ตอนที่ 578 สมควรได้รับกรรม
เหยียนอวี้รีบเข้าไปผ่าตัด เขาไม่ได้พูดอะไรต่อมากมาย เดินมุ่งหน้าเข้าไปทันที
ไป๋จิ่งมองดูประตูที่ปิดสนิท หัวใจก็บีบคั้นรัดตัวแน่นโดยอัตโนมัติ
……
ขณะที่มั่วไป๋นอนอยู่บนเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นเข้ามาห้องผ่าตัด เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองกลับไปแวบหนึ่ง
นาทีนั้นเขากำลังคิดว่าไป๋จิ่งจะมาปรากฏตัวได้หรือเปล่า
เพียงแต่น่าเสียดายตอนที่เขาหันมองกลับไป เขาก็มองไม่เห็นไป๋จิ่ง
มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะโดยไร้เสียง ก็ใช่สิ ตอนนี้ระหว่างพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ไป๋จิ่งไม่จำเป็นต้องมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
เขาค่อยหันหน้ากลับไปอย่างช้าๆ ปล่อยให้ตัวเองถูกเข็นเข้าไปในห้อง
ที่จริงต่อจากนี้ ขอเพียงแต่มั่วไป๋หันกลับมาอีกครั้ง เขาก็จะเห็นได้ว่าข้างหลังเขามีคนคนหนึ่งเดินตามมาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
เพียงแต่น่าเสียดาย ขณะที่มั่วไป๋ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดมา เขาก็ไม่ได้หันมามองอีกครั้ง
ไป๋จิ่งคนนั้นที่เดินตามหลังมาตลอด มั่วไป๋ไม่ได้มองเห็นเขาเลยด้วยซ้ำ
นาทีนั้นที่กำลังจะหมดสติไป จู่ๆ ใบหน้าไป๋จิ่งก็ฉายสะท้อนขึ้นมาอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋
ที่จริง…ถ้าไป๋จิ่งปรากฏตัว บางทีเขาอาจจะให้อภัยไป๋จิ่งได้โดยข้อแม้ใดๆ
……
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ตำรวจก็ได้รับจดหมายรายงานการกระทำผิดต่อทางการ เนื้อความในจดหมายร้ายแรงอย่างยิ่ง จึงลงมือปฏิบัติการจับกุมตัวคนกลับมาโดยฉับพลัน
ไมเคิลนั่งอยู่ในร้านกาแฟที่อยู่ไม่ห่างไกลนัก เขาเห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง หลังจากนั้นก็โทรหาไป๋จิ่งทันที
“ส่งต่อให้ทางตำรวจจัดการแล้วเรียบร้อย”
“อืม” ไป๋จิ่งขานรับ “ก็ถือว่าเซียวเย่ว์สมควรได้รับกรรมแล้ว”
ไมเคิลเอ่ยถามไป๋จิ่งด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ทำไมถึงล้มเลิกความคิดก่อนหน้านี้ แล้วเลือกวิธีส่งให้ตำรวจจัดการแทน”
ทางปลายสายเงียบงันอยู่นาน เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ “คงจะเพราะวันข้างหน้าจะรู้สึกว่าสบายได้เมื่อยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์มั้ง”
จะสักเท่าไหร่ ไมเคิลก็เข้าได้แล้ว สำหรับการตัดสินใจของไป๋จิ่ง ไมเคิลไม่ได้มีข้อสงสัยอะไรอยากจะซักถามแล้ว
ที่จริงส่งให้ตำรวจจัดการตามกฎหมายเป็นผลลัพธ์การจัดการที่ดีที่สุดแล้ว
“ฉันอาจจะอยากทำเรื่องนึงที่บ้าๆ บอๆ ก็ได้”
ไมเคิลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เรื่องอะไร”
จู่ๆ ไป๋จิ่งก็ยิ้มหัวเราะขึ้นมา “ชิงตัวคน”
……
สามวันต่อมา ณ คฤหาสน์ที่เงียบสงบ
มั่วไป๋นอนอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ เขาเอามือกดขมับที่ค่อนข้างรู้สึกปวดไว้ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
เขามองดูไปรอบๆ ไม่ค่อยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก ที่นี่ที่ไหนกัน ก่อนหน้านี้เขามีชีวิตอยู่ แล้วยังอยู่ในคอนโดมิเนียมของตัวเองไม่ใช่เหรอ
แม้แต่รองเท้า มั่วไป๋ก็ไม่ทันใส่ เดินเท้าเปล่าออกไปทั้งอย่างนี้
ข้างนอกว่างเปล่าและเงียบมาก มั่วไป๋รู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ เขาเดินตามบันไดลงมา
ชั้นล่างมีกลิ่นหอมจางๆ โชยมา มั่วไป๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เดินเข้าไปดูทันที
ในห้องครัวมีเสียงดังสะท้อนขึ้นมา ข้างในมีเงาร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ หลังจากมั่วไป๋เดินเข้าไปได้เห็นเงาร่างคนชัดๆ แล้ว เขาก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหวใดๆ
คนที่อยู่ข้างในก็เห็นมั่วไป๋แล้ว เขาหันมายิ้มเบาๆ ให้มั่วไป๋
มั่วไป๋บีบที่ปลายนิ้วตัวเอง ความเจ็บแปลบที่ปลายนิ้วเตือนมั่วไป๋ให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
เขามองดูประตูห้องครัวที่ถูกดึงเปิดไว้ เอ่ยถามด้วยความตกตะลึงมากทีเดียว “นายอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ไป๋จิ่งมองเขาด้วยความขบขัน “ที่นี่บ้านผม ผมต้องอยู่ที่นี่อยู่แล้ว”
มั่วไป๋ชะงักงัน ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “งั้นแล้วทำไมฉันอยู่ที่นี่”
ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “ที่นี่ก็เป็นบ้านคุณเหมือนกัน”
คำพูดที่ไป๋จิ่งพูดออกมา เขารู้จักทุกคน แต่ทำไมพอเอามาวางอยู่ด้วยกัน เขาถึงฟังไม่เข้าใจเลยสักคำ ที่นี่ก็เป็นบ้านของเขาคืออะไร
เห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไป๋จิ่งก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “ที่นี่เป็นบ้านของพวกเรา”
พูดจบยังกะพริบตาปริบๆ ให้เขาอีก
มั่วไป๋ใช้เวลาสามนาทีในการปรับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้เรียบร้อย เขามองไป๋จิ่งอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ทันทีหลังจากนั้น “นาย…นายทำเหรอ”
ตอนที่ 579 นายข่มขู่ฉัน
ไป๋จิ่งยอมรับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำเอามั่วไป๋โมโหจนสีหน้าเปลี่ยนไปหมดแล้ว
“นายเป็นโรคจิตเหรอ” มั่วไป๋รู้สึกว่าคนคนนี้เพี้ยนแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะฉวยโอกาสกล้าลงมือทำเรื่องแบบนี้ตอนที่เขาไม่รู้ตัว
“ยังมีเหยียนอวี้ด้วยใช่ไหม เขาช่วยนายด้วยใช่ไหม”
มั่วไป๋ใกล้จะระเบิดลงแล้วจริงๆ ตื่นมาในสถานที่แปลกตาไม่พอ ยังได้ยินคำพูดแบบนี้อีก ใครเห็นใครก็ใจเย็นไม่ลงแล้ว
ไป๋จิ่งยืนอยู่ที่เดิมปล่อยให้มั่วไป๋ด่าทอต่อว่า ไม่ว่ามั่วไป๋จะพูดอะไร เขาก็ไม่โต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
มั่วไป๋พูดมาตั้งนาน ไป๋จิ่งไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนต่อยกับปุยฝ้าย ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรสักอย่าง
มั่วไป๋ไม่รู้จริงๆ ไป๋จิ่งหมายความว่ายังไงกันแน่ พวกเขาสองคนจบกันไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ทำเรื่องแบบนี้ จะมีความหมายอะไรอีก
ผ่านไปสักพัก เขาค่อยๆ สงบจิตสงบใจลงอย่างช้าๆ
มั่วไป๋กุมขมับอย่างจนใจ ทำให้ตัวเองใจเย็นลง อย่าเดือดดาลเกินไป
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที มั่วไป๋ถึงได้เอ่ยด้วยใจที่สงบลง “ไป๋จิ่ง นายจะก่อเรื่องไปถึงเมื่อไหร่กัน”
ไป๋จิ่งส่ายหัว “ผมไม่ได้ก่อเรื่อง”
“ระหว่างฉันกับนายไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ตอนนี้นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรอีก”
ไป๋จิ่งส่ายหัวอีกครั้ง “เกี่ยวข้องสิ ไม่มีวันจะไม่เกี่ยวข้องกัน”
มั่วไป๋ปวดหัวจนต้องกุมขมับ “นายไม่ได้โผล่หน้าไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่รบกวนกันเหมือนเมื่อก่อนไม่ดีเหรอ”
เวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ไป๋จิ่งไม่ได้ปรากฏตัวแม้สักครั้ง
เขาเองก็คุ้นชินกับชีวิตที่ไม่มีไป๋จิ่งแล้ว เดิมเขาคิดว่าระหว่างพวกเขาจะไม่รบกวนซึ่งกันและกันต่อไป
‘แต่ตอนนี้หมายความว่าอะไร…
…นี่ไป๋จิ่งกำลังจะทำอะไรอีก’
“คุณจะโทษผมว่าช่วงนี้ผมไม่ได้โผล่หน้าไปเลยใช่ไหม” ไป๋จิ่งไม่ได้พูดอย่างอื่น แต่เอ่ยปากขึ้นมากะทันหัน
มั่วไป๋ชะงักงันไปครู่หนึ่ง แววตาฉายสะท้อนความจนใจ “ฉันไปโทษนายว่าไม่ได้โผล่หน้าไปเมื่อไหร่กัน”
“ผมไม่ได้โผล่หน้าไป ผมมีเหตุผล มั่วไป๋ ผมไม่ได้ตั้งใจจะไม่ไปหาคุณ”
มั่วไป๋ถอนหายใจ “นายโผล่หน้าไปหรือไม่ ปรากฏตัวเมื่อไหร่ สำหรับฉันแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”
ไป๋จิ่งไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับมั่วไป๋อีกต่อไป แต่เดินกลับมายังตำแหน่งเดิมเมื่อครู่นี้
มั่วไป๋เห็นเขาจู่ๆ ก็ไม่พูด จึงเดินเข้าไปหาทันที เขาจำเป็นต้องพูดกับไป๋จิ่งให้ชัดเจน ถ้าไม่อย่างนั้นต่อให้ครั้งนี้เขาออกไปได้ วันหลังไป๋จิ่งก็จะอ้างเหตุผลอื่นมาหาเรื่องเขาอีก
“ไป๋จิ่ง นายฟังฉันชัดไหมว่าเมื่อกี้ฉันพูดอะไร”
ไป๋จิ่งไม่ตอบคำถามของมั่วไป๋ แต่หยิบชามด้านข้างมา แล้วตักของบางอย่างที่อยู่ในหม้อใส่ชามนี้ หลังจากนั้นก็ยกออกมาเสิร์ฟ
เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ มั่วไป๋ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “หิวแล้วใช่ไหม มากินเกี๊ยวน้ำกัน”
มั่วไป๋ตัวแข็งทื่อ ความไม่น่าเชื่อประกายในแววตา
“ฉันไม่กิน” จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาปฏิเสธแล้ว
ไป๋จิ่งเองก็ไม่รีบร้อน เขาเดินมาถึงที่หน้าโต๊ะอาหาร วางชามเกี๊ยวลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นก็ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วหันกลับมามองมั่วไป๋ “กินเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม”
มั่วไป๋หัวใจเกร็งแน่น เขาแอบด่าตัวเองในใจว่าไม่คืบหน้าไปไหนสักที เขาหันหลังไม่มองไป๋จิ่ง
อย่าคิดว่าทำเป็นน่าสงสาร แล้วเขาจะใจอ่อนได้
ไป๋จิ่งเห็นเขาไม่สบอารมณ์แบบนั้น ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “คุณมากิน ผมจะอธิบายให้คุณฟัง เป็นไง”
มั่วไป๋ยืนอยู่ที่เดิม หัวใจบีบคั้น คิดดูแล้วก็ปฏิเสธดีกว่า “ไม่ต้อง นายอธิบายมาเลย พวกเราพูดกันชัดเจนแล้ว ฉันจะไป”
นัยน์ตาไป๋จิ่งประกายความหดหู่ แต่เพียงชั่วขณะเขายิ้มออกมา “กินเสร็จ ผมค่อยพูด”
มั่วไป๋หันมาถลึงตาใส่ไป๋จิ่งทันที “นายขู่ฉันเหรอ”
ไป๋จิ่งฝืนยิ้ม ถึงอย่างไรตอนนี้ในใจของมั่วไป๋ เขาก็ไม่ได้มีภาพลักษณ์อะไรอยู่แล้ว เขาไม่ถือสาที่จะเพิ่มการข่มขู่เข้าไปอีก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองมั่วไป๋แล้วเอ่ยขึ้นว่า “จะกินหรือไม่กิน คุณตัดสินใจเองนะ”