แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ตอนที่ 504 นายไปเถอะ
เหยียนอวี้คิดถึงตรงนี้ ก็เตรียมจะเดินเข้าไปดู แต่เวลานี้ จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก มั่วไป๋เดินออกมาจากข้างในห้องตรวจ
เหยียนอวี้ชะงักฝีเท้าหันกลับมามองมั่วไป๋ “ตรวจเสร็จแล้ว?”
มั่วไป๋พยักหน้ารับ “อืม”
“นายกลับไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันรอรายงานผลการตรวจก่อน”
มั่วไป๋เห็นแบบนี้ก็เดินกลับไปก่อน
พอเหยียนอวี้เห็นมั่วไป๋เดินออกไปแล้ว เขาก็อดจะกลับไปมองทางเดิมทางนั้นเมื่อครู่นี้ไม่ได้ ตรงนั้นไม่เห็นเงาคนอะไรที่ผิดปกติ เวลานี้ถึงได้เก็บสายตาแล้วเดินเข้าไป
ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าแผนกจ่ายเงิน แกล้งทำเป็นว่าจะจ่ายเงิน เวลานี้เองถึงไม่ได้ถูกเหยียนอวี้จับได้
เห็นเหยียนอวี้เดินเข้าไปแล้ว ไป๋จิ่งก็รีบกลับไปห้องพักผู้ป่วยหามั่วไป๋ทันที
เขารีบเดินไปถึงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋ แอบชะโงกเข้าไปดูสักพัก คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋จะยังไม่กลับมา
ไป๋จิ่งงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง มั่วไป๋ไม่กลับห้องแล้วจะไปไหน หรือว่าลงไปเดินเล่น
คิดได้เช่นนี้ ไป๋จิ่งหันกลับไปเตรียมจะลงไปดูใต้ตึก
แต่พอหันกลับไป ไป๋จิ่งตะลึงค้างในพริบตา
ไม่รู้ว่ามั่วไป๋ยืนอยู่ข้างหลังไป๋จิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาตีสีหน้าเย็นชา ไม่มีอารมณ์อะไรแสดงออกมาทั้งนั้น
“คุณ คุณอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
ไป๋จิ่งเจอมั่วไป๋ที หัวใจก็กระวนกระวายอยู่ไม่น้อย เพียงชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
มั่วไป๋เมื่อเทียบกับไป๋จิ่งแล้ว ดูสงบนิ่งมากกว่าอย่างชัดเจน
เขามองไป๋จิ่งด้วยสายตาเย็นชา ราวกับมองคนแปลกหน้าไม่มีผิด
“นายมาทำอะไรที่นี่”
มั่วไป๋เอ่ยถามเสียงเย็น ความเย็นชาแฝงในน้ำเสียง ไม่มีเจตนาอยากจะต้อนรับอะไร
ไป๋จิ่งรู้ว่ามั่วไป๋ไม่มีทางอยากจะเจอหน้าเขา แต่ถูกมั่วไป๋มองแบบนี้จริงๆ หัวใจไป๋จิ่งก็ทุกข์ทรมานเหลือเกิน
“ผมอยากมาเยี่ยมดูคุณ” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ
“อืม” มั่วไป๋เอ่ยรับเสียงเย็น “ดูเสร็จแล้ว ไปเถอะ”
ไป๋จิ่งกระวนกระวายใจ “ผมอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
มั่วไป๋มองเขาอย่างเย้ยหยัน “ตอนนี้เพิ่งจะอยากมาอยู่กับฉันเหรอ สายไปแล้ว”
มั่วไป๋เห็นใบหน้าของไป๋จิ่ง หน้าตาดูเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน เขากุมขมับไม่อยากจะลงไปยุ่งเกี่ยวกับไป๋จิ่งต่อไปอีกแล้ว
“นายไปเถอะ ที่นี่ไม่ต้องการนาย”
ตีให้ตายไป๋จิ่งก็ไม่มีทางจะไปไหนทั้งนั้น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ให้ได้
ไม่ว่ามั่วไป๋จะให้เขาไปอย่างไร เขาก็ไม่มีทางจะไปไหนทั้งนั้น
ตอนนั้นเขาไม่รู้ ถึงได้ปล่อยให้มั่วไป๋ประสบกับความทุกข์ทรมานมามากมายอยู่คนเดียว ครั้งนี้เขารู้อยู่เต็มอก แล้วจะปล่อยให้มั่วไป๋อยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง
มั่วไป๋เองก็คร้านจะมากความกับเขา มองเขาด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วเบี่ยงตัวเดินเข้าห้องพักผู้ป่วยไป
ยื่นมือไปปิดประตูทันทีหลังจากนั้น กั้นกลางการติดต่อระหว่างคนสองคน
หัวใจไป๋จิ่งโศกเศร้าเสียใจ แต่เพียงไม่นานก็ทำใจพร้อมแล้ว เขาฟื้นคืนความกล้าแต่เดิมกลับมาอีกครั้ง เฝ้าอยู่นอกประตูต่อไป
เหยียนอวี้ถือใบรายงานผลตรวจกลับมา ก็เห็นเสาต้นหนึ่งหน้าประตูห้องมั่วไป๋
เขาเดินเข้าไปดูด้วยความสงสัย ก็พบว่าคนคนนั้นที่ยืนอยู่หน้าประตูคือคนที่เขาเจออยู่หน้าประตูบ้านของมั่วไป๋
“คุณนี่เอง” เหยียนอวี้มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลกๆ “ทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ”
ไป๋จิ่งอยากเข้าไป แต่จะทำอย่างไรได้ เขาจะกล้าเข้าไปที่ไหนกัน
มั่วไป๋ไม่ได้ไล่เขาออกไปจากโรงพยาบาลก็ดีแค่ไหนแล้ว มีหรือจะกล้าได้คืบจะเอาศอก
ไป๋จิ่งไม่พูด เหยียนอวี้ส่ายหัว ในใจคิดว่าคนคนนี้ช่างแปลกเสียจริงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขาเปิดประตูเดินเข้าห้องไป
ณ ห้องพักผู้ป่วย มั่วไป๋นั่งถือดินสอวาดรูปไปมาอยู่บนโซฟา ไม่รู้ว่ากำลังวาดรูปอะไรอยู่
เหยียนอวี้เดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้ “กำลังทำอะไรอยู่”
เขาเพิ่งจะชะโงกหัวดู มั่วไป๋ก็รีบปิดสมุดวาดรูปลงทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ไม่มีอะไร”
ตอนที่ 505 รสชาติแห่งการเผือก
หัวใจขี้สงสัยของเหยียนอวี้ไม่ได้หนักขนาดนี้ จึงไม่ได้ดูอะไรมากมาย
เขานั่งลงข้างๆ มั่วไป๋ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “คนนั้นที่อยู่ข้างนอก นายรู้จักไหม”
มั่วไป๋รู้ว่าเขาหมายถึงใคร ก็เอ่ยออกไปตรงๆ “ไม่รู้จัก”
เหยียนอวี้มองเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ “ไม่รู้จักจริงๆ เหรอ ก่อนหน้านี้ที่ฉันไปบ้านนายก็เจอเขา บอกว่าเป็นเพื่อนนายด้วย”
มือมั่วไป๋ที่จับดินสออยู่แข็งทื่อขึ้นมา เอ่ยอย่างระงับอารมณ์ “อาจจะใครเคยพูดขึ้นมามั้ง ถึงยังไงฉันก็ไม่รู้จัก”
ได้ยินมั่วไป๋พูดอย่างนี้ เหยียนอวี้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คงจะไม่ใช่พวกดรคจิตอะไรหรอกใช่ไหม ยังดีที่ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ถ้าอยู่บ้านก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้”
เหยียนอวี้คิดว่าท่าทางของไป๋จิ่งดูค่อนข้างจะแปลกประหลาดจริงๆ
ก่อนหน้านี้ก็รู้ว่ามั่วไป๋อยู่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้ถึงค่อยมาปรากฏตัว แล้วก็แค่ปรากฏตัวเท่านั้นเอง ยังยืนบื้ออยู่หน้าประตูอีก ไม่รู้ว่าตกลงแล้วเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
‘คงจะไม่ใช่พวกโรคจิตขั้นวิปริตที่สุดหรอกใช่ไหม’
เห็นมั่วไป๋หน้าตาดี ดังนั้นจึงสืบถามติดตามเข้ามา
คิดได้เช่นนี้ เหยียนอวี้ขมวดคิ้วอย่างจริงจัง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เดี๋ยวฉันจะให้รปภ.มาไล่เขาออกไป จะได้ไม่ให้เขาก่อเรื่อง”
มั่วไป๋ได้ยินเรื่องที่จะหารปภ.มาไล่ไป๋จิ่งไป เขาครุ่นคิดพลางเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ต้องสนใจ ปล่อยไป แล้วแต่เขาเอง”
“ไม่ต้องสนใจจริงๆ เหรอ” เหยียนอวี้ยังไม่ค่อยวางใจ ในโรงพยาบาลมีแต่ผู้ป่วย ถ้าทำอันตรายคนขึ้นมาจะยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่
“อืม” มั่วไป๋เอ่ยขานรับด้วยเสียงเรียบๆ “วางใจ เขาจะไม่โรคจิตถึงระดับนั้นหรอก”
เหยียนอวี้เห็นมั่วไป๋พูดอย่างนี้ ถึงได้ยกเลิก ไม่ได้ตามคนมาไล่ไป๋จิ่งไป
แต่ยังคงไม่วางใจเหมือนเดิม พอออกจากห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋มา ยังตั้งใจมองไป๋จิ่งเป็นพิเศษ
ก็ยังรู้สึกว่าไป๋จิ่งคนนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่ดี สุดท้ายคิดไปคิดมาก็ให้รปภ.มาโดยเฉพาะ ให้พวกเขาเฝ้าสังเกตการณ์ไป๋จิ่ง ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้รีบแจ้งเขาทันที
จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ เหยียนอวี้ก็กลับไปห้องทำงานของตัวเอง
เทพอารักษ์ประตูที่อยู่นอกประตูของมั่วไป๋ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าถูกเหยียนอวี้มองเป็นคนโรคจิตโดยไม่คาดคิดไปแล้ว เตรียมการป้องกันเป็นพิเศษด้วย
ถูกมั่วไป๋พบตัวแล้ว ไป๋จิ่งเองก็ไม่ปิดบังตัวเองอีกต่อไป เฝ้ามั่วไป๋อยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยทั้งวัน พร้อมทั้งส่งอาหารสามมื้อต่อวันอย่างตรงเวลาจากข้างนอกเข้ามาด้วย
ถึงแม้ว่ามั่วไป๋จะแสร้งทำเป็นไม่เห็นมาตลอดก็ตาม
ก็เป็นแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างแข็งข้อต่อกันมาหนึ่งสัปดาห์ ระดับความอันตรายของไป๋จิ่งในใจของเหยียนอวี้ก็ลดลงไปแล้ว
ตามที่สังเกตการณ์มาหนึ่งสัปดาห์ ไป๋จิ่งอยู่กับมั่วไป๋ทั้งวัน นอกจากเฝ้าอยู่หน้าประตู ส่งอาหาร ก็ไม่ได้กระทำการอื่นใด
ดูเหมือนจะแปลกประหลาดไม่เบา แต่ก็ไม่ถือว่าโรคจิตอะไรมากมาย
เห็นเขาไม่มีอัตราความอันตรายอะไร ในที่สุดเหยียนอวี้ก็ผ่อนปรนระดับการสังเกตการณ์ไป๋จิ่งลง ปล่อยให้เขาเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องมั่วไป๋
ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร ทำอย่างเดิมคงเส้นคงวาทุกๆ วัน เหยียนอวี้ก็ไม่รู้ว่าเขานอนหรือไม่นอนอะไรอย่างไร
ถึงอย่างไรทุกวันเขาก็เห็นไป๋จิ่งเฝ้าอยู่ตรงนั้น
เหยียนอวี้อดทนมาหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ตอนที่เขาเดินผ่านแถวนั้นก็เดินมุ่งหน้ามาหาไป๋จิ่งจนได้
“พี่ชาย ถามคุณสักคำถามหนึ่งได้ไหมครับ”
ไป๋จิ่งพยักหน้า “ได้ครับ”
“คุณเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งวัน ไม่อาบน้ำกินข้าวอะไรเลยเหรอครับ”
ไป๋จิ่ง “…”
เขาคิดในใจ หมอคนนี้ชอบเผือกขนาดนี้เชียวเหรอ คำถามส่วนตัวแบบนี้ก็ถามมาได้
พอเหยียนอวี้เห็นสีหน้าของเขาแบบนั้น ก็เข้าใจได้ในทันใดว่าคำถามนี้ที่ถามไปเกรงว่าจะไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ
“คุณเป็นเพื่อนกับมั่วไป๋จริงๆ เหรอครับ”
คำถามนี้ ไป๋จิ่งตอบดีขึ้นเยอะ เขาพยักหน้ารับ “ใช่ครับ”
“แต่มั่วไป๋บอกผมแล้วว่าเขาไม่รู้จักคุณ”
นัยน์ตาไป๋จิ่งมืดบอดลงเล็กน้อย ดูเจ็บปวดขมขื่นไม่เบา
“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้จักเขาก็ดีแล้ว”
เหยียนอวี้เห็นท่าทีเขาเป็นแบบนั้น ก็รู้สึกดมได้กลิ่นที่ต้องเผือกทะแม่งๆ