ตอนที่ 434 ราวกับไม่ได้กลั่นแกล้ง / ตอนที่ 435 ไม่คัดค้านพวกเราเหรอครับ
ตอนที่ 434 ราวกับไม่ได้กลั่นแกล้ง
ซือเหยี่ยนยื่นมือไปปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยออก เอียงหน้ามองก็เห็นเจียงมู่เฉินยังคงทำหน้าทำตาตื่นตระหนกอยู่เหมือนเดิม
เขาเอื้อมมือไปเตรียมจะปลอบขวัญเจียงมู่เฉินสักหน่อย ใครจะคิดว่าจู่ๆ เจียงมู่เฉินจะทำทุกอย่างเสร็จสรรพอย่างรวดเร็ว ปลดล็อคเข็มนิรภัย จากนั้นก็เปิดประตูรถเดินลงไป
ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ไม่มีความลังเลเลยสักนิด
ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วเงียบๆ
เจียงมู่เฉินยืนกัดฟันอยู่นอกรถ ก็แค่เข้าพบผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ มีอะไรให้ต้องกลัว
คุณชายน้อยเจียงอย่างเขาอับจนหนทางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เข้าพบผู้ใหญ่ เขาก็กลัวถึงขนาดนี้ ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปจะไม่ขายหน้าแย่เหรอ
เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองซือเหยี่ยนด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ไปกันเถอะ”
รัศมีความกล้าหาญไม่ถอยกลับหลังเปล่งประกาย ซือเหยี่ยนเห็นแล้วอยากเปิดเพลง ‘ฉันยังอยากจะมีชีวิตอีกห้าร้อยปีจริงๆ’ ให้เขาเลย
ประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์ของครอบครัวซือเหยี่ยนเปิดกว้าง เจียงมู่เฉินเดินและซือเหยี่ยนทั้งสองคนเดินผ่านประตูเหล็กข้างนอก แล้วเดินตามทางเดินเข้ามา
มองแบบผ่านๆ ตอนที่ต้องเดินเข้าไป เจียงมู่เฉินก็ตื่นตระหนกนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก
เขากำมือแน่น กำลังจะเตรียมสูดหายใจเข้าลึกๆ ซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ก็เอื้อมมือมาจูงมือเขาไว้
เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามอง ก็เห็นดวงตาแต้มรอยยิ้มของซือเหยี่ยนพอดี ไม่รู้ว่าอย่างไร ราวกับสายลมเย็นสบายพัดผ่านมา
ความตื่นตระหนกในหัวใจก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพียงชั่วพริบตาเดียว
นัยน์ตาดอกท้อทอประกายความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เขาไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างมากก็แค่ค่อยๆ ฝนไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วสักวันก็จะฝนทั่งให้เป็นเข็มได้
อีกอย่างคุณชายน้อยเจียงอย่างเขาหน้าตาโดดเด่น รูปร่างดีเลิศ ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีตรงไหนไม่เลิศเลอสมบูรณ์แบบ
เจียงมู่เฉินรู้สึกมั่นใจในตัวเอง ถึงแม้ไรขนบนตัวเขาจะลุกซู่ เขาก็ยังเยี่ยมยอดอยู่
คิดฟุ้งซ่านมาตลอดทาง จนทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องรับแขก
ข้างในไม่มีคน เจียงมู่เฉินชะงักงันไปครู่หนึ่ง คงจะไม่ใช่ว่ารู้ว่าเขาจะมา ขี้เกียจเจอหน้าเขาเลยหนีกันไปหรอกใช่ไหม
เขาเพิ่งจะคิดเงยหน้ามองซือเหยี่ยน ก็ได้ยินเสียงดังมาจากในห้องครัว
“อันนี้ๆ ปูก็นึ่งแล้ว ปูตามฤดูที่เฉินเฉินชอบกินที่สุด…
…ใช่แล้ว ยังมีกุ้งมังกรนี้อีก คุณมาเลยค่ะ อย่าให้ฉันขายหน้าเด็ดขาด”
เหวินฮุ่ยยืนอยู่ในห้องครัวชี้นิ้วออกคำสั่งคุณพ่อซือให้ทำโน่นทำนี่
คุณพ่อซือผู้สูงส่งขนาดนั้น อยู่ในห้องครัวใส่ผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้เล็กๆ เจียงมู่เฉินเห็นแล้ว หางตาก็กระตุกขึ้นมา
‘ถ้าเขาเดาไม่ผิดคนที่ใส่ผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้เล็กๆ นี้ควรจะเป็นแม่ของซือเหยี่ยนใช่ไหมล่ะ…
…อีกอย่างที่สำคัญคือพวกเขาควรจะคิดหาวิธีกลั่นแกล้งเขาถึงจะถูกต้องไม่ใช่เหรอ ทำไมยังลงมือเข้าครัวด้วยตัวเองนึ่งปูให้เขากินอีก’
เจียงมู่เฉินงุนงงนิดหน่อย รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าประตูอยู่ตั้งนานสองนาน คนที่อยู่ข้างในก็ยังไม่รู้ตัวว่าพวกเขามาแล้ว ในห้องครัวมีเสียงพวกเขาพูดคุยกันดังออกมาอยู่ตลอดเวลา
ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “พ่อครับ แม่ครับ…เฉินเฉินมาแล้วครับ”
เจียงมู่เฉินยืนอยู่ข้างๆ ยามซือเหยี่ยนเอ่ยปากก็เต็มไปด้วยความติดตลก เขาอดจะเงยหน้ามองซือเหยี่ยนไม่ได้ แต่กลับเห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของเขา ดูเหมือนจะอารมณ์ดีมากทีเดียว
ในที่สุดเสียงของซือเหยี่ยนนี้ก็ทำให้คนสองคนในห้องครัวตกใจ เหวินฮุ่ยมีปฏิกิริยาตอบสนองมาก่อน เธอยิ้มทันทีแล้วเดินออกมา
“ทำไมไม่บอกแม่ก่อนล่ะ แม่จะได้ออกไปรับพวกลูกด้วยตัวเอง”
เหวินฮุ่ยเช็ดมือ แล้วส่งมือมาจับมือเจียงมู่เฉินไว้ “เฉินเฉินมาแล้ว น้ากับอากำลังทำอาหารให้เฉินเฉินอยู่เลย”
คุณพ่อซือเองก็เดินออกมาจากห้องครัว ใบหน้าเขาไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมาย แต่ในดวงตาเจือรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด
จุดนี้ซือเหยี่ยนเหมือนพ่อของเขามาก สีหน้าดูเย็นชา ดวงตาคู่นั้นเป็นเอกลักษณ์ที่ข้างในซ่อนรอยยิ้มอยู่
“เฉินเฉินมาแล้ว”
สถานการณ์นี้ไม่เหมือนในจินตนาการโดยสิ้นเชิง เจียงมู่เฉินตื่นตะลึงที่ได้รับอบอุ่นอย่างคาดไม่ถึง
เดิมทียังกังวลว่าพ่อแม่ซือเหยี่ยนจะไม่ต้อนรับ แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่า…จะต้อนรับกันดีอยู่
‘เดี๋ยวนะ…
…พ่อแม่ซือเหยี่ยนคงจะไม่ใช่ว่ายังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซือเหยี่ยนหรอกใช่ไหม’
ตอนที่ 435 ไม่คัดค้านพวกเราเหรอครับ
เจียงมู่เฉินครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “อาซือ น้าเหวิน สวัสดีครับ”
เหวินฮุ่ยอารมณ์ดีมาก ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มราวกับดอกไม้ที่ใกล้จะบานแย้ม เธอกุมมือเจียงมู่เฉินไว้แน่นสนิท พินิจมองดูตั้งแต่หัวจรดเท้า “เฉินเฉินเด็กคนนี้ดูดีจริงๆ ดูดีกว่าซือเหยี่ยนเยอะเลย”
เจียงมู่เฉินยิ้มเลิ่กลั่ก เขาเอียงหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง อยากจะถามซือเหยี่ยนว่าพ่อแม่เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาหรือเปล่า
แต่วันนั้นที่ไปโรงพยาบาลกัน พ่อแม่ซือเหยี่ยนไม่ควรที่จะไม่รู้ได้
ขณะที่เจียงมู่เฉินกำลังคาดเดาอยู่นั้น คุณพ่อซือก็เอื้อมมือมาตบเบาๆ ที่ตัวของเจียงมู่เฉิน “เรื่องของเฉินเฉินกับเสี่ยวเหยี่ยน พวกเราไม่เห็นต่าง วันข้างหน้าถ้าซือเหยี่ยนทำอะไรไม่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องเกรงใจเขานะ”
เจียงมู่เฉินตกใจจนขากรรไกรจะหลุดแล้ว ด่านพ่อแม่ซือเหยี่ยนนี้…ผ่านง่ายขนาดนี้เลยเหรอ
เขาประหลาดใจเล็กน้อย อดจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “อาซือ น้าเหวิน ไม่ได้คิดที่จะคัดค้านพวกเราเหรอครับ”
‘คนธรรมดาทั่วไปควรจะต่อต้านแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมพ่อแม่เขาไม่พูดคัดค้านเลย ยังทำหน้าต้อนรับด้วยไมตรีจิตอีก’
ซือเหยี่ยนเห็นเขายามซื่อบื้อ ก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้
ที่แท้สีหน้าอารมณ์ของเฉินเฉินของเขาควรค่าแก่การเอาเก็บไปขบคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ
“ตั้งแต่เราเล็กๆ น้าแทบอยากจะชิงตัวเราจากแม่เรามาเป็นลูกชายของน้าเองด้วยซ้ำ ตอนนี้เฉินเฉินกับซือเหยี่ยนคบกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นลูกชายน้าอีกคนเหมือนกัน น้าดีใจแทบไม่ทัน แล้วจะคัดค้านได้ยังไงกัน”
มุมปากเจียงมู่เฉินอดจะเชิดขึ้นไม่ได้ จิตใต้สำนึกเขาสั่งให้เขากำมือแน่นโดยไม่ตั้งใจ และเวลานี้เองที่เขาค้นพบว่ายังไม่ได้มอบของขวัญที่ตัวเองเตรียมมาตั้งนานให้พวกท่าน
ต่อหน้าซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินดูเหมือนจะเกร็งๆ อยู่บ้างเล็กน้อย เขายื่นกล่องนั้นออกไป “นี่เป็นของขวัญที่ผมตั้งใจซื้อมาเป็นพิเศษ หวังว่าอาซือกับน้าเหวินจะชอบนะครับ”
เหวินฮุ่ยมีความสุขมาก รีบส่งมือไปรับกล่องนั้นมา “เราจะมาก็มาสิ ไม่ต้องเอาของขวัญมาหรอก”
เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “สมควรเอามาอยู่แล้วครับ”
เหวินฮุ่ยเปิดออกดู ข้างในเป็นกำไลข้อมือหยกเจไดต์สีเขียวมรกต ดูแวบแรกก็รู้ว่าราคาไม่ใช่เบาๆ
คุณพ่อซือเองก็เปิดกล่องออกดู ข้างในเป็นแหวนสวมนิ้วหัวแม่มือที่มีสีเขียวมรกตเช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนมองตากันแวบหนึ่ง “นี่คงจะไม่ถูกหรอกใช่ไหม”
ถึงแม้เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือจะลาวงการไปนาน ทั้งยังส่งมอบบริษัทให้ซือเหยี่ยนไปแล้ว แต่รสนิยมและการเห็นแววที่พึงมีก็ยังอยู่ครบ
ของสองชิ้นนี้ ถ้าราคาไม่แตะถึงล้าน ก็ซื้อมาครอบครองไม่ได้อยู่แล้ว
ซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองเข้าไป กำไลข้อมือกับแหวนวงนี้ต่างก็เป็นของชั้นเลิศทั้งนั้น ราคาต้องสูงลิบลิ่วแน่นอน
เขาคิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินจะแอบไปซื้อของขวัญราคาแพงขนาดนี้มามอบให้พ่อแม่เขา
ในใจก็อ่อนยวบ ถ้าไม่ติดว่าพ่อแม่เขายังอยู่ตรงนี้ เขาคงจะดึงตัวเฉินเฉินมากอดไว้ในอ้อมอกแล้ว
เจียงมู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกอื่นใด ขอเพียงแต่พ่อแม่ซือเหยี่ยนชอบก็โอเคแล้ว
ถึงอย่างไรพวกท่านก็คือพ่อแม่ของคนที่เขาอยากจะอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิตคนนั้น
เขาส่ายหัว “ไม่กี่ตังหรอกครับ ผมไปเห็นเขาพอดี คิดว่ามอบให้อาซือกับน้าเหวินต้องเข้ากันมากแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าอาซือกับน้าเหวินจะชอบหรือเปล่า”
เหวินฮุ่ยกะพริบดวงตาที่เจ็บปวด พลางรีบเอ่ยออกมา “ชอบสิ ชอบสิ น้าชอบจนไม่ไหวแล้ว”
เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้ถึงได้โล่งใจไปที รู้สึกไม่ตื่นตระหนกขนาดนั้นแล้ว
เหวินฮุ่ยถือกล่องใบนั้นด้วยความติดใจจนวางไม่ลง ดูอยู่ตั้งนานสองนานถึงเพิ่งจะมาพูดกับซือเหยี่ยนได้ “ลูกพาเฉินเฉินเดินดูรอบๆ ก่อนนะ แม่กับพ่อลูกจะไปทำอาหารต่อ”
ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ครับ ผมจะพาเขาไปดูรอบๆ”
เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือกลับไปยังห้องครัว ซือเหยี่ยนก็พาเจียงมู่เฉินขึ้นไปชั้นบน
เหวินฮุ่ยมองไปตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉิน แล้วก็มามองกล่องที่อยู่ในมือ พวกเขาใช้ชีวิตมาหลายปี ได้รับของขวัญราคาแพงตั้งมากมาย
แต่ไม่มีของขวัญชิ้นไหนที่จะทำให้เธอมีความสุขเท่าของขวัญชิ้นนี้ของเจียงมู่เฉิน
ทำให้เจียงมู่เฉินตั้งใจไปเลือกของขวัญด้วยตัวเองมาให้พวกเขาได้ ยังไม่ถามอย่างอื่นด้วย ขอเพียงแค่พวกเขาชอบเท่านั้น