หลวงจีนหันกลับมามองสวี่อี้หราน “อยากจะเสี่ยงทาย?”
สวี่อี้หรานพยักหน้าจริงจัง ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ศิษย์พี่ ผมรู้ว่าเสี่ยงทายของพี่แม่น”
“บ้านของโยมมีน้องสาวคนสวยไหมล่ะ?” หลวงจีนเงยศีรษะเกลี้ยงเกลาและถามหยิ่งผยอง
สวี่อี้หรานกระอึกกระอัก เขาเป็นลูกคนเดียว จะมีน้องสาวคนสวยมาจากไหนกัน?
“ไม่มีเรอะ?” หลวงจีนยิ้มหึๆ อย่างมีเล่ห์นัย “แล้วทำไมอาตมาต้องเสี่ยงทายให้ด้วยเล่า?”
“พระหลงในกามารมณ์นี่มัน!” สวี่อี้หรานสบถด่า “ถึงผมจะมีน้องสาว แต่ก็ไม่ให้แต่งกับหลวงจีนหัวงูหรอก” พูดจบเขาก็ลากหลินเสวียนหลานออกไป
“ไต้ซือ…” หลินเสวียนหลานอยากจะกล่าวขอบคุณ แม้ว่าเขาจะเป็นหลวงจีนที่พูดจาดูลึกลับ ทำให้เขาฟังไม่ออกสักประโยค แต่อย่างน้อยมันก็คลายความสงสัยในใจของเขาไปได้บ้าง
“คุณเรียกเขาว่าอะไรนะ ไต้ซือ?” สวี่อี้หรานเดินพลางแหกปากโวยวาย “คุณคิดว่าเขาเป็นพระจริงๆ เหรอ? คุณเคยเห็นพระสำนักไหนเสี่ยงทายได้บ้าง?”
หลินเสวียนหลานรู้สึกคับแค้น เสี่ยงทายต่างก็เป็นเรื่องของนักพรตในลัทธิเต๋าไม่ใช่เหรอ? “สังคมสมัยใหม่ต้องการบุคคลที่มีทักษะรอบด้าน”
“อะไรวะเนี่ย!” สวี่อี้หรานลากเขาวิ่งออกมาสบถด่า “เขาไม่ใช่พระตั้งแต่แรก ก็แค่มีใบสุทธิเล่มหนึ่ง และมาหยุดพักที่วัดหลิงอิ่น ใช้โอกาสนี้เสี่ยงทายพร้อมแปลเซียมซี อีกทั้งยังเอารัดเอาเปรียบผู้หญิง”
“แล้วทำไมคุณยังเชื่อเขา?” หลินเสวียนหลานถามอย่างสงสัย
“ผมหาอาจารย์ของเขาไม่เจอ เลยไม่มีทางเลือกต้องเชื่อเขา” พูดถึงเท่านี้ สวี่อี้หรานถอนหายใจยาวออกมา “คุณจะไปไหน”
“ผมจะไปซื้อตั๋วรถกลับเซี่ยงไฮ้” หลินเสวียนหลานไม่ปิดบังเขา
“ใบเซียมซีของคุณเมื่อสักครู่หมายความว่ายังไงกันแน่?” สวี่อี้หรานถามอย่างสงสัย
“สามปีก่อน ผมกับน้องสาวเคยมาเสี่ยงเซียมซีที่นี่ ไต้ซือท่านนี้แปลเซียมซีให้ผมประโยคหนึ่ง…ยามเมื่อดอกบัวสีทองเบ่งบานเต็มที่ ผมยังโง่เขลาเบาปัญญา สามปีผ่านไปคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้เลยตั้งใจมาถามเป็นพิเศษ” หลินเสวียนหลานอธิบาย แน่นอนเขาไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เขาเห็นหลังจากถูกรถชนด้วยความมึนเมาไร้สติ
“ยามเมื่อดอกบัวสีทองเบ่งบานเต็มที่?” สวี่อี้หรานขมวดคิ้วสลับกับมองหลินเสวียนหลาน รู้สึกแคลงใจไม่รู้จบ หรือว่าเขาจะมีวาสนากับเธอ? เป็นไปได้อย่างไรกัน? แต่ทำไมพระถึงพูดอันตรกัปเปลี่ยนไป จนอาจจะถึงขั้นเลือดตกยางออก? เขารู้ดีว่าปกติพระจะพูดอะไรไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่อย่างไรเขาก็ไม่มีวันพูดแช่งคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าถึงขั้นเลือดตกยางออก
ในเมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้น เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องอันตรายขึ้นกับหลินเสวียนหลานจริงๆ
“ผมก็จะกลับเซี่ยงไฮ้ กลับด้วยกันเถอะ” สวี่อี้หรานพูด “ผมขับรถมา”
“อ้อ? คุณรู้จักเส้นทางด้วยเหรอ?” หลินเสวียนหลานแปลกใจ
“แหะๆ!” สวี่อี้หรานทำได้แค่ยิ้มอ่อน เส้นทางเหรอ? เส้นทางที่ควรจะรู้ก็ต้องรู้ เส้นทางที่ไม่รู้ก็คือไม่รู้ พาสาวสวยนั่งรถมาด้วยแน่นอนว่าก็ต้องหลงทางสิ ทำไมแม้แต่เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้ล่ะ?
…
ซีเหมินจินเหลียนกลุ้มใจ รอเมื่องานประมูลหินหยกใต้ดินที่พม่าสิ้นสุดลงแล้วก็เก็บกระเป๋าเดินทางและซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเซี่ยงไฮ้ แต่จ่านป๋ายคิดไม่ถึงว่าเมื่อผู้หญิงโกรธขึ้นมา ความอยากที่จะซื้อท่วมทะลัก ในระหว่างทางที่กำลังเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงนั้น เธอยอมพักวันหนึ่งและจูงมือเขาไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า ดังนั้น…ซีเหมินจินเหลียนคนที่มีเหตุผลมาตลอดที่เขาเคยรู้จัก คิดไม่ถึงเธอก็มีบางมุมที่มีอารมณ์บ้าคลั่ง
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์จินเหลียนที่เซี่ยงไฮ้ ซีเหมินจินเหลียนก็โยนร่างของตัวเองลงบนโซฟาตัวใหญ่อย่างหมดอาลัยตายอยาก
“จินเหลียน อย่าเพิ่งท้อสิครับ” จ่านป๋ายปลอบใจเธอด้วยความหวังดี “ก็แค่หินหยกดิบสองก้อนเองไม่ใช่เหรอ? หินที่ทำให้คนซื้อกลับไปแพ้พนัน เขาก็สมควรแพ้แล้วล่ะ!”
ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มออกมา แพ้พนันเหรอ? ใครที่ซื้อหินหยกดิบทั้งสองก้อนนั้นไปก็ไม่มีทางแพ้พนันเด็ดขาด
“คุณไปเช่ารถขนสินค้าคันหนึ่งนำหินหยกของพวกเราทั้งหมดขนกลับมา ฉันจะจัดการเก็บกวาดบ้านสักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขื่น “อย่าพูดถึงเรื่องทำร้ายจิตใจนั่นอีกเลย ผิดเป็นครู ในอนาคตฉันจะเปิดด้วยราคาสูงกว่านี้”
“คุณรอให้ผมกลับมาก่อนแล้วค่อยทำความสะอาดบ้านเถอะ” จ่านป๋ายยิ้มและหมุนตัวเปิดประตูรถออกนอกบ้าน หินหยกดิบชั้นเลิศพวกนั้นมูลค่ากว่าพันล้าน รีบนำขนกลับมาจะดีที่สุด ในโกดังของซีเหมินจินเหลียนมีหยกชั้นเลิศมากมาย ส่งผลให้ทั้งคู่ไม่กล้าเชิญแม่บ้านมาทำความสะอาด เพราะกลัวที่จะก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็น
แม้ในงานประมูลใต้ดินที่พม่า ซีเหมินจินเหลียนจะไม่สามารถซื้อสินค้าชั้นดีได้ แต่ในเจียหยางก็ได้ของดีมาไม่น้อยเลย
จ่านป๋ายรู้สึกสงสัย หินหยกดิบทั้งสองก้อนนี้ต้องลักษณะดีมากๆ แน่ๆ ไม่อย่างนั้นซีเหมินจินเหลียนคงลืมได้ง่ายแล้ว?
รอให้ขนย้ายหินหยกดิบทั้งหมดกลับมา หลังจากย้ายเข้ามาในห้องใต้ดิน ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ซีเหมินจินเหลียนเก็บกวาดห้องเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองหิวโหยจนท้องร้องโครกคราก ได้แต่ยิ้มสบตาให้กัน
“จินเหลียน ตอนกลางคืนพวกเราเปิดเปลือกหินกันไหมครับ” จ่านป๋ายถามอย่างมีความสุข หยกชั้นเลิศตั้งมากมาย เขาตั้งหน้าตั้งตารอไม่ไหวแล้ว
จ่านป๋ายรู้สึกว่าเขาเริ่มชอบงานตัดเปลือกหินเข้าแล้ว เห็นหยกสีสันตื่นตาตื่นใจค่อยๆ เจียรออกมาจากหินทีละนิด มันคือความเพลิดเพลินอีกแบบ
“พรุ่งนี้แล้วกัน คุณไม่เหนื่อยเหรอไง?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอ่อน
“คุณไม่โกรธแล้วเหรอ” จ่านป๋ายแปลกใจ
“โกรธตัวเองน่ะเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปที่จมูกของตัวเอง
ในระหว่างที่จ่านป๋ายเตรียมจะพูด โทรศัพท์มือถือของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนหันซ้ายทีขวาที ในที่สุดก็พบโทรศัพท์ตัวเองตั้งอยู่บนโซฟา หยิบขึ้นมาดูเบอร์บนมือถือ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจ่านมู่ฮวา ข่าวคราวของเขาไวจริงๆ เธอเองเพิ่งกลับมาได้สักพัก เขาก็โทรมาหาเสียแล้ว?
ตอนนั้นจึงกดปุ่มรับสายไป “ฮัลโหล…” จ่านมู่ฮวาส่งเสียงหวานน่าฟังดังขึ้นข้างหูเธอ
“ว่าไงคะ” ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงบนโซฟา
“จินเหลียน ผมขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ ไว้หน้ากันได้ไหม?” จ่านมู่ฮวาถาม
“ฉันกินเรียบร้อยแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องการไว้หน้ากัน แต่นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเพิ่งจะกินข้าวเหรอ?
“ผมหมายถึงคืนพรุ่งนี้” จ่านมู่ฮวายิ้ม “คุณพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าคุณตกลงแล้วนะ?”
“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“เรื่องเกี่ยวกับบทละครตำนานหินปิดฟ้า มีปัญหานิดหน่อย” จ่านมู่ฮวาพูด “คนเขียนบทคนนั้นไม่รู้ว่าสมองโดนลาถีบไปแล้วหรือเปล่า อยากจะเปลี่ยนให้ได้…ผมเปลี่ยนใจเขาไม่ได้ พรุ่งนี้คุณลองพูดกับเขาเองเถอะ”
“ทำไมล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
จ่านมู่ฮวาบ่นพึมพำหลายประโยค ซีเหมินจินเหลียนได้ยินไม่ชัดเจน “คุณว่าอะไรนะ?”
“คุยกันในโทรศัพท์ไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังไงพรุ่งนี้คุณเข้ามาดูหน่อยแล้วกัน ไหนจะนักแสดงนำชายคนนั้นอีก ผม…ผมเคยเจอคนโอ้อวดมาบ้าง แต่ไม่เคยเจอคนเว่อร์วังได้เท่านี้มาก่อนเลย!” เสียงของจ่านมู่ฮวามีน้ำโห
“เกิดอะไรขึ้น?” ซีเหมินจินเหลียนถามไม่เข้าใจ “ใครหาเรื่องคุณเหรอ”
“หาเรื่องผมก็ช่างเถอะ เพียงแต่…นี่เพิ่งได้เทสต์หน้ากล้อง เขาก็เล่นเนื้อเล่นตัวไม่หยุดไม่หย่อน ไม่มาสายก็หาตัวไม่เจอ แถมยังเรียกร้องจะขึ้นค่าตัวอีก ผู้กำกับไม่พอใจมาก” จ่านมู่ฮวาพูด
ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วเป็นปม “ก็แค่นักแสดงชายคนเดียว ไม่ได้เรื่องก็เปลี่ยนใหม่สิ!”
“โอเค พรุ่งนี้ค่อยมาพูดรายละเอียดต่อหน้ากันดีกว่า คุณรีบพักผ่อนเถอะ หลายวันมานี้ผมคิดถึงคุณมากเลย”จนถึงตอนท้ายจ่านมู่ฮวาก็ไม่ลืมที่จะพูดเว่อร์วังเกินจริง
“แต่ฉันก็ไม่ได้คิดถึงคุณเลยสักนิด!” ซีเหมินจินเหลียนพูดจบรีบตัดสาย
จ่านมู่ฮวากุมโทรศัพท์มือถือสติเหม่อลอย คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือจางต่งเอ๋อร์ เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ ผู้ชายทุกคนก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น กินในถ้วย แต่มองในกระทะ พูดตามตรงถึงซีเหมินจินเหลียน เธอจะเป็นคนน่ารักคนหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นสวยจนจับตาต้องใจ
และผู้หญิงที่น่ารักสดใสก็หาได้ถมเถไปในวงการบันเทิง ขอแค่จ่านมู่ฮวายินดี เพียงกระดิกนิ้วดาราสาวจำนวนมากก็พร้อมใจที่จะขึ้นเตียงของเขา แต่ทำไมเขาถึงได้รักผู้หญิงอย่างซีเหมินจินเหลียนสุดจิตสุดใจขนาดนี้?
“ต่งเอ๋อร์ เธอว่าหากอยากจะจีบผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันควร…จีบอย่างไรดี?” จ่านมู่ฮวากำโทรศัพท์แน่นแล้วถามขึ้น เขาไม่อยากรออะไรอีกแล้ว ปกติยังสามารถไปตอแยเธอได้ที่คฤหาสน์จินเหลียนได้ แต่นับตั้งแต่เธอไปเจียหยางและพม่าเขาก็ไม่เจอเธอเลย และเพื่อตัวเองเขาถึงขนาดต้องควบคุมความรู้สึกเอาไว้ ไม่โทรศัพท์ไปหาเธอ ไม่โทรไปถามข่าวคราวจากเธอ…
แต่เมื่อรู้ว่าเธอกลับมา เขาเองก็ซ่อนความตื่นเต้นในใจไว้ไม่อยู่อีกต่อไป เขาอยากเจอเธอ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้!
แม้แต่หนึ่งนาทีหรือหนึ่งวินาทีเขาก็รอต่อไปไม่ไหวแล้ว หรือว่าเขาจะรักเธอเข้าแล้วจริงๆ?
“ฉันไม่รู้ค่ะ” จางต่งเอ๋อร์กะพริบขนตางอนยาวได้รูป ในใจเหมือนถูกคนนำมีดมาทิ่มแทงหัวใจอย่างเ**้ยมโหด ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูเหมือนไข่ในหิน แม้จะก้าวเท้าเข้ามาในวงการบันเทิง ความงามอันน่าทึ่งของเธอก็ทำให้เธอไม่ค่อยมีข่าวเสียๆ หายๆ ยิ่งนับตั้งแต่ตัวเองได้รู้จักกับจ่านมู่ฮวา งานการของเธอก็ยิ่งเจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า
เธอรู้ว่าเธอยังสาวและสวยมาก! เดิมทีคิดจะอาศัยเรื่องพวกนี้เอาชนะใจของจ่านมู่ฮวา แต่เมื่อเธอมอบทั้งกายและใจให้เขาหมดแล้ว เธอถึงรู้ว่าแท้จริงในใจของเขา ตัวเธอเองเป็นได้แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ควรค่าให้อาลัยอาวรณ์
สิ่งที่เขาชอบในตัวเธอก็แค่ความสวยของเธอ เอวบางร่างน้อย ผิวกระจ่างใส…
จ่านมู่ฮวาลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างนอก…
จางต่งเอ๋อร์ขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ถามออกมา เขาจะอยู่หรือไป เธอไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว
จ่านมู่ฮวาบอกลาจางต่งเอ๋อร์ ก่อนจะขับรถไปยังคฤหาสน์จินเหลียน เมื่อถึงหน้าประตูไฟหน้ารถส่ายไปมา มีเงาดำพุ่งใส่เขาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว หรือว่าในหมู่บ้านจะมีโจร?
เมื่อย้อนคิดดูแล้วจ่านป๋ายก็อยู่ที่นี่ แล้วจะยอมให้โจรเข้ามาได้อย่างไร หรือว่าตนเองจะตาลาย? เขาลงจากรถเขาเดินไปหน้าประตูและกดกริ่ง
จ่านป๋ายได้ยินเสียงกริ่งก็ขมวดคิ้วมุ่น นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วทำไมถึงยังมีใครมาอีก? แถมพนักงานรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็ไม่บอกกล่าวสักคำ ปล่อยเขาเข้ามาแบบนี้น่ะหรือ? ในใจคิดแบบนั้น แต่ก็เดินไปหน้าประตูและเปิดประตู ก่อนจะได้เห็นคนที่ไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด
“จินเหลียนนอนหลับแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ค่อยเจอกันพรุ่งนี้!” จ่านป๋ายพูดจบก็ปิดประตูสะบัดอย่างแรง แต่วินาทีนั้นสายตาของเขาก็นิ่งงัน และมองตรงไปที่ด้านหลังของจ่านมู่ฮวา
จ่านมู่ฮวาที่ถูกเขามองจนขนหัวลุกซู่ สัญชาตญาณก็บอกให้หันหลังกลับไปมอง ชั่วขณะที่มองนั้นก็อดที่จะตกใจไม่ได้…