“จินเหลียน มานี่สิ ผมแนะนำให้คุณรู้จัก ท่านนี้คือคุณป๋ายเหมิง นักเขียนบทในประเทศที่มีชื่อเสียง” จ่านมู่ฮวาแนะนำซีเหมินจินเหลียนให้รู้จัก
ป๋ายเหมิงขยับแว่นสายตาหนาเตอะเข้ามาใกล้และพยักหน้ากล่าวทักทาย “สวัสดีครับ!”
“สวัสดีค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่ยิ้ม ส่วนจ่านป๋ายก็ลากเก้าอี้และประคองเธอนั่งลง
จ่านมู่ฮวาลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ กับซีเหมินจินเหลียน จากนั้นเรียกพนักงานเสิร์ฟให้มาตั้งอาหาร ป๋ายเหมิงที่นิ่งอยู่นานในเวลานี้ก็ถามขึ้นว่า “ผมรบกวนถามได้หรือเปล่าครับ เรื่องหินปิดฟ้าของเทพธิดาหนี่วา…”
“ฉันเป็นคนเขียนเค้าโครงเรื่องทั้งหมดเอง มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
ป๋ายเหมิงโคลงศีรษะ บทภาพยนตร์ไม่มีปัญหาหรอก ความจริงเขาก็ไม่ชอบเรื่องเกี่ยวกับตำนานเทพอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่ แถมยังรู้สึกว่าถ่ายทำภาพยนตร์ที่ภูมิหลังเป็นเรื่องราวของตำนานเทพพวกนี้ก็ดูจะไม่มีอนาคต แต่เพราะจ่านมู่ฮวาเสนอราคาสูงลิ่วเขาถึงได้ยอมตกลง
“ผมอยากจะแนะนำให้แก้ไขบทภาพยนตร์บางส่วนครับ” ป๋ายเหมิงขมวดคิ้วพูด
“ทำไมล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“เรื่องราวของมันดราม่าเกินไป เกรงว่าคนส่วนใหญ่จะรับไม่ไหว” ป๋ายเหมิงขมวดคิ้วพูดขึ้น “ในเมื่อมีเรื่องราวของตำนานเทพเป็นภูมิหลัง แล้วทำไมไม่ลองเขียนเป็นภาพยนตร์คอมเมดี้ดูล่ะครับ?”
“จินเหลียน คุณเขียนอะไรไปเหรอ” จ่านป๋ายอย่างถามแปลกใจ หินปิดฟ้าทำมาเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมหยกของประเทศจีน หรือว่าตอนจบจะมีโศกนาฏกรรมที่จบไม่สวยด้วย? ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนเขียนเสร็จ เขาก็ไม่ได้อ่านและส่งไปให้จ่านมู่ฮวาทันที ตอนนี้ก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนั้นเขาน่าจะอ่านดูก่อน
ป๋ายเหมิงคว้ากระเป๋าเอกสารข้างๆ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้จ่านป๋าย ในเวลาเดียวกันนั้นก็พูดอธิบายขึ้นว่า “เทพธิดาหนี่วาถูกเธอเขียนเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไหนจะให้พระเอกที่เป็นถึงลูกของเทพเจ้าบนสวรรค์ถูกผลักลงไปในเตาเผาซ่อมฟ้าอีก เหตุผลก็คือหากต้องการให้หินปิดฟ้าบรรลุผลสำเร็จ ก็ต้องการเลือดของเทพเจ้า ท้ายที่สุดเทพเจ้าหนี่วาจึงยอมสังเวยตัวเอง ฝึกฝนวิชาหินปิดฟ้าเจ็ดสีจนสำเร็จ…”
จ่านป๋ายมองซีเหมินจินเหลียนอย่างสงสัย เธอมีความคิดแปลกประหลาดแบบนี้ได้อย่างไร?
สำหรับบทโศกนาฏกรรมนี้ จ่านมู่ฮวาก็รู้ชัดอยู่เต็มอก แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ทำได้แค่ฝืนยิ้มออกมา…สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงแม้จะเป็นความรับผิดชอบของเขา แต่นักลุงทนจริงๆ คือซีเหมินจินเหลียนกับ สวี่อี้หราน ดังนั้นขอแค่สวี่อี้หรานไม่ขัดข้อง เธออยากจะเขียนบทภาพยนตร์อย่างไร ใครจะว่าก็ไม่มีประโยชน์
“คุณอยากจะเปลี่ยนให้เป็นแบบไหนคะ” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถาม
“นี่คือสิ่งที่ผมแก้ไขคร่าวๆ คุณลองอ่านก็แล้วกันครับ” ป๋ายเหมิงพูดจบก็ส่งกระดาษต้นฉบับให้ไป
ซีเหมินจินเหลียนรับมาดูและขมวดคิ้วถาม “คุณป๋ายคะ คุณเปลี่ยนบทภาพยนตร์ของฉันไปหมดเลย…ฉันไม่ได้จะทำภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้นะคะ”
“แต่คนสมัยนี้ก็ชอบดูภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี้นี่ครับ!” ป๋ายเหมิงอธิบาย อยู่ๆ ใครอยากจะไปซื้อน้ำตากัน? ยิ่งไปกว่านั้นยังมีตำนานเทพเจ้าเป็นภูมิหลังอีก? หากคุณมีพล็อตเรื่องที่ทันสมัยก็สามารถลองดูได้ แต่พล็อตเรื่องตำนานเทพนี่…เขียนเค้าโครงแบบนี้ก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย
“คนสมัยนี้จะชอบดูอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยเหรอคะ?” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็ถามขึ้น
ป๋ายเหมินนิ่งอึ้ง จ่านมู่ฮวากับจ่านป๋ายเองก็เช่นกัน เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูดขึ้นว่า “ฉันลงทุนถ่ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง แค่ฉันมีความสุขก็พอแล้ว”
ป๋ายเหมิงได้ยินเช่นนั้น เดิมทีที่ตั้งใจจะขอลาขาดก็พูดออกไปในทันที ในเมื่อเธอไม่คำนึงถึงผลกำไรที่จะได้รับกลับมา อย่างนั้นเธออยากจะทำอะไรก็เรื่องของเธอ
“คุณป๋ายคะ หากคุณไม่อยากทำ ฉันไปหาคนอื่นก็ได้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดออกไปตามตรง “อย่าเสียเวลาเลย”
ป๋ายเหมิงมองจ่านมู่ฮวา ส่วนจ่านมู่ฮวาก็ทำได้แค่ยิ้ม ในใจของเขาเข้าใจดีว่าเรื่องนี้ไม่มีโอกาสให้หวนย้อนกลับ ได้แต่พูดพึมพำออกมาว่า “มากสุด ผีก็ยังไม่ไปดูหนังของพวกคุณเลย!”
จ่านมู่ฮวาเดินออกไปส่งป๋ายเหมิง ก่อนจะกลับมาถามซีเหมินจินเหลียนเกี่ยวกับปัญหาของตัวพระเอก แต่ซีเหมินจินเหลียนกลอกตามองเขา หากเล่นเนื้อเล่นตัวไม่อยากจะถ่ายก็เปลี่ยนคนไปเสียให้สิ้นๆ เรื่อง ส่วนเรื่องที่จะเปลี่ยนเป็นใครให้เขาจัดการก็ได้แล้ว เรื่องเล็กๆ แค่นี้ไม่เห็นจำเป็นต้องถามเธอเลย
จ่านป๋ายพูดจาฉอเลาะ ถามอย่างสงสัยว่า “จะเปลี่ยนเป็นใครดีล่ะครับ?”
“เอ่อ…” ซีเหมินจินเหลียนเหลือบไปมองจ่านมู่ฮวาและยิ้มออกมา “คนที่เหมาะสมที่สุดก็ต้องเป็นพี่ชายของคุณอยู่แล้วสิ หน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้แต่ไม่ไปเล่นหนัง เขาก็จะดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว”
จ่านมู่ฮวาได้ยินแล้วยิ้มอยู่นานถึงพูดขึ้นว่า “ถ้าคุณอยากจะให้ผมไปถ่ายหนังแค่บอกมาก็พอแล้ว แค่ผมไปเล่นเป็นพระเอกไม่เห็นเรื่องใหญ่อะไร แต่…”
เดิมทีซีเหมินจินเหลียนแค่พูดเล่น แต่ดูจากท่าทีของจ่านมู่ฮวาแล้วเหมือนเขาจะคิดที่จะทำจริงๆ “แต่อะไรคะ?”
“คุณเป็นดารารับเชิญได้หรือเปล่าล่ะ?” จ่านมู่ฮวาพูด “เข้าร่วมสักฉากก็พอ!”
“ถ้าคุณจะเป็นพระเอกให้จริงๆ ฉันจะยอมร่วมเล่นหนึ่งฉากเลยเป็นไงคะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มกริ่ม
“อืม!” จ่านมู่ฮวายิ้ม “ผมไปเป็นพระเอก เมื่อถึงตอนนั้นคุณรับเชิญไปเป็นเทพธิดาหนี่วาผลักผมลงไปในเตาไฟก็แล้วกัน”
ซีเหมินจินเหลียนนิ่งงันไป จากนั้นก็คิดถึงเรื่องที่สวี่อี้หรานเคยพูดกับเธอไว้ทั้งหมด คนคนนี้น่าจะเป็นคนชอบความรุนแรงอย่างที่คาดไว้! โศกนาฏกรรมในภาพยนตร์ก็ร้ายแรงมากพอแล้ว แต่เขาพูดมาแบบนี้ทำไมรู้สึกว่าเขาจะมีเจตนาไม่ดีเกิดขึ้น
“นายไม่ได้คิดจริงใช่ไหม?” จ่านป๋ายถาม
“ฉันจริงจังมาก!” จ่านมู่ฮวาพูด
“ถึงนายจะจริงจัง ก็ต้องดูว่านายมีพรสวรรค์ในการแสดงหรือเปล่า” จ่านป๋ายโคลงศีรษะ เดิมทีภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาเสนอให้ถ่ายทำเองเพื่อเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมหยกของจีน และเตรียมตัวผลักดันหยกเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ แต่ตอนนี้ดูอย่างไรก็เหมือนวุ่นวายไปหมด ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าภาพยนตร์ตำนานเทพเจ้าสมัยโบราณที่ใช้เงินทุนสูง ถ่ายออกมาจะมีคนดูหรือเปล่า?
แต่เหมือนที่ซีเหมินจินเหลียนพูด เธอชอบแล้วจะไปสนใจคนอื่นทำไม?
โทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดูด้วยความสงสัย เห็นเป็นเบอร์แปลก จึงไม่คิดอะไรมากรีบกดปุ่มรับสายทันที…
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าใช่คุณซีเหมินจินเหลียนหรือเปล่าคะ” ในสายโทรศัพท์มีเสียงผู้หญิงที่ทำให้ใจสั่นไหว
“ค่ะ ฉันเอง คุณคือใครคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
“สวัสดีค่ะ!” เสียงพูดของหญิงสาวพูดซ้ำราวกับเสียงหุ่นยนต์ “ฉันคือบริษัท XX ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ มีพัสดุของคุณส่งมาที่หมู่บ้านค่ะ ต้องการให้คุณมาเซ็นชื่อรับด้วยค่ะ”
“พัสดุอะไรคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ ช่วงนี้เธอไม่น่าจะมีพัสดุอะไรนี่? หรือว่าใครส่งอะไรมาให้เธอ? ในระหว่างที่พูดเธอก็ตั้งใจมองไปยังจ่านป๋ายกับจ่านมู่ฮวา แต่ทั้งคู่ส่ายศีรษะแสดงว่าไม่ใช่ฝีมือพวกเขา
“ทางเราก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” เสียงหญิงสาวพูดขึ้นอีกครั้ง “รบกวนให้คุณรีบมาเซ็นชื่อรับสักเดี๋ยวนะคะ”
“เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ข้างนอก รบกวนคุณช่วยให้พนักงานรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านเซ็นแทนแล้วกันนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนคิดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“ไม่ได้หรอกค่ะ!” เสียงผู้หญิงพูด “คุณซีเหมินคะ ประกันการขนส่งสินค้าของคุณคือสิบล้านยูโร อีกทั้งผู้ส่งยังบอกไว้ว่าคุณต้องเป็นคนเซ็นรับเองกับมือ และปั้มลายนิ้วมือด้วย ไม่อย่างนั้นก็เปล่าประโยชน์ บริษัทของพวกเราคงต้องตกงาน ไม่มีเงินชดใช้ค่าประกันสูงขนาดนี้หรอกค่ะ หากคุณอยู่ข้างนอกพวกเราก็สามารถรอได้!”
เงินประกันสิบล้าน แถมยังเป็นสกุลยูโร? ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย? ถ้าอย่างนั้นราคาของสินค้าจะมีมูลค่าเท่าไหร่กัน? แถมต้องยืนยันด้วยลายนิ้วมือ แต่เธอไม่เคยทิ้งร่องรอยลายนิ้วมือที่ไหนนี่นา?
ในธนาคารมีลายนิ้วมือของเธอไว้เป็นหลักฐาน แต่สำหรับธนาคารก็ไม่มีทางที่จะนำข้อมูลแบบนี้เปิดเผยออกไปแน่
“ค่ะ โอเคค่ะ ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“จินเหลียน เกิดอะไรขึ้นเหรอ” จ่านมู่ฮวาถามอย่างเอาใจใส่
“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ไม่รู้จะอธิบายกับเขาอย่างไรดี เธอสะพายกระเป๋าและเรียกให้จ่านป๋ายไปจากที่นี่ด้วยกัน
“ผมจะไปส่งพวกคุณ!” จ่านมู่ฮวาสงสัยอยู่เต็มอก เงินประกันระดับล้านยูโร ใครที่ไหนเป็นคนส่งมาให้กัน? ถึงจะมีเงินเยอะขนาดไหนก็ไม่ควรจะใช้จ่ายแบบนี้สิ?
“จินเหลียน ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามีใครที่กำลังเล่นตลกอยู่?” จ่านป๋ายขับรถและยิ้มถามไปพลาง
“คุณหมายถึง?” ในใจของซีเหมินจินเหลียนคาดเดาถึงคนคนหนึ่ง ถามขึ้นอย่างสงสัย “สวี่อี้หราน?”
“ใช่ หมอมองโกลคนนั้นนั่นล่ะ!” จ่านป๋ายยิ้ม “เรื่องแบบนี้คล้ายกับการกระทำของเขามาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาส่งอะไรมาให้คุณถึงได้เล่นใหญ่ขนาดนี้?”
“สงสัยจะมีเงินมากไป เงินประกันหลักสิบล้านยูโรเชียวนะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ่งคิดยิ่งปวดใจ เงินสิบล้านยูโร ถึงจะเยอะแต่นำไปบริจาคให้กับการกุศลจะดีกว่าไหม
ในกระจกรถมองท้าย เห็นว่าจ่านมู่ฮวาขับรถตามมาอยู่ด้านหลัง จ่านป๋ายก็ถามอย่างสงสัยว่า “จินเหลียน ทำไมคุณถึงเขียนจุดจบของตำนานหินซ่อมฟ้าน่าเศร้าขนาดนั้นล่ะครับ?”
“ถ้าไม่ใช่โศกนาฏกรรม แล้วตอนนี้เทพธิดาหนี่วาอยู่ที่ไหนล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนพูดค้านขึ้นมาทันที
จ่านป๋ายรู้สึกเหมือนว่าน้ำกำลังท่วมปาก พูดอะไรไม่ออกเลยสักประโยค ในใจได้แต่เตือนตัวเอง นั่นเป็นแค่ตำนาน ตำนานเทพเท่านั้น…ดังนั้นเขาเลยไม่ได้ตามถามเซ้าซี้อีก แต่ความคิดของซีเหมินจินเหลียนก็มีปัญหาร้ายแรงอยู่ในนั้น
ซีเหมินจินเหลียนหักนิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “ในตำนาน คนในสมัยนั้นมีอภินิหาร และมีชีวิตอมตะ…ถ้าหากไม่ใช่แบบนั้น แล้วพวกเขาไปไหนแล้วล่ะ?”
“แล้วทำไมคุณต้องเขียนให้เทพธิดามาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจด้วยล่ะครับ” จ่านป๋ายเกิดคำถามขึ้นในใจอีกครั้ง
“ฉันเองก็ไม่รู้” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ฉันก็แค่อยากจะเน้นย้ำเรื่องเล่าของมันให้ดูน่าอ่านมากขึ้นแค่นั้น”
“ทฤษฎีประหลาด!” จ่านป๋ายส่ายหน้า มองรถของจ่านมู่ฮวาที่กำลังขับตามติดอยู่ด้านหลังอย่างไม่เดือดไม่ร้อน ขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “จินเหลียน เขา…เหมือนว่าเขาจะตกหลุมรักคุณจริงๆ”
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างมึนงง “คุณว่าอะไรนะ?”
“ผมพูดถึงจ่านมู่ฮวาครับ” จ่านป๋ายยิ้มเฝื่อน “ถ้าตอนแรกเขาแค่คิดเล่นๆ แต่ตอนนี้เขาก็ดูเหมือนจะจริงจังแล้วล่ะ”
“คุณรู้ได้ยังไง?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถาม ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกแบบนั้น คนแบบจ่านมู่ฮวาน่ะเหรอจะรักคนอื่น? เขาเชื่อด้วยหรือว่าบนโลกนี้มีความรักอยู่จริงๆ?
“ไม่มีใครเข้าใจเขาได้ดีกว่าผมแล้ว!” จ่านป๋ายถอนหายใจพูดขึ้น “ความรู้สึกของผมไม่เคยผิดพลาด จินเหลียน คุณต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี!”