ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 741 จุดจบ

บทที่ 741 จุดจบ

“ไม่ใช่!หัวหน้าสมาคมซุน นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ เรื่องนี้พูดคุยกันได้นะครับ”หลู่ฉังชิงรีบพูดขอร้องอ้อนวอนขึ้นมา”ผมรู้สึกผิดแล้ว ให้ผมพูดกับหัวหน้าสมาคมหลินสักสองสามประโยคนะครับ ผมขอร้องท่านล่ะ อย่าให้ผมล้มละลายเลย ผม จะให้ผมคุกเข่าให้ท่านก็ได้!”

ซุนโช่ฉัยเป็นถึงหัวหน้าสมาคมของสมาคมธุรกิจแห่งจี้โจว ทรงพลังมาก การที่จะให้เศรษฐีของอุตสาหกรรมก่อสร้างแบบหลู่ฉังชิงล้มละลาย มันสามารถทำได้รวดเร็วและง่ายดายมากๆ

หลู่ฉังชิงเสียใจจนจะตรอมใจตายอยู่แล้ว เสียใจที่ไปก้าวก่ายผู้ที่มีอิทธิพลมากขนาดนี้แบบหลินอิ่ง

ตอนแรกนึกว่าหลินอิ่งเป็นแค่พวกอ่อนแอที่ถูกรังแกง่ายๆ รังแกเสร็จแล้วก็ค่อยไปประจบประแจงคุณชายหลินเซวียนสักหน่อย กลับไม่คิดว่าจะไปรุกรานผู้ที่มีอิทธิพลขนาดนี้เข้า ครั้งนี้ ทุกอย่างจะต้องจบเห่ลงแล้วแน่ๆ!

“ขอร้องอ้อนวอน? นายทำอะไรลงไปล่ะ?”ซุนโช่ฉัยยิ้มอย่างเย้ยหยัน”ใช้ชีวิตมาตลอดทั้งชีวิตแล้วยังไม่รู้จักสถานภาพของตัวเอง นายนึกว่าการที่ไปเข้าหาคุณชายหลินเซวียนแล้วจะลอยตัวทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ?”

หลู่ฉังชิงสีหน้าซีดขาวเหมือนคนตาย

ปึ้ง

หลู่ฉังชิงไม่สนหน้าตาแล้ว คุกเข่าลงไปตรงหน้าเก้าอี้ของหลินอิ่งอย่างแรง ก่อนจะพูดขอร้องอ้อนวอนขึ้น”หัวหน้าสมาคมหลิน ผมขอร้องท่านล่ะ ผมมีตาหามีแววไม่ ขอให้ท่านยกโทษให้ด้วย ให้โอกาสผมในการชดใช้สักครั้งเถอะนะครับ!”

“ผมรู้สึกผิดไปแล้วจริงๆ ท่านได้โปรดอย่าให้หัวหน้าสมาคมซุนกำจัดผมจนสิ้นซากเลยนะครับ!”

หลินอิ่งสีหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก วางแก้วไวน์ในมือลง มองไปยังหลินหวูซินที่นั่งอยู่ข้างๆ

“รองประธานหลิน ผมคิดว่างานเลี้ยงวันนี้ไม่ต้องจัดต่อแล้วล่ะ คนพวกนี้จะร่วมงานกับหลินซื่อหรือไม่นั้นมันไม่สำคัญแล้ว มีหัวหน้าสมาคมซุนมาร่วมงานด้วย ผมคิดว่าเก่งกว่าพวกไร้ประโยชน์ที่มีดีแค่กินกับดื่มพวกนี้หลายร้อยเท่าแน่นอน”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“ค่ะ คุณชายสาม”หลินหวูซินยังดึงสติกลับมาไม่หมด หน้าแดง พยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ”

หลินอิ่งค่อยๆลุกขึ้น ชำเลืองตามองซุนโช่ฉัย

“ซุนโช่ฉัย ตรงนี้ยกให้กับนายก็แล้วกัน”

“ครับ!หัวหน้าสมาคมหลินท่านวางใจได้ ผมจะจัดการให้อย่างดีเยี่ยมเลยครับ คนพวกนี้กล้ามาล่วงเกินท่าน ขอแค่ผมยังอยู่ที่จี้โจวอีกหนึ่งวัน รับรองว่าพวกเขาจะไม่มีวันได้โผล่หัวออกมาแน่นอน!”ซุนโช่ฉัยตบอกพูดขึ้น

ในตอนนี้ หลินอิ่งก็พาหลินหวูซินจากไป

เหลือไว้แต่พวกหลู่ฉังชิงสองสามคน ท่าทางสิ้นหวัง มองซุนโช่ฉัยด้วยสีหน้าซีดขาว

ในใจของพวกเขารู้ดี ว่าโชคชะตาที่กำลังรอพวกเขาอยู่นั้น ก็คือการสูญเสียตำแหน่งความมั่งคั่งไปจนหมดเกลี้ยง ครอบครัวไม่ถูกทำลายไปก็ถือว่าดีมากโขแล้ว

……

สิบนาทีผ่านไป

บนถนนสายหนึ่งในเขตตัวเมืองที่คึกคัก ขบวนรถของหลินหวูซินกำลังแล่นอยู่

ตรงเบาะหลังภายในรถโรลส์รอยซ์ที่อยู่ตรงกลางคันนั้น หลินอิ่งกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ หลินหวูซินนั่งอยู่ข้างๆมีความรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่สุขเล็กน้อย

การแสดงออกของหลินอิ่งในวันนี้เหนือความคาดหมายของเธอมากเกินไป

เมื่อก่อนหลินหวูซินยังนึกว่าหลินอิ่งจะถูกหลินเซวียนกดขี่ข่มเหงในจี้โจวจนไม่มีโอกาสที่จะได้ลืมตาอ้าปากเสียอีก

แต่คิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งพูดลอยๆออกมาแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้ คนใหญ่คนโตระดับซุนโช่ฉัยยอมติดตามรับใช้ได้ถึงขนาดนี้

คิดๆดูแล้วก็ใช่!

หลินอิ่งถูกแม่เฒ่าพยายามหักล้างโต้แย้งทุกสิ่งอย่าง และยืนกรานที่จะแต่งตั้งให้เป็นว่าที่ทายาทของตระกูลหลินให้ได้!

สายตาที่เฉียบแหลมของแม่เฒ่า จะมองคนผิดได้ยังไง?

การที่แม่เฒ่ายกหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยให้กับหลินอิ่งบริหารดูแลอย่างง่ายดายขนาดนี้ ตนเองก็น่าจะเดาความสามารถของหลินอิ่งได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

“คุณชายสาม คิดไม่ถึงว่าท่านจะมีเครือข่ายเส้นสายในจี้โจวที่กว้างขวางมากขนาดนี้นะคะ”หลินหวูซินเปิดปากพูดถามขึ้น”ขนาดหัวหน้าสมาคมซุนยังเรียกท่านว่าหัวหน้าสมาคม ท่านคงจะมีอำนาจอิทธิพลในตี้จิงอยู่ไม่น้อยสินะคะ?”

หลินอิ่งค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะพูดตอบ”หรือว่าก่อนหน้านี้ คุณไม่เคยตรวจสอบประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมเลยเหรอ?”

หลินอิ่งสีหน้าอึดอัด พูดขึ้น”คุณชายสาม ฉันบกพร่องในการทำงาน ท่านมาถึงบริษัทแล้วเพิ่งจะรู้ว่าท่านมาที่จี้โจว เคยได้ยินมาว่าหน้าที่การงานในตี้จิงของท่านยิ่งใหญ่มากๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีอิทธิพลผลกระทบมากขนาดนี้”

หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ”ปู่ของคุณไม่เคยบอกคุณมาก่อนเลยอย่างนั้นเหรอ?”

พอพูดถึงปู่ของเธอ ผู้อาวุโสหลินเสวียนคุน หลินหวูซินก็แววตาหม่นหมองเศร้าโศกไม่น้อย เหมือนกับว่ามีเรื่องหนักใจอะไรอยู่ พูดขึ้น”เรื่องธุระงานภายในตระกูล ปู่ของฉันไม่เคยพูดกับฉันเลย……เขาบอกว่าฉันเป็นแค่ผู้หญิง ไม่ต้องรู้เยอะขนาดนั้นหรอก”

หลินอิ่งพอเห็นท่าทางนี้ของหลินหวูซิน ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา พูดขึ้น”ที่ตี้จิงผมก็ถือว่าพอได้อยู่ คุณถามเรื่องนี้ทำไม คุณมีธุรกิจที่ตี้จิง?”

หลินหวูซินส่ายหน้า พูดขึ้น”ฉันแค่รู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่ภายในใจ คุณชายสามท่านไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลหลินมาก่อน แต่สามารถมาอยู่ในตำแหน่งแบบในทุกวันนี้ได้ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ”

ลังเลอยู่สักพัก หลินหวูซินก็พูดถามขึ้นมา”ฉันอยากจะถามคุณชายสามสักหน่อย ว่าที่แม่เฒ่าให้ท่านมาที่จี้โจว เพื่อมาจัดการเรื่องของตระกูลเผยใช่ไหมคะ?”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกสงสัยเหมือนกัน หลินหวูซินสถานภาพเป็นถึงหลานสาวของผู้อาวุโส ทำไมถึงดูเหมือนไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง

“ช่างเถอะ”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ”แต่แค่ว่า ลุงหลินเซวียนนั้นของคุณไม่อยากให้ผมข้องเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลเผย”

“ฉันเข้าใจลุงหลินเซวียนดี เขาแข็งแกร่งเกินไป คุณชายสามมาที่จี้โจว เขาจะต้องไม่อยากให้ท่านไปคุกคามตำแหน่งของเขาแน่นอน”

หลินหวูซินพูดขึ้น

“ใช่แล้ว คุณชายสาม ท่านรู้จักคุณชายใหญ่ของตระกูลเผยไหม?”

“เผยชิงอี?”หลินอิ่งพูดถาม

หลินหวูซินตอบ”ไม่ใช่เผยชิงอี เผยชิงอีเป็นคุณชายสี่ของตระกูลเผย คุณชายใหญ่เผยหยวนเฟิง ท่านรู้จักไหม?”

หลินอิ่งส่ายหัวพูดขึ้น”ไม่รู้จัก”

คนของตระกูลเผยแห่งจี้โจวที่ทำให้หลินอิ่งประทับใจคือนายท่านใหญ่ตระกูลเผย แล้วก็ชายหนุ่มมากพรสวรรค์ที่อยู่รุ่นเดียวกัน เผยชิงอี

เผยชิงอีมีเชื่อเสียงมากในแวดวงลึกลับ แถมเป็นคนที่พิเศษและแตกต่างอีกด้วย ก่อนหน้านี้หลายปีตอนอยู่ที่ตระกูลเผยไม่ถูกให้ความสำคัญ พอออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ผลที่ได้คือได้รับการปลูกฝังฝึกฝนที่ตำหนักหลิงเซียว กลายเป็นสี่หัวหน้าใหญ่ของหลิงเซียว

“คุณถามคำถามนี้กับผมทำไม?”หลินอิ่งพูดถามขึ้น

ความประทับใจที่เขามีต่อหลินหวูซินไม่เลวเลย คุณหนูของตระกูลหลินคนนี้เป็นคนที่ไม่มีแผนการอะไรอยู่ในใจ ดูเป็นคนซื่อๆ

หลินหวูซินลังเลอยู่สองสามวินาที ก่อนขอความช่วยเหลือจากหลินอิ่ง บอกว่าไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นตัวหมากของหลินเซวียนที่จะถูกยกไปให้ไปแต่งงานกับคุณชายใหญ่ของตระกูลเผย เผยหยวนเฟิง

หลินอิ่งพอได้ยินแบบนั้น ตอนแรกก็ไม่อยากจะยุ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าตอนบ่ายจ้าวเฉิงเฉียนจะนัดเผยหยวนเฟิงออกมาเจรจาพูดคุย ในระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยเจรจาอยู่นั้น เผยหยวนเฟิงก็ไปก้าวก่ายหลินอิ่งเข้า ดูถูกหลินอิ่ง หลินอิ่งก็เลยช่วยหลินหวูซินยกเลิกการแต่งงาน แถมยังทำให้หลินเซวียนตกใจกลัว เพื่อให้เผยหยวนเฟิงสูญเสียอำนาจ ทำให้ทายาทของตระกูลเผยเปลี่ยนเป็นเผยหวูหมิงแทน

หลินเซวียนยังวางกับดักที่จะต่อต้านหลินอิ่งที่วิลล่าเทียนยู่นอีกด้วย ใครจะไปรู้ว่าถูกหลินอิ่งโจมตีกลับ เกือบจะถูกทำลายศิลปะการต่อสู้ไปแล้ว โชคดีที่ผู้อาวุโสของสำนักกระเบื้องหลังของหลินเซวียนออกหน้ามาขอร้องอ้อนวอนให้ ศิลปะการต่อสู้ของหลินเซวียนจึงไม่ได้ถูกทำลายไป หลังจากที่ทั้งสองคนกลับไปพักแล้ว ก็ไม่ยอมแพ้ จึงส่งนักฆ่าไปจัดการหลินอิ่ง หลินอิ่งเกิดจิตสังหารขึ้นมา ร่วมมือกันกับมังกรเขียวแห่งตี้จิง ไม่นานก็ตามตัวของหลินเซวียนกับผู้อาวุโสของสำนักกระบี่เจอ แล้วฆ่าทั้งสองคนทิ้ง

……

หลินเซวียนเลือดอาบท่วมตัว ผมเพ้ายุ่งเหยิง ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ มองหลินอิ่งด้วยสายตาตายด้าน จู่ๆก็ตื่นตกใจขึ้นมา

“ไม่นะ!หลินอิ่ง นายอย่าฆ่าฉันนะ!”

หลินเซวียนสีหน้าหมดหวัง พูดด้วยความตื่นตัว

“ฉันไม่สู้กับนายแล้ว ฉันยกตำแหน่งทายาทของตระกูลหลินให้กับนายก็ได้!ฉันยอมแพ้แล้ว!”

“เห็นแก่สถานภาพที่เป็นคนของตระกูลหลิน แกปล่อยฉันไปเถอะนะ!”

“ฉันสาบาน ว่าฉันจะไม่หาเรื่องแกอีก กลับไปฉันจะออกไปจากตระกูลหลิน ไม่เป็นปฏิปักษ์กับแกอีกตลอดไป!ไว้ชีวิตฉันเถอะนะ!”

หลินเซวียนตกอยู่ในความสิ้นหวัง ขอร้องอ้อนวอนอย่างบ้าคลั่ง

ความแข็งแกร่งของหลินอิ่ง ทำลายเกราะป้องกันทางจิตใจของเขาจนหมดสิ้น ไม่เหลือแล้วซึ่งความกล้าที่จะไปต่อกรกับหลินอิ่ง

หลินอิ่งมุมปากเผยให้เห็นถึงความชั่วร้าย

เขาค่อยๆยกมือขึ้น

หลินเซวียน ลอยขึ้นมาบนอากาศ

“ตายซะ!”

หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเย็นชาหนึ่งคำ ห้านิ้วกำเข้าหากัน

เกิดเสียง บูม ดังขึ้นมา

จู่ๆหลินเซวียนก็ระเบิดออก ร่างกายยุบเข้าไป จบชีวิตลงทันที!

……

ตั้งแต่นั้นมา หลังจากที่กำจัดคุณชายทั้งสองคนของตระกูลหลินแล้ว หลินอิ่งก็ได้ดำรงตำแหน่งทายาทของตระกูลหลิน เขาจัดการสถานการณ์ทั้งหมดของจี้โจว หลังจากที่ควบคุมสถานการณ์โดยรวมแล้ว ก็นำความสำเร็จกลับคืนสู่ตระกูลหลิน ปราบสองสำนักใหญ่ของตระกูลหลิน ถือครองอำนาจใหญ่ของตระกูลหลิน ลังยาได้รับจัดการแก้ไขอย่างสำเร็จราบรื่น

……

หลังจากที่ลังยาได้รับการจัดการแก้ไขแล้ว บูโดของหลินอิ่งก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นปรมาจารย์ที่ไร้เทียมทาน!

จบบริบูรณ์

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท