ตอนที่ 496 เจอเหยียนอวี้
สองวันติดต่อกัน ไป๋จิ่งรอมั่วไป๋ที่หน้าประตู รอมาสองวันเต็มๆ ก็ไม่เห็นตัวคนสักที
ใบหน้าที่หล่อเหลาของไป๋จิ่งนั้นซีดเซียวเป็นอย่างมาก เพราะตรากตรำมาสองวันนี้
อีกฝั่งหนึ่ง ณ โรงพยาบาล มั่วไป๋จำใจนอนบนเตียงคนไข้ รับการตรวจอาการชุดใหญ่ที่เหยียนอวี้จัดให้
เขาถอนหายใจเงียบๆ “สรุปว่านายจะตรวจฉันอีกนานเท่าไหร่กัน”
เหยียนอวี้มองเขาแวบหนึ่ง “จนกว่ารีดเงินจากกระเป๋านายจนหมด”
มั่วไป๋ถอนหายใจ “พูดจริงๆ ฉันจะเอาเงินให้นาย นายก็อย่าตรวจฉันอีกเลยนะ”
“นายไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ชุบมือเปิบ’ เหรอ” เหยียนอวี้ตรวจเขาไปด้วยพลางเอ่ยไปด้วย “ต่อให้ฉันต้องการจะรีดเงินนายจนหมด ก็ต้องแสดงความเป็นมืออาชีพบ้าง…
…เงินพวกนี้ใช้แล้ว ไม่มีความรู้สึกผิดด้วย”
มั่วไป๋ได้ยินเขาพูดเล่นลิ้นไป ก็ไม่ได้ขัดจังหวะเขา
เหยียนอวี้พูดอยู่ตั้งนานสองนาน มีการหยิบสมุดพกเล็กๆ ขึ้นมาจดสถิติอย่างต่อเนื่อง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยดูแล้วดูอีก ความหนักอึ้งบนใบหน้าก็ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
“ตอนนี้อาการของนายดีขึ้นเรื่อยๆ เลย คาดว่าน่าจะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน ก็จะทำการผ่าตัดได้แล้ว”
มั่วไป๋กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับไปให้เท่าไหร่ เขาพยักหน้ารับด้วยท่าทีเรียบเฉย
เหยียนอวี้เห็นเขามีท่าทีจะเป็นตายร้ายดีตามแต่โชคชะตา ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ฉันว่านายเป็นผู้ป่วย ก็ช่วยทำตัวเหมือนเป็นผู้ป่วยสักเล็กน้อยจะได้ไหม”
มั่วไป๋ก้มหน้าลงมองดูตัวเอง ในมือยังมีสายน้ำเกลือ บนตัวก็ใส่ชุดผู้ป่วยอย่างเรียบร้อย ไม่เหมือนผู้ป่วยตรงไหนเหรอ
“ที่ฉันพูดคือสภาพจิตใจของนาย นายดูนายสิ มีความต้องการอยากจะมีชีวิตสักหน่อยจะได้ไหม”
มั่วไป๋มองเขาอย่างติดตลก “นายมีก็โอเคแล้ว ถ้าฉันมีอีกก็จะระเบิดตู้มแล้วล่ะ”
เหยียนอวี้กุมขมับ รู้สึกว่าตัวเองซวยซ้ำซวยซ้อนมาแปดชาติถึงได้มาเจอคนไข้อย่างมั่วไป๋
“ยังดีที่นายเป็นหมอของฉัน ไม่อย่างนั้น ฉันกลัวว่านายจะโดนด่าปางตายได้…
…เอ่อใช่ รบกวนนายเรื่องหนึ่งสิ ไปคอนโดฉันที ช่วยฉันหยิบมือถือออกมาจากลิ้นชักหน่อย”
หลังจากที่เขากลับมา มือถือก็วางอยู่ตรงนั้นตลอด ตอนออกมาดันลืมหยิบมาด้วย
มือถือเครื่องนั้นเป็นเครื่องที่เขาใช้อยู่ถานโจว เขากลัวเจียงมู่เฉินจะติดต่อเขา
เหยียนอวี้พยักหน้ารับ “ทราบแล้ว เดี๋ยวเลิกงานแล้วฉันจะไป”
……
ตอนเย็นเวลาห้าโมงครึ่ง เหยียนอวี้ออกไปจากโรงพยาบาล ขับรถมุ่งหน้าไปยังคอนโดมิเนียมของมั่วไป๋ ไปหยิบเอามือถือให้เขา
เขาจอดรถที่ใต้ตึก แล้วเดินขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสิบสอง
พอออกมาจากลิฟต์ เหยียนอวี้พบเห็นว่ามีคนคนหนึ่งพิงอยู่ข้างประตูห้องมั่วไป๋อยู่ เขาชะงักงันเล็กน้อย มาหามั่วไป๋เหรอ
ไป๋จิ่งเองก็เห็นเหยียนอวี้แล้ว เห็นเขาเดินมุ่งหน้ามาทางห้องของมั่วไป๋ สีหน้าก็อดจะเคร่งขรึมขึ้นมาไม่ได้
เขายืนตัวตรงเล็กน้อย มองดูเหยียนอวี้เดินมาถึงหน้าประตู
“คุณเป็นเพื่อนของมั่วไป๋เหรอครับ”
เหยียนอวี้รู้สึกว่าแววตาของเขาไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่นัก เสียงต่ำจึงเอ่ยถามขึ้น
สองวันมาแล้ว ในที่สุดก็ได้ยินคำว่า ‘มั่วไป๋’ สองพยางค์นี้ เหยียนอวี้ที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวราวกับฟางข้าวช่วยชีวิตที่โผล่ขึ้นมาต่อหน้าไป๋จิ่งกะทันหัน
“ผมเป็นเพื่อนของเขาครับ” ไป๋จิ่งรีบเอ่ย “คุณรู้ไหมครับว่าเขาอยู่ที่ไหน ผมมาหาเขาสองวันแล้ว ไม่เจอเขาสักที โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้”
เหยียนอวี้ครุ่นคิด สองวัน…นั่นเป็นช่วงที่มั่วไป๋เข้าโรงพยาบาลไปไม่ใช่เหรอ
แล้วยังมานึกถึงเรื่องที่มั่วไป๋ให้เขามาหยิบมือถือ
คิดได้เช่นนี้ เหยียนอวี้ก็เข้าใจได้ในพริบตา อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่มั่วไป๋ไปลืมมือถือ แล้วเพื่อนคนนี้เพิ่งจะมาพอดี ดังนั้นจึงติดต่อเขาไม่ได้
“สองวันก่อนเขาเข้าโรงพยาบาลแล้วครับ ไม่อยู่ที่คอนโด”
พอไป๋จิ่งได้ยินว่าเข้าโรงพยาบาล เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันใด “เขาเป็นอะไรไปเหรอครับ ทำไมถึงต้องเข้าโรงพยาบาล”
นี่โยงไปถึงข้อมูลส่วนตัวของคนไข้แล้ว เหยียนอวี้คิดแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรมากเกินไป
“ไม่มีอะไรหรอกครับ โรคเดิมๆ”
ตอนที่ 497 ไม่กล้าเจอหน้า
“คุณบอกผมได้ไหมครับ เขาอยู่โรงพยาบาลไหน ผมอยากไปเยี่ยมเขา”
เหยียนอวี้เอียงหน้ามองเขา “คุณกับเขามีความสัมพันธ์เป็นอะไรกันเหรอครับ”
คำถามนี้ทำเอาไป๋จิ่งชะงักงันไป เขาลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “เพื่อนกันครับ”
เหยียนอวี้ครุ่นคิด เขารู้จักกับมั่วไป๋มานานขนาดนี้ นอกจากเจียงมู่เฉินแล้ว ก็ไม่เห็นมั่วไป๋จะมีเพื่อนคนไหนอีก
“เพื่อนที่ถานโจว?”
ไป๋จิ่งพยักหน้ารับ “ใช่ครับ”
เหยียนอวี้ค่อนข้างลังเลว่าจะบอกไป๋จิ่งดีไหม แต่ในหัวก็คิดถึงภาพมั่วไป๋นอนโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่บนเตียงผู้ป่วย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงใจอ่อน บอกที่อยู่ของโรงพยาบาลไป
ไป๋จิ่งได้รับที่อยู่ของโรงพยาบาลจากปากของเหยียนอวี้ เขาวิ่งออกไปโดยไม่มีความลังเลใดใดทั้งสิ้น
เหยียนอวี้มองแผ่นหลังที่ตื่นตระหนกของเขาไป พลางถอนหายใจเงียบๆ
การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานใจอยู่แล้ว ถ้าข้างกายไม่มีใครสักคนเคียงข้าง คงจะยิ่งเศร้าเสียใจมากกว่าเดิมได้ใช่ไหมล่ะ
คนคนนี้ดูตื่นตระหนกได้ถึงขนาดนี้ คงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับมั่วไป๋จริงๆ
คิดได้เช่นนี้ เขาก็วางใจแล้ว
เขาหันหลังกลับมายื่นมือไปเปิดประตูบานใหญ่ของห้องมั่วไป๋ ทำตามที่มั่วไป๋บอกจนหามือถือเครื่องนั้นเจอ
เขาก้มหน้าลงมองดูมือถือในมือ ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาว่าตรงไหนผิดปกติแล้ว
เหยียนอวี้กุมขมับ ถึงอย่างไรคนคนนั้นก็ต้องไปโรงพยาบาล รู้แต่แรกจะได้เอามือถือให้คนคนนั้น ให้เขาเอาติดมือเข้าไปด้วย
เหยียนอวี้ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ คงจะไม่ใช่ว่าเพราะอายุเยอะแล้ว สมองถึงตอบสนองไม่ทันหรอกใช่ไหม
ไป๋จิ่งรู้ที่อยู่ของมั่วไป๋แล้ว ก็รีบมุ่งหน้าออกไปไกลแล้ว
เวลานี้ยิ่งไม่เห็นแม้แต่เงาคน
เหยียนอวี้จำใจต้องถือมือถือนำกลับไปส่งให้มั่วไป๋อีกครั้ง
ไป๋จิ่งขับรถด้วยความเร็วมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล เหยียบคันเร่งอย่างหนักหน่วง ทดสอบความเร็วชิดขอบความเร็วจำกัด
ในที่สุดก็เห็นโรงพยาบาลแล้ว หัวใจไป๋จิ่งบีบรัดตัวแน่น จอดรถข้างๆ อย่างลวกๆ เปิดประตูรถลงมาก็พุ่งตัวออกไปทันที แม้แต่ประตูรถก็ไม่ล็อค
เขามุ่งหน้าเดินมาจนถึงหน้าห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋ ก็เห็นเพียงประตูที่ปิดสนิท ใจที่แต่เดิมพุ่งทะยานของไป๋จิ่งกลับไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีความกล้าหาญนั้นอีกแล้ว เมื่อมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ขอเพียงแต่เขาเปิดประตูบานนี้ออกไป ก็จะเห็นมั่วไป๋ได้
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นความกล้าหาญทั้งหมดที่เขามีก็ได้มลายหายไปไม่มีเหลือเลยสักนิด
ทำได้เพียงยืนอย่างโง่ๆ อยู่นอกประตูห้องพักผู้ป่วย ไม่กล้าก้าวเข้าไปสักก้าว
เขายืนอยู่นอกประตู มองผ่านกระจกใสทะลุเข้าไปข้างใน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆ อีกสองสามก้าว มั่วไป๋กำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียง เหมือนจะหลับไปแล้ว
ไป๋จิ่งหัวใจบีบคั้น อดจะกำมือแน่นไม่ได้
เขาบีบนิ้วมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ปลายนิ้วถูกบีบจนขึ้นสีขาว เส้นเลือดใหญ่บนแขนปูดขึ้นจะระเบิดออกมาแล้ว ดูดุดันไม่ธรรมดา
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นขนาดนี้แล้ว ไป๋จิ่งก็ไม่ปล่อยมือ
เขายืนอย่างโง่ๆ อยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยทั้งอย่างนั้น จ้องมองมั่วไป๋อย่างโง่ๆ สายตาทุกองศามารวมจุดศูนย์กลางอยู่ที่ใบหน้าของมั่วไป๋
ราวกับใช้สายตาบรรจงวาดทุกอย่างของมั่วไป๋ลงในสมองอย่างชัดเจน
เวลาผ่านไปนาน เหมือนมั่วไป๋จะนอนหลับไม่ค่อยสนิท เขาขยับตัวเล็กน้อย
หัวใจไป๋จิ่งสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรงกับท่าทางของเขา แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปรั้งเขาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมั่วไป๋ในตอนนี้ ไม่มีสิทธิ์จะกอดมั่วไป๋ไว้แน่นมาตั้งแต่แรกแล้ว
กรรมในตอนนั้นตัวเขาเองที่เป็นคนก่อ ตอนนี้ตัวเขาเองจึงทำได้เพียงลิ้มรส ‘กรรมตามสนอง’ อย่างช้าๆ แล้ว
ไม่รู้ว่ายืนอยู่หน้าประตูไปนานเท่าไหร่ ที่โถงทางเดินมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ไป๋จิ่งเก็บอารมณ์ แล้วรีบเดินไปยังเสาที่อยู่ด้านหลัง ซ่อนตัวเองได้พอดี
คนที่เดินมาก็คือคนคนนั้นที่เพิ่งจะมาปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องของมั่วไป๋
เหยียนอวี้ถือมือถือของมั่วไป๋มาผลักเปิดประตูเดินเข้าไปทันที
เห็นมั่วไป๋กำลังนอนหลับอยู่ เดิมเขาคิดจะวางมือไว้บนโต๊ะข้างๆ แล้วตัวเองจะเดินออกไป
ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้ไปไหน มั่วไป๋ก้ลืมตาขึ้นมา