก็คือ หาโอกาสสังหารหลิงหยุนให้จงได้! ในเมื่อเวลานี้หลิงหยุนปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหนีไป เพราะนั่นย่อมหมายถึงภารกิจที่ได้รับมอบหมายมานั้นล้มเหลว!
ดังที่เย่ชิงซินเคยกล่าวไว้คุนหลุนต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพ! คุนหลุนอาจสั่งการอยู่เบื้องหลังสำนักต่างๆ หรือตระกูลต่างๆ แต่ไม่สามารถออกหน้าลงมือจัดการเรื่องราวในยุทธภพด้วยตนเองได้ เพราะนั่นย่อมหมายถึงว่า คุนหลุนได้ฝ่าฝืนกฏยุทธภพซึ่งตนเองเป็นผู้เขียนขึ้น..
และหากให้เรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงภายนอกฉู่ซานจะเป็นฝ่ายแรกที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ากับคุนหลุน และนั่นจะนำมาซึ่งความโกลาหลวุ่นวายในยุทธภพแน่!
ฉะนั้นคุนหลุนจึงได้แอบส่งยอดฝีมือทั้งสี่มายังสำนักกระบี่เทียนซานอย่างลับๆ และจ้าวหมิงถังก็มิได้ทำตัวกระโตกกระตาก
หน้าที่ของพวกเขาทั้งสี่คนก็คือจัดการจับตัวหลิงหยุนกลับไป หรือไม่ก็สังหารเขาให้ได้ในระหว่างที่อยู่สำนักกระบี่เทียนซานนี้ และเมื่อภารกิจครั้งนี้สำเร็จลุล่วงแล้ว ทั้งสี่จักต้องกลับคุนหลุนในทันที ไม่สามารถอยู่ต่อได้อีกแม้เพียงแค่วันเดียว
นั่นเพราะหากปล่อยให้หลิงหยุนรอดออกไปจากสำนักกระบี่เทียนซานและสามารถกลับสู่ยุทธภพได้อีกครั้ง ถึงเวลานั้นพวกเขาทั้งสี่คงได้แต่จ้องมองหลิงหยุนผงาดขึ้น โดยไม่สามารถทำอะไรได้อีก
และเหตุผลที่จ้าวหมิงถังและคนอื่นๆขอเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจนี้นั้นหาใช่ต้องการความรุ่งเรืองทางโลกไม่ แต่เป็นเพราะรางวัลที่พวกเขาจะได้รับ เมื่อกลับไปถึงคุนหลุนหลังจากทำภารกิจสำเร็จลุล่วงต่างหากเล่า
หากมิใช่เพราะสิ่งนี้พวกเขาคงไม่ต้องการที่จะลงจากคุนหลุนเป็นแน่ นั่นเพราะพลังชีวิตด้านนอกหาได้สมบูรณ์ดังเช่นที่คุนหลุนไม่ อีกทั้งการลงเขามาเช่นนี้ ย่อมมีผลต่อการฝึกฝนและความก้าวหน้าของพวกเขาอย่างมาก
ค่ายกลวราหกยังไม่ถูกทำลายเมื่อลมพายุหยุดลง หมอกขาวก็ได้กลับมารวมตัวขึ้นหนาแน่นอีกครั้ง และครั้งนี้ปกคุมหนาแน่นกว่าก่อนด้วย ทำให้ศัตรูภายนอกไม่สามารถมองเห็นภายในได้
หมอกขาวที่เกิดจากค่ายกลวราหกนั้นหาใช่เมฆตามธรรมชาติ แต่เป็นเพียงกลุ่มหมอกที่เกิดจากค่ายกล ตราบใดที่ค่ายกลยังไม่ถูกทำลายลง มันจึงยังคงทำหน้าที่ของมันไปเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงหมอกสีขาวไม่จางหายไป แต่กลับเพิ่มปริมาณหนาแน่นมากขึ้น และนั่นขึ้นอยู่กับพลานุภาพของค่ายกลนั้นๆ
ก่อนหน้านี้หลิงหยุนเคยใช้ค่ายกลวราหกเพื่อสะกัดกั้นการสอดแนมของศัตรู หรือใช้เป็นที่กับดักคุมขังศัตรู และในครั้งนั้นหลิงหยุนไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อยว่า ค่ายกลวราหกของตนจะถูกศัตรูทำลายลงได้เมื่อใด เพราะเขาเป็นฝ่ายที่อยู่ด้านนอกคอยใช้กระบี่ทิ่มแทงศัตรูที่อยู่ด้านใน
แต่เวลานี้ค่ายกลวราหกของเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ปกป้องตนเองและมารดา ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงต้องรักษาค่ายกลนี้อย่างสุดกำลัง มิให้อีกฝ่ายทำลายลงได้ง่ายๆ
หลิงหยุนสามารถหยุดการจู่โจมของศัตรูได้สำเร็จเวลานี้เขายืนถือกระบี่โลหิตเทวะไว้ในมืออย่างผ่าเผย ดวงตาสองข้างหรี่เล็กลงเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว..
ศิษย์คุนหลุน!
ศิษย์คุนหลุนทั้งสี่ในขั้นก่อสร้างรากฐานปรากฏตัวขึ้นในยุทธภพเช่นนี้นี่นับเป็นเรื่องดีสำหรับหลิงหยุนยิ่งนัก!
คุนหลุนอยู่ที่ใดกันแน่สำหรับชาวยุทธทั่วไป เรื่องนี้นับเป็นสิ่งลี้ลับเกินกว่าที่จะครุ่นคิด และทำความเข้าใจได้ แต่สำหรับผู้บ่มเพาะตนเช่นหลิงหยุนแล้ว เขาย่อมรู้และเข้าใจได้ดี..
คุนหลุนนั้นไม่เพียงเป็นสถานที่ลึกลับแต่หากจะพูดให้ถูก คุนหลุนน่าจะต้องเป็นเสมือนโลกเล็กๆใบหนึ่ง..
จากคำบอกเล่าของเย่ชิงซินนั้นคำสั่งของคุนหลุนหลายครั้ง บ่งบอกว่าคุนหลุนคือศัตรูของหลิงหยุน และสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาเวลานี้ ก็เป็นเครื่องยืนยันความคิดนี้ได้เป็นอย่างดี
และในเมื่อเป็นศัตรูหลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ เขามีหน้าที่เพียงแค่กวาดล้าง และบดขยี้พวกมันเท่านั้น ที่สำคัญบีบให้พวกมันยอมพูดความจริงออกมา
แต่ศัตรูของหลิงหยุนหาใช่เพียงแค่ศิษย์ทั้งสี่ของคุนหลุนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่แต่หมายถึงคุนหลุนทั้งหมดต่างหาก!
คุนหลุนอยู่ที่ใดและคุนหลุนแข็งแกร่งมากเพียงไหน
หากหลิงหยุนต้องการรู้คำตอบวิธีที่ง่ายที่สุดคือ จับเป็นคนของคุนหลุนสักหนึ่งคน จากนั้นจึงค่อยเค้นถามเอาคำตอบ..
ดวงตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาทันทีสายตาจับจ้องแน่วแน่อยู่ที่ร่างของศิษย์คุนหลุนทั้งสี่ และความคิดหนึ่งก็เริ่มผุดขึ้นมาในหัวของเขา..
อย่างน้อยต้องจับเป็นให้ได้หนึ่งคน!
ในเมื่อจำเป็นต้องจับคนหลิงหยุนจึงต้องเป็นฝ่ายบุก แต่เวลานี้เขาต้องปกป้องคุ้มครองฉินจิวยื่อด้วย และไม่สามารถปล่อยนางไว้เช่นนี้คนเดียวได้ การจะเป็นฝ่ายบุกจึงเกินกำลังของเขาในเวลานี้..
‘สำนักกระบี่เทียนซานมียอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐานเพียงแค่ผู้เดียวเท่านั้นซึ่งก็คือตี๋เฮ่อหมิง ส่วนยอดฝีมือาวุโสอีกสองคนก็อยู่ในระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) และถูกเขาสังหารตายไปหนึ่งคนแล้ว’
แล้วผู้อารักขาตี๋เสี่ยวเจินเล่าเวลานี้อยู่ที่ใด หรือจะเป็นหนึ่งในสองยอดฝีมืออาวุโสขั้นจิ่วเฉิงชี่นี้?
ข้อมูลทั้งหมดนี้แน่นอนว่าหลิงหยุนได้มาจากตี๋ยั่วถัง ซึ่งข้อมูลที่เขาได้มานั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากที่เขาคาดเดาเอาเองมากนัก เพียงแค่สำนักกระบี่เทียนซานนั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับหลิงหยุน เขาสามารถจัดการได้ไม่ยากนัก..
แต่ปัญหาอยู่ที่คุนหลุนยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวนั่นเองและทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งยิ่งนัก!
หลิงหยุนคาดเดาว่าน่าจะต้องเป็นจางคุนหลุนและหลี่คุนหลุน ที่สามารถหนีรอดจากการถูกเขาสังหารในงานชุมนุมชาวยุทธได้ และเมื่อกลับไปคุนหลุน ก็ได้บอกเล่าความแข็งแกร่งของเขาให้คุนหลุนทราบ ด้วยเหตุนี้ คุนหลุนจึงได้ส่งยอดฝีมือสูงส่งเช่นนี้มา อีกทั้งยังร่วมมือกับสำนักกระบี่เทียนซาน และอาศัยโอกาสที่หลิงหยุนบุกมาช่วยแม่ของตนที่นี่ เพื่อจับตัว หรือไม่ก็สังหารเขา
หลังจากผ่านงานชุมนุมชาวยุทธมาเพียงแค่หกวันเท่านั้นนับว่าคุนหลุนคำนวนเวลาได้แม่นยำยิ่งนัก!
‘หากข้าต้องการเป็นฝ่ายบุกสิ่งแรกที่ต้องทำคือส่งท่านแม่ออกไปจากที่นี่ให้ได้เสียก่อน หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องส่งให้ถึงมือของซิงเฉิน’
หลังจากที่ได้ประมือกันไปบ้างก่อนหน้านี้หลิงหยุนค่อนข้างมั่นใจว่า เขาจะสามารถคุ้มครองฉินจิวยื่อออกไปได้อย่างปลอดภัย เขาจึงมิได้รีบร้อนหรือกระวนกระวายใจมากนัก
เวลานี้หลิงหยุนสามารถประเมินพลังของผู้บ่มเพาะในขั้นก่อสร้างรากฐานได้อย่างแม่นยำเขาไม่จำเป็นต้องมองเห็นจุดตันเถียนหรือจุดซือไห่ของอีกฝ่ายเลย เขาประเมินพลังของคู่ต่อสู้จากความว่องไวในระหว่างที่ประมือกัน..
อย่างเย่ซิงเฉินเป็นต้นนางเข้าสู่ขั้นอู่เฉิงชี่แล้ว ความเร็วสูงสุดในการเหาะนั้นอยู่ที่สี่เท่าของความเร็วเสียง และไม่สามารถเหาะได้เร็วกว่านั้นเป็นแน่ แต่ที่นางสามารถทำได้เช่นนี้เพราะนางฝึกวิชาสุญตาดูดดาว ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาพลังลับหยิน–หยางของเขาเลย
หากเป็นผู้บ่มเพาะพลังทั่วๆไปการจะเหาะได้เร็วในระดับนี้นั้น อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ และต้องอยู่ในขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) ขึ้นไปเท่านั้น
‘เพียงแต่เวลานี้ท่านแม่ดูเหมือนจะยังกินไม่อิ่มข้าจะพานางออกไปในเวลานี้ได้อย่างไรกันเล่า’
หากศิษย์ทั้งสี่ของคุนหลุนได้ล่วงรู้ความคิดในหัวของหลิงหยุนเมื่อครู่นี้พวกเขาคงจะต้องขุ่นเคืองใจจนแทบอยากฆ่าหลิงหยุนให้ตาย เพราะความคิดเช่นนี้เท่ากับไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา.. พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เป็นปัญหากับหลิงหยุน และสร้างความกังวลใจให้กับเขามากที่สุด กลับเป็นเรื่องที่เกรงว่าฉินจิวยื่อจะกินอาหารไม่อิ่ม แต่กลับไม่หวาดกลัวการจู่โจมจากพวกตน
‘แต่เวลานี้สำนักกระบี่เทียนซานได้ทำการเปิดค่ายกลแล้วหากข้าจะพาท่านแม่ฝ่าออกไปเวลานี้ ย่อมต้องใช้ฝีมือไม่น้อย..’
หลิงหยุนหันไปมองสันเขาใหญ่ทางด้านใต้ของสำนักกระบี่เทียนซานระหว่างสันเขาด้านใต้กับยอดเขาเทียนเฟิงแห่งนี้ ดูราวกับเป็นพื้นที่โล่งที่มีกระจกใสและหนาปกคลุมอยู่ นี่คือการทำงานของค่ายกล..
แย่แล้ว!
นี่มันอะไรกันก
เสียงร้องตะโกนดังขึ้นมาจากไกลๆ
มีคนบุกรุกเข้ามาที่ยอดเขาปฐพี!
หลิงหยุนกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะพาแม่ของเขาฝ่าออกไปพบเย่ซิงเฉินแต่จู่ๆก็เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นที่เขาปฐพีที่อยู่ตรงข้ามเขาเทียนเฟิงพอดี!
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มออกมาและดูเหมือนว่าไม่จำเป็นที่เขาจะต้องออกไปอีกแล้ว เพราะเย่ซิงเฉินได้บุกมาที่นี่ด้วยตัวเองแล้วนั่นเอง
ตามแผนที่หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นหลิงหยุนจะเป็นผู้บุกเข้าไปบนยอดเขาเทียนเฟิงเพื่อช่วยแม่ของเขา และเมื่อช่วยออกมาได้แล้วก็จะรีบพาฉินจิวยื่อไปส่งให้เย่ซิงเฉินทันที ซึ่งขั้นตอนนี้ควรต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ยอดเขาทั้งสามนั้นมิได้อยู่ห่างไกลกันมากนักและด้วยความสามารถของหลิงหยุนเวลานี้ ไม่ควรจะต้องใช้เวลานานเกินสองหรือสามนาที อย่างมากที่สุดก็ไม่ควรเกินห้านาที..
และเมื่อครู่ก่อนหน้านี้เย่ซิงเฉินก็เพิ่งเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นภายในสำนักกระบี่เทียนซาน ทำให้นางรู้ว่าหลิงหยุนน่าจะหาตัวฉินจิวยื่อพบแล้ว
แต่เมื่อสำนักกระบี่เทียนซานเปิดค่ายกลนางจึงไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในได้อีก จากนั้นยอดเขาทั้งสามก็หายวับไปกับตา นางจึงได้รู้ว่าค่ายกลขุนเขาได้ทำงานแล้ว เพราะหลิงหยุนได้บอกนางไว้ล่วงหน้าแล้ว
แต่เย่ซิงเฉินก็ยังคงอดทนรอหลิงหยุนอย่างอดทนแต่เมื่อเวลาผ่านไปนานกว่าสิบนาที เย่ซิงเฉินก็ไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป เพราะการที่หลิงหยุนได้พบแม่ของเขาแล้ว แต่กลับยังไม่ออกมาทั้งที่เวลาล่วงเลยไปกว่าสิบนาทีแล้ว นางจึงไม่รู้ว่าหลิงหยุนเปลี่ยนใจ หรือกำลังเผชิญกับปัญหากันแน่..
แต่ท้ายที่สุดเย่ซิงเฉินก็ตัดสินใจที่จะบุกเข้าไปสำนักกระบี่เทียนซานพบหลิงหยุน!
เย่ซิงเฉินหาใช่หญิงสาวขลาดเขลาทันทีที่ตัดสินใจเช่นนั้น นางก็เหาะไปเหนือค่ายกลขุนเขาซึ่งทำหน้าที่ปกป้องสำนักกระบี่เทียนซานทันที!
หากผู้ที่บุกเข้าไปนั้นไม่เข้าใจกลไกการทำงานของค่ายกลก็ยากที่จะฝ่าเข้าไปได้ แต่เย่ซิงเฉินสามารถทำได้
ด้วยวิชาสุญตาดูดดาว!
เย่ซิงเฉินใช้พลังจิตเรียกดวงดาวออกมาจากจุดซือไห่ของตนหกดวงจากนั้นจึงใช้วิชาสุญตาดูดดาวหลอมรวมดวงดาวทั้งหก ให้กลายเป็นดวงดาวที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่เกือบสองเมตรสองดวงในทันที!
หลังจากนั้นนางก็ได้ทำให้ดวงดาวทั้งสองประกบเข้าด้วยกัน ก่อนจะแทรกร่างของตนเข้าระหว่างดวงดาวขนาดสองเมตรทั้งสองดวง จากนั้นจึงใช้วิชาสุญตาดูดดาวบังคับดวงดาวทั้งสองให้พุ่งกระแทกใส่ค่ายกลขุนเขา
ดวงดาวใหญ่โตทั้งสองที่ห่อร่างของเย่ซิงเฉินไว้นั้นหมุนเป็นพายุและกระแทกเข้ากับค่ายกลจนแตกออก จากนั้นร่างของนางพร้อมดวงดาวก็ไปปรากฏอยู่หน้าสำนักกระบี่เทียนซาน
หลังจากที่เข้าไปภายในกระบี่เทียนซานได้เย่ซิงเฉินก็ยังไม่เหาะตรงไปยังยอดเขาเทียนเฟิงในทันที แต่กลับเลือกที่จะไปปรากฏตัวที่ยอดเขาปฐพีทางด้านตะวันตกแทน หลังจากนั้นก็ได้ใช้พายุหมุนดวงดาวพร้อมดาบคู่มารสะบั้นเทวะซึ่งเป็นอาวุธประจำกาย เข้าห้ำหั่นศัตรูในทันที
เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากเขาทางด้านตะวันตกไม่หยุดดาบคู่มารสะบั้นเทวะที่ประหนึ่งดวงอาทิตย์และจันทร์เสี้ยวนั้น ได้พุ่งเข้าสังหารผู้คนตายราวกับผักปลา
…..
ฮ่าๆๆซิงเฉินเจ้ามาได้ทันเวลาพอดี!
หลิงหยุนซึ่งอยู่บนยอดเขาเทียนเฟิงจงใจใช้มังกรคำรามร้องตะโกนออกไปเพื่อให้เย่ซิงเฉินได้ยิน