ตอนที่ 9 ไต้ซือกับหมาป่า
จ้าวต้าถงก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่แสร้งทำเป็นใจดีสู้เสือ “สัตว์ป่ากลัวไฟเป็นสัญชาตญาณ ฉันไม่เชื่อว่ามันจะเหนือกว่าสัญชาตญาณ!”
“แต่สัตว์ป่ากินเนื้อเป็นสัญชาตญาณนะ…” หูหานตอบโดยจิตใต้สำนึก
“นายหุบปากเถอะน่า! คิดว่าฉันยังกลัวไม่พอรึไง? ให้ฉันมีเหตุผลเสริมความกล้าหน่อยไม่ได้เรอะ?” จ้าวต้าถงแทบจะร้องไห้ ถึงเขาจะมีร่างกายสูงใหญ่ แต่ในมือมีเพียง ท่อนไม้พังๆ แถมเขายังไม่ใช่อู่ซง[1] ไม่คิดว่าตนจะเอาชนะหมาป่าได้เลย! รั้งเอาไว้ได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
วินาทีที่จ้าวต้าถงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้น หมาป่าเดียวดายพลันเพิ่มความเร็วพุ่งกระโจนเข้ามา!
“ระวัง!” ฟางอวิ๋นจิ้งเตือน หม่าเจวียนกรีดร้อง!
จ้าวต้าถงทุบคบเพลิงไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว! ผลคือตาลาย ช่วงที่หมาป่าเดียวดายจะพุ่งชนเขานั้น มันกลับอ้อมจ้าวต้าถงกระโจนไปหาฟางอวิ๋นจิ้งกับหม่าเจวียน! หม่าเจวียนไปหลบอยู่ข้างหลังฟางอวิ๋นจิ้ง ส่วนฟางอวิ๋นจิ้งตกใจจนหน้าขาวซีด ลืมหลบไปแล้ว เห็นหมาป่าตรงหน้าพุ่งเข้ามา เธอจึงหลับตาคิดในใจ ‘หลับตาให้แน่นไว้ ไม่น่าจะเจ็บอะไร…’
แต่ว่า…
ในจินตนาการกลับไม่ได้ถูกกัด แต่มีความรู้สึกว่ามีวัตถุหายใจตรงคอหอย ชื้นๆ และยังมีกลิ่นเหม็นคาวจนเธออยากจะอาเจียน
ตอนนี้เองบทสวดนุ่มนวลดังขึ้น “อมิตพุทธ เดรัจฉาน กล้าทำร้ายคนหน้าประตูวัดแบบนี้ไม่กลัวตายไปแล้วถูกไต้ซือพิชิตมังกรโยนไปในหม้อทำสุกี้เนื้อสุนัขรึ?”
คำสวดอมิตพุทธก่อนหน้าทำให้คนฟังรู้สึกสบายอย่างยิ่ง จิตใจสงบสุข ไม่มีความกลัวใดๆ แต่คำพูดต่อมากลับเปลี่ยนรสชาติไป ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนคำพูดของนักบวชจริงๆ
ฟางอวิ๋นจิ้งลืมตามองโดยจิตใต้สำนึก เห็นหมาป่าหัวเหมือนลูกวัวถูกจับไว้ ตรงกระดูกสันหลัง หิ้วอยู่กลางอากาศ ปากยาวแทบจะงับคอเธออยู่แล้ว! นี่คือ หมาป่าเดียวดายที่จะกระโจนเข้ามาปลิดชีพเธอ!
แต่คนที่จับหมาป่าตัวนี้ไว้คือ เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนีฟางเจิ้ง! ฟางเจิ้งวัยหนุ่มที่ ดูแล้วผิวขาวเนียนและสุภาพบอบบาง!
หมาป่าดุร้ายตัวนี้ถูกชายหนุ่มสุภาพบอบบางหิ้วไว้ในมือ ภาพนี้เดิมทีควรจะ ไม่เข้ากันมากถึงจะถูก แต่ภาพตรงหน้านอกจากจะเข้ากันดีแล้ว ยังดูเป็นธรรมชาติมาก และก็งดงามมาก ไม่ผิด งดงาม!
ข้างหลังเป็นผืนฟ้า กลางนภามีดวงจันทร์ แสงจันทร์ แสงดาวคลุมร่างนักบวชประหนึ่งอาบน้ำอยู่กลางแสงแห่งพุทธะ ศักดิ์สิทธิ์ น่าเกรงขาม เคร่งขรึมและเงียบ หมาป่าตัวนั้นยิ่งดุร้ายมากเท่าไร ก็ยิ่งเสริมให้เอกลักษณ์ของนักบวชไม่ธรรมดา
ฟางเจิ้งไม่ได้คิดมากขนาดนั้น หมาป่าในมือก็คิดไม่ซื่อ พยายามบิดตัวหันหัวมา แว้งกัดเขา เขาจึงยกมือซ้ายตบไปหนึ่งที!
ป๊าบ!
เขาตบปากใหญ่ของมันจนคำรามกรอดๆ มีเลือดไหลตรงมุมปาก!
ฟางเจิ้งกล่าวไปอีกว่า “เดรัจฉาน ยังกล้าใช้อุบายอีกเรอะ”
พูดจบยังไม่ทันที่หมาป่าจะโต้ตอบ เขาก็ตบมันที่บ้องหูไปอีกสามที! ฟางเจิ้งที่ฝึกวิชาหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์มาแล้วมีพลังสูงมาก ตบจนหน้าหมาป่าเดียวดายบวมจน คล้ายหัวหมู
“เอ๋ง เอ๋ง…” หมาป่าเดียวดายร้องหลังถูกทุบตี หมาป่าหิวโหยที่เพิ่งจะดุร้าย พอเผชิญหน้ากับหลวงจีนหัวโล้นฟางเจิ้งกลับดูหวาดกลัว
มันฟังคำพูดฟางเจิ้งเข้าใจ ดังนั้นจึงเห่าเป็นการอ้อนวอน
ฟางเจิ้งก็เข้าใจเช่นกัน หมาป่าเดียวดายตัวนี้หิวโซ ด้วยความที่ไม่มีทางเลือกจึงลงมือกับคนข้างกองไฟเหล่านี้ ถ้าไม่อย่างนั้นหากเป็นสถานการณ์ปกติมันคงไม่เข้าใกล้ไฟ
“ช่างเถอะ เห็นแก่ที่นายทำผิดครั้งแรก และก็ไม่ได้ทำร้ายใครถึงชีวิต อาตมาเป็นคนที่มีคุณธรรมเหลือล้น จากนี้ไปก็อยู่ฝึกที่วัดเอกดรรชนีแล้วกัน หากฝึกสำเร็จ นายจะ หลุดพ้นจากกายทั่วไป สำเร็จสภาวะจิตหลุดพ้น” ฟางเจิ้งวางมาดขรึมพูดขึ้น เพียงแต่ว่าเขาเองยังไม่เชื่อคำพูดนี้มากนัก ถึงระบบจะมหัศจรรย์ แต่บนโลกนี้มีพระพุทธองค์อยู่จริงหรือ? จะสำเร็จพระธรรมได้จริงๆ หรือ? เขาเองจะสำเร็จได้หรือไม่ยังไม่รู้เลย แล้วจะรับประกันได้ยังไงว่าหมาป่าจะสำเร็จ?
พูดจบฟางเจิ้งก็โยนหมาป่าลงพื้น
ทำเอาฟางอวิ๋นจิ้ง หม่าเจวียน หูหานและจ้าวต้าถงตกใจจนรีบไปหลบอยู่ข้างหลัง
ฟางอวิ๋นจิ้งเตือน “ไต้ซือระวัง!”
หม่าเจวียนพูดเสริมเช่นกัน “ไต้ซือ ทำไมถึงปล่อยมันแบบนี้ล่ะ? นี่มันหมาป่านะ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรอก!”
หูหานกับจ้าวต้าถงพยักหน้า สื่อว่าเห็นด้วยกับหม่าเจวียน
ฟางเจิ้งประนมสองมือไปทางสามคนนี้พลางท่องบทสวด “อมิตพุทธ พวกโยม ไม่ต้องกังวล หมาป่าตัวนี้มีสติปัญญา ในเมื่ออาตมาปล่อยเขาแล้ว เขาย่อมรู้ดีชั่ว” พูดจบก็ไม่สนว่าคนเหล่านี้จะเชื่อหรือไม่ แต่หมุนตัวกลับมาต่อว่าหมาป่าเดียวดาย “มารผจญ ยังไม่คุกเข่าขอโทษพวกโยมเขาอีก?”
พวกเขาเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อย ในใจหมดคำจะพูดแล้ว
หูหานพึมพำ “หมาป่าฟังภาษาคนรู้เรื่องจริงๆ เหรอ? หากใช่ ฉันจะคุกเข่าใต้ภูเขา…”
เพิ่งพูดก็เห็นหมาป่าตัวนั้นขาอ่อนลง คุกเข่าลงจริงๆ ทั้งยังพยักหน้าให้พวกเขาเล็กน้อย ราวกับกำลังคุกเข่ากราบ
เห็นดังนั้น สี่คนต่างมองหน้ากันราวกับเห็นผี แววตาที่มองฟางเจิ้งมีความเกรงขามและเคารพมากกว่าเดิม สี่คนนี้ยังประนมสองมือกันอย่างไม่นัดหมายแสดงความเคารพฟางเจิ้ง “ไต้ซือเก่งกาจจริงๆ! ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยพวกเราเอาไว้!”
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะเล็กน้อยพลางว่า “อมิตพุทธ ช่วยหนึ่งชีวิตมีค่ามากกว่าสร้าง เจดีย์เจ็ดชั้น นี่เป็นสิ่งที่อาตมาควรทำ พวกโยม หมาป่าตัวนี้หิวโซเลยทำร้ายพวกโยม ถ้ามีอาหารก็แบ่งให้มันได้ไหม?”
ฟางเจิ้งไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ลำพังอาหารของตนก็มีไม่มาก จะให้เลี้ยงหมาป่าตัวนี้ เดาว่าพรุ่งนี้เขาคงไม่มีกิน ดังนั้นเลยโยนให้กับสี่คนนี้เสียเลย
หลังเห็นถึงความมหัศจรรย์ของฟางเจิ้ง สี่คนนี้ยอมต่อฟางเจิ้งตั้งนานแล้ว เคารพดั่งพระเจ้า
จ้าวต้าถงรีบกล่าวขึ้น “ไต้ซือ ในเมื่อท่านว่าอย่างนั้น ผมจ้าวต้าถงยอมหิวเพื่อให้มันกินได้ครับ”
กล่าวจบ จ้าวต้าถงรีบเอาเนื้อแห้ง ขนมปังกรอบ ไส้กรอกในกระเป๋าหลังออกมา แล้วแบ่งห่อรวมโยนให้หมาป่า
หมาป่าเงยหน้ามองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งลูบหัวมัน “ยังไม่ขอบคุณพวกโยมเขาอีก?”
หมาป่าก้มกราบอีกครั้ง
มันกราบต่อเนื่องกันแบบนี้ทำให้จ้าวต้าถงรู้สึกเขินอาย หม่าเจวียน หูหานและฟางอวิ๋นจิ้งจึงหยิบอาหารมาแบ่งให้หมาป่าเล็กน้อย หมาป่าขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นมองฟางเจิ้ง
“กินเถอะ คืนนี้นายคอยระวังความปลอดภัยให้พวกโยมเขาข้างนอก พรุ่งนี้ถึงเปิดประตูวัด นายค่อยเข้ามาไหว้พระ” ฟางเจิ้งเหมือนพูดกับคน อีกทั้งหมาป่ายังพยักหน้าเข้าใจราวกับคนอีก จากนั้นก็นอนหมอบกินอาหาร เห็นได้ว่าหิวจริงๆ
“ไต้ซือ เอ่อ จริงๆ แล้วไม่ต้องรบกวนพี่หมาป่าให้มาดูแลความปลอดภัยของเราหรอก” จ้าวต้าถงกลัวหมาป่าตรงหน้าจริงๆ หมาป่าก็คือ หมาป่า ไม่ว่าจะแสดงออกว่าโอนอ่อนเพียงไหน ด้วยนิสัยบ้าระห่ำของมัน ไม่ว่าทำอะไรก็ทำให้เขากลัวจนขนลุก
หูหานก็พูดเสริมด้วยเช่นกัน “ใช่ ไต้ซือ ไม่ต้องรบกวนพี่หมาป่าหรอกครับ”
[1] อู่ซง หรือในสำเนียงแต้จิ๋ว บู๊สง เป็นตัวละครในเรื่องซ้องกั๋ง เป็นโจรที่มีบทบาทสำคัญมาก วันหนึ่งอู่ซงจะผ่านเนินจิ่งหยางกัง ก่อนเดินทางก็พบว่ามีประกาศเสือร้ายมาอาละวาดกินคนในเนินจิ่งหยาง อู่ซงเข้าร้านเหล้าดื่มจนเมามาย และจะขึ้นเนินโดยไม่ฟังคำตักเตือนของเจ้าของร้าน ด้วยฤทธิ์เหล้าก็ไปเมาหลับอยู่กลางป่า แต่แล้วก็ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงเสือ อู่ซงตกใจมากแต่เขาไม่หนี พยายามต่อสู้กับเสือ จนสามารถจับเสือกดคอ แล้วทุบกะโหลกจนตาย นับแต่นั้นชื่อเสียงของอู่ซงก็โด่งดังด้วยฉายา “อู่ซงตีเสือ”