ตอนที่ 568 ไม่มีหน้าจะมองจริงๆ
ฝั่งไมเคิลปฏิบัติการเร็วมาก เร็วมากจนกระทั่งจัดการเรื่องที่ไป๋จิ่งต้องการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ไป๋จิ่งคำนวณดูเวลา แล้วส่งข้อความหาเซียวเย่ว์
เซียวเย่ว์รู้สึกมาเสมอว่าไป๋จิ่งวางตัวกลางๆ กับเธอ ในใจกระวนกระวายอย่างมาก
อยากจะติดต่อไป๋จิ่ง กลับรู้สึกไม่เหมาะสม แต่ก็ร้อนใจไม่เป็นสุขเช่นกัน
ว้าวุ่นใจกันไปกันมา กำลังจะเตรียมเป็นฝ่ายติดต่อไป๋จิ่งไปเอง ใครจะคิดว่าเวลานี้ไป๋จิ่งจะเป็นฝ่ายส่งมาหาเธอ นัดเธอไปเจอพรุ่งนี้
เซียวเย่ว์ยิ้มจนหุบไม่อยู่ คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะเป็นฝ่ายนัดเธอเอง
‘ดีใจเกินไปแล้วจริงๆ’
เซียวเย่ว์ถือมือถือไว้รีบพิมพ์ข้อความตอบกลับว่าโอเคทันที
ไป๋จิ่งเห็นข้อความตอบกลับของเซียวเย่ว์แล้ว แววตาก็จมดิ่ง เขาลบข้อความของเซียวเย่ว์ทันทีหลังจากนั้น ไม่เหลือร่องรอยใดๆ แม้เพียงสักนิด
ถ้าไม่เกิดเหตุสุดวิสัยอะไร เจอกันกับเซียวเย่ว์ครั้งนี้เสร็จ คงจะไม่ต้องออกไปเจอหน้าเธออีกแล้ว
สำหรับไป๋จิ่งแล้ว การเจอหน้าเซียวเย่ว์ไม่น่าดึงดูดใจเท่ากับผมเส้นหนึ่งของมั่วไป๋เลยด้วยซ้ำ
มั่วไป๋ลงไปเดินเล่นข้างล่าง ไม่ให้ไป๋จิ่งตามมา
ภาพวาดในมือเสร็จแล้ว ติดต่อทางนั้นได้พอดี พรุ่งนี้จะส่งภาพให้อีกฝ่ายไป
เขาเอ้อระเหยอยู่ข้างล่างสักพัก แล้วไปห้องทำงานของเหยียนอวี้ บอกกับเขาถึงเรื่องที่จะออกไปข้างนอกพรุ่งนี้
เหยียนอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่ “ให้ไป๋จิ่งไปไม่ได้เหรอ”
มั่วไป๋ส่ายหัว “ให้ฉันไปเองเถอะ อยู่ใกล้ๆ แถวนี้เอง ไม่ได้ไกลเท่าไหร่เลย”
เหยียนอวี้เห็นเขายืนกราน ถึงได้พยักหน้าตอบรับ “ได้ งั้นนายก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน ส่งเสร็จก็กลับมาเลยนะ”
มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่าเหยียนอวี้มองเขาเป็นเด็กสามขวบอย่างไรอย่างนั้น
กลับมาจากห้องทำงานของเหยียนอวี้ มั่วไป๋ผลักเปิดประตูเข้าไปก็เห็นไป๋จิ่งนั่งบนเก้าอี้มองมาที่ประตูตาปริบๆ
‘เฮ้อ…ตอนนี้เปลี่ยนมามองเขาตาปริบๆ แล้ว’
เขามองมั่วไป๋จนมั่วไป๋อดไม่ได้ที่จะลูบจมูกปอยๆ “นายมองฉันแบบนี้ทำไม”
ไป๋จิ่งมองเขาด้วยความน้อยใจ “คุณไม่ให้ผมไปไหนกับคุณแล้ว”
มั่วไป๋ “…”
‘เขาเป็นผู้ชายโตๆ คนหนึ่ง ออกไปเดินเล่นแล้วไง ทำไมยังต้องมีคนไปเป็นเพื่อนด้วย’
“ฉันก็แค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้นเอง” มั่วไป๋เอามือกดที่หัวตัวเองพลางอธิบาย
ไป๋จิ่งทำหน้าน้อยใจ “ก่อนหน้านี้คุณให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณตลอด”
มั่วไป๋รู้สึกว่าสติปัญญาของไป๋จิ่งนับวันยิ่งถดถอย ทำไมยิ่งซื่อบื้อลงเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้น
“คุณยังไม่เชื่อใช่ไหมว่าผมกับเหยียนอวี้เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
มั่วไป๋เลิกคิ้ว ทำไมต้องโยงถึงเหยียนอวี้อีกแล้ว
“เมื่อคืนคุณก็ไม่ให้ผมนอนเตียงเดียวกับคุณ ตอนเช้าก็ไม่พูดกับผม ลงไปเดินเล่นก็ไม่ให้ผมไปด้วย” ไป๋จิ่งเอ่ยฟ้องเน้นคำต่อคำ “ก็คือคุณไม่เชื่อว่าผมกับเหยียนอวี้ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”
มั่วไป๋ทำหน้างุนงง รู้สึกว่า วงจรสมองของไป๋จิ่งไม่ค่อยเหมือนคนปกติใช่ไหม
เขาครุ่นคิดแล้ว เลิกปั่นไป๋จิ่งแล้วจะดีกว่า ถ้าไม่อย่างนั้นตามวงจรสมองของเขา ทั้งวันคงจะไม่เข้าใจได้สักที
ด้วยเหตุนี้ เสียงต่ำของมั่วไป๋จึงเอ่ยอธิบายขึ้น “ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่านายกับเหยียนอวี้เป็นอะไรกัน”
ไป๋จิ่งมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ยังค้างอยู่เช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน
“ฉันรู้ว่านายชอบฉัน ไม่ชอบเหยียนอวี้ โอเคแล้วใช่ไหม” มั่วไป๋ยอมเทหมดหน้าตัก หลับตาเอ่ยตะโกนเสียงดัง
มั่วไป๋ตะโกนเสร็จ เขาก็รู้สึกไม่มีหน้าจะมองแล้วจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าห้องพักผู้ป่วยนี้ไม่มีที่ให้วิ่ง ป่านนี้เขาวิ่งหนีหายไม่เห็นเงาไปแล้ว
ไป๋จิ่งที่เพิ่งจะน้อยใจไป เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ยิ้มแก้มปลิออกมา
เขาหรี่ตาลงมองมั่วไป๋ “แล้วคุณล่ะ คุณยังชอบคนอื่นอยู่ไหม”
มั่วไป๋ “…” พวกเขาถกกันจนถึงประเด็นเมื่อวานได้อย่างไร
“ฉันไปชอบคนอื่นเมื่อไหร่กัน”
ไป๋จิ่งเอ่ยฟ้องอีกครั้ง “เมื่อวานคุณบอกเอง ว่าถ้าหากต่อไปคุณชอบคนอื่นเข้า”
ตอนที่ 569 ไม่เคยชอบคนอื่น
มั่วไป๋ฝืนใจอดกลั้นแรงกระตุ้นการอยากจะมองบนใส่ “เรื่องต่อจากนี้ ใครจะรู้ได้”
“งั้นต่อไปก็มีความเป็นไปได้ที่คุณจะชอบคนอื่นใช่ไหม”
มั่วไป๋ไม่ทนแล้ว มองบนใส่ไป๋จิ่ง “นายรับประกันได้เหรอว่าต่อไปนายจะไม่ชอบใครอีกไปตลอดชีวิต”
ไป๋จิ่งทำหน้าจริงจัง “แน่นอน ต่อไปผมจะไม่ชอบคนอื่นอีกแน่นอน”
มั่วไป๋มองเขา ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก “เรื่องต่อจากนี้ยังอีกไกล ใครจะพูดได้ตรง”
พอไป๋จิ่งได้ยินคำพูดนี้ เขาก็เอ่ยโดยไม่คิดมาก่อนทันที “ไม่มีคนอื่นได้หรอก หลายปีมานี้นอกจากคุณแล้ว ผมก็ไม่เคยชอบคนอื่น”
มั่วไป๋ตะลึงงัน “นายหมายความว่าไง”
ไป๋จิ่งเองก็ตะลึงงัน เขาพูดคำนี้ออกมาได้ยังไงกัน
เขาอยากจะหลบหนีไปในทันใด
มั่วไป๋คว้าไป๋จิ่งไว้แน่น “เมื่อกี้นายหมายความว่าอะไร บอกฉันมาให้ชัดเจนเลยนะ”
ไป๋จิ่งหลบหลีกสายตา ไม่กล้ามองมั่วไป๋ “ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรเหรอ จริงๆ เหรอ” เมื่อครู่นี้เขาได้ยินชัดเจนมาก
“ผมก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง”
มั่วไป๋โมโหแล้ว หัวเราะเยาะเสียงเย็น “อ๋อ แค่พูดไปเรื่อยเองใช่ไหม งั้นนายอยากจะเก็บของแล้วจะไปไหนก็ไปเลยไหม”
ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋หัวเราะเยาะเสียงเย็น เขาก็ชักจะลุกลี้ลุกลนแล้ว เขาครุ่นคิด ถ้าอย่างนั้นก็สารภาพไปเลย ถึงแม้ว่าพูดออกมาแล้วจะดูเลิ่กลั่กไปสักหน่อย
‘แต่ก็ดีกว่าทำให้มั่วไป๋โกรธ’
มั่วไป๋ยืนอยู่ที่เดิม มองเขาด้วยสายตาที่เย็นเฉียบ “จะไปหรือจะพูด”
ไป๋จิ่งต้องไม่อยากไปอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเลือกได้เพียงแค่พูดออกมา
เขามองมั่วไป๋ แววตาประกายคำขอโทษ “พูดสิ พูดตอนนี้เลย”
มั่วไป๋พิงตู้ที่อยู่ข้างๆ มองเขา “พูดสิ ที่ว่าชอบฉันเพียงแค่คนเดียวคืออะไร”
ไป๋จิ่งอ้าปากพูดแต่พูดไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่นัก
เมื่อก่อนเขาตั้งแง่มาตั้งนาน มั่วไป๋มารู้เข้า เสียหน้ามากแค่ไหน
แต่ถ้าไม่พูด มั่วไป๋ต้องไล่เข้าออกไปแน่
เพื่อจะไม่ให้ถูกไล่ ไป๋จิ่งจำใจต้องพูดออกมาอย่างว่าง่าย
“เมื่อก่อนผมไม่เคยชอบคนอื่น ถ้า…ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือคุณ”
“งั้นเมื่อก่อนที่ฉันคอยตามตื้อนาย ทำไมนายถึงไม่รับรักฉัน”
ความลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋จิ่ง แตกต่างกับไป๋จิ่งในยามปกติโดยสิ้นเชิง
มั่วไป๋หรี่ตาลงเล็กน้อย รู้สึกว่าสีหน้าไป๋จิ่งไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “จะพูดไหม”
ไป๋จิ่งว้าวุ่นใจอยู่สักพักถึงได้เอ่ยปากขึ้น “เพราะว่าผมไม่กล้าจะชอบคุณ”
มั่วไป๋ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ทำไม”
ไป๋จิ่งยิ้มอย่างขมขื่น “คงเพราะผมไม่คู่ควรกับคุณมั้ง”
เขาไม่เหมือนกับซือเหยี่ยนหรือว่าเจียงมู่เฉินที่จะมีความหวังกับความรัก พ่อแม่ของเขาไม่ได้รักกัน ดังนั้นตั้งแต่เล็กเขาจึงเติบโตมาในโลกที่ไม่มีความรัก
ดังนั้นตั้งแต่เล็กเขาก็ไม่กล้าจะเชื่อในความรัก
ตอนที่หลินฝานเด็กที่ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ขนาดนั้นมาปรากฏตัวอยู่ในโลกของเขา ไป๋จิ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
เขากลัวตัวเองตกหลุมรักหลินฝาน แต่กลับไม่เข้าใจอะไรคือความรัก แล้วทำร้ายหลินฝาน
มีเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำได้คือการผลักไสหลินฝานออกไปทีละนิดๆ ปิดประตูห้องหัวใจให้แน่นสนิท
ขอเพียงแต่ไม่เปิดประตูห้องหัวใจ ไม่ให้คนเข้ามา ไป๋จิ่งก็ยังจะเป็นเขาไป๋จิ่งคนเดิมอยู่
เพียงแต่ว่าน่าเสียดาย ไป๋จิ่งไม่รู้ว่าประตูห้องหัวใจนั้นปิดไม่อยู่
ต่อให้เขาใช้แรงทั้งกายก็ควบคุมไว้ไม่ได้
ถึงแม้ว่าตัวเองไม่ยอมรับ แต่กลับชอบหลินฝานเข้าจนได้ เพียงแต่ว่ากว่าเขาจะรู้สึกตัว มันก็ได้สายไปเสียแล้ว
เอ่ยถึงเรื่องในอดีตอีกครั้ง ไป๋จิ่งก็รู้สึกว่าตัวเองในตอนนั้นไม่ต่างจากคนโง่เขลาจริงๆ
‘ชอบก็ชอบสิ จะปกปิดไปทำไม’
ถ้าเขาในตอนนั้น เข้าใจในหลักการนี้ได้ เขาก็จะไม่ต้องมาพลัดพรากจากมั่วไป๋ไปนานถึงขนาดนี้ ผ่านชะตากรรมกันมามากมาย
เขาเอามือปิดหน้า เปิดโลกในใจของตัวเองออก ให้ทั่วไป๋เดินเข้าไป ให้มั่วไป๋ได้เห็นว่าที่จริงแล้วไป๋จิ่งคนคนนี้คือคนขี้ขลาดตาขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า