ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption – ตอนที่ 20

ตอนที่ 20

“เห็นแต่อาจารย์สะบัดแขนเสื้อ พวกเจ้ารู้ไหมแปลว่าอย่างไร ที่แท้อาจารย์ปล่อยวิหคเทพหงหล่วนตัวนั้นออกมา!” กล่าวจังหวะช้าบ้างเร็วบ้าง “วิหคเทพหงหล่วนราวกับส่องแสงสีแดงวาบ ฟุ่บเข้าใส่อินทรีกู่เตียวตัวนั้น! ปะทะกันสองสามระลอก แสงสีแดงทั่วฟ้า เห็นนกเฒ่านั่นขนร่วงราวกับฝนตก…”

จงหมิ่นเหยียนเล่าน้ำลายท่วม ช่างราวกับนักเล่านิทาน เขาแต่ไรฝีปากดี ไม่เพียงหลิงหลงฟังแล้วเคลิบเคลิ้มตามไป แม้แต่ตู้หมิ่นหังเองก็ฟังออกรสออกชาติ เสวียนจีพยักหน้าไม่หยุด ราวกับนางได้เห็นฉากนี้ด้วยตนเอง

มีเพียงอวี่ซือเฟิ่งข้างๆ ราดน้ำเย็นใส่อย่างไม่เร่งไม่ร้อน “ขนวิหคเทพหงหล่วน ร่วงยิ่งมาก และต่อมา มันถูก สุนัขฟ้า ตะปบ บาดเจ็บแล้ว”

“ข้ากำลังจะเล่า!” จงหมิ่นเหยียนจ้องตาเขา ไม่พอใจพฤติกรรมที่เขาคอยขัดคอ “ต่อมา…วิหคเทพหงหล่วนบำเพ็ญเพียรไม่พอ ถูกสุนัขฟ้ากัด แต่อาจารย์กับอาจารย์อารีบลงมือ! เห็นเพียงกระบี่นับพันหมื่นสาดแสง ราวกับงูสีเงินนับพันหมื่นตัว พุ่งสกัดจุดสำคัญของเจ้านกเฒ่าพร้อมกัน…”

“เป็นสุนัขฟ้า และ ไม่ใช่แสงกระบี่ เป็นซอสเปรี้ยว” อวี่ซือเฟิ่งเตือนเขาด้วยความหวังดี

จงหมิ่นเหยียนถลึงตาใส่เขาอีก “เป็นไหซอสเปรี้ยว! เป็นเพียงไหซอสเปรี้ยวสาดหัวสุนัขฟ้า!”

“สองขวดเท่านั้น”

จงหมิ่นเหยียนผุดลุกขึ้น “นี่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร! ไม่ใช่ว่าคอยขัดข้าหรือนี่!”

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าเพียงแต่กล่าวตามจริง”

“เจ้า…” จงหมิ่นเหยียนอยากจะลงมือใส่เขา

“โอย เอาละ เอาละ!” หลิงหลงรอจนร้อนใจ โบกมือพลัน “ซือเฟิ่ง อย่าพูดมาก! ให้เจ้าหกเล่า! ข้าอยากรู้พวกท่านพ่อต่อมากำราบอินทรีกู่เตียวตัวนั้นอย่างไร ไม่เห็นพวกเขานำกลับมา!”

จงหมิ่นเหยียนเท้าเอวหัวเราะดัง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เจ้านับว่าถามถูกคนแล้ว! พวกเขาไม่เห็น มีเพียงข้าเห็น!”

“เช่นนั้นรีบเล่ามา!”

จงหมิ่นเหยียนกระแอมไอในลำคอ ดื่มชาไปอึกหนึ่ง จึงกล่าวว่า “อินทรีกู่เตียวนั่นถูกพวกอาจารย์ทำบาดเจ็บหนัก หนีเข้าถ้ำ โอย อันตรายมาก! เจ้าว่าโหดร้ายไหม เพราะพวกเราหลายคนอยู่ในถ้ำ! เห็นเจ้านกเฒ่าบินเข้ามา ข้ารีบแบกเสวียนจีขึ้นหลัง นำซือเฟิ่งก้มหน้าก้มตาวิ่งเข้าไป!”

“เป็นข้า แบกเสวียนจี เจ้าอึ้งอยู่”

ไม่สนใจเขา ไม่สนใจเขา!

เขากล่าวต่อว่า “ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเราวิ่งอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเจ้านกเฒ่า เห็นกรงเล็บเหล็กมันจิกลงมา ข้าตอนนั้นรีบพาเสวียนจีเข้าไปไว้ในทางแยก หันกลับมาใช้กระบวนกระบี่อินทรีทองสยายปีก กระบี่ตัดกรงเล็บเหล็กนกเฒ่าขาด…”

“คนตัด กรงเล็บ คือข้า เจ้าเกือบ ถูกมันทำตาย”

“เจ้านกเฒ่าส่งเสียงร้อง กรงเล็บขาด กระบี่ข้าหัก ไม่มีอาวุธ ข้าเห็นท่าไม่ดี รีบพาซือเฟิ่งที่บาดเจ็บหลบเข้าไปในทางแยก เสวียนจีใช้ไม่ได้ที่สุด ยามสำคัญก็เริ่มเป็นไข้ล้มป่วย ทำเอาพวกเราตกใจแทบตาย! ดีที่ต่อมา…!”

เขาพลันสะอึก ตอนกำลังสนุกกลับหยุดลง

“ต่อมาเป็นอย่างไร เจ้าว่ามา!” หลิงหลงร้อนใจใกล้ระเบิด เห็นจงหมิ่นเหยียนยังนิ่งอึ้ง อดไม่ได้ถามอวี่ซือเฟิ่ง “ต่อมาเกิดอันใดขึ้นกันแน่”

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ข้า สลบไป”

เขามองไปทางจงหมิ่นเหยียน ก็อยากรู้ว่าต่อมาแท้จริงเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดอินทรีกู่เตียวหายสาบสูญไป พวกเขากลับไม่เป็นอันใด

จงหมิ่นเหยียนกัดริมฝีปาก อึ้งเป็นนาน จิตใจสับสนมองไปทางเสวียนจี นางราวกับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย กำลังรอคำตอบอย่างตื่นเต้นเช่นกัน

เขาสะดุ้งในใจ จะเล่าอย่างไร เป็นนางสังหารอินทรีกู่เตียว…ไม่สิ กินมัน! ดังนั้นนางจึงหายดีขึ้นเร็วเช่นนี้ นอนหลับไปหลายวันเช่นนั้น…เขาไม่มีวันลืมรอยยิ้มพึงใจเช่นนั้นของนางในตอนนั้นตลอดไป มันน่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้ายหมื่นครั้งเสียอีก

“ต่อมา…ต่อมาข้าสลบไป” เขากล่าวติดๆ ขัดๆ “ดังนั้นข้าเองก็ไม่รู้เกิดเหตุใด น่าจะอาจารย์มาถึงกำจัดมันกระมัง…ข้าตื่นมา ก็มาอยู่โรงเตี๊ยมแล้ว”

“เชอะ”

ทุกคนส่งเสียงแค่นไม่พอใจ

จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “นี่ ไม่เห็นไม่ผิดเสียหน่อย! หากข้ามีความสามารถเหมือนอาจารย์แน่นอนว่าต้องอยู่ดูถึงตอนท้ายสุด!”

หลิงหลงเบ้หน้าตัวเองใส่เขา “หน้าไม่อาย! ก่อนหน้าขี้โม้! ไม่เห็นก็บอกไม่เห็นสิ!”

“ข้า…!” ตอนแรกเขาคิดแย้ง แต่พลันหดตัวกลับ เม้มปากแน่นไม่กล่าวอันใด

ทุกคนคุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกครู่หนึ่ง เห็นฟ้าเริ่มมืดแล้ว ตู้หมิ่นหังกล่าวว่า “ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว พวกเจ้าไปศาลาดอกเหมยหลังเขาด้วยกัน เมื่อครู่อาจารย์หญิงว่าเย็นนี้จะกินอาหารด้วยกันที่นั่น”

กล่าวจบเขาก็มองอวี่ซือเฟิ่งยิ้มอีกว่า “ซือเฟิ่งไปด้วยกัน ตำหนักหลีเจ๋อยังไม่ส่งใครมา คิดว่าพรุ่งนี้ถึงจะถึง”

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งไป ที่แท้พวกอาจารย์ยังไม่มา! เขาพลันถอนหายใจโล่งอกพยักหน้า

หลิงหลงดึงผมจงหมิ่นเหยียน ส่งเสียงดัง “เจ้าหก เจ้าเดาว่าเย็นนี้ท่านแม่เข้าครัวทำอะไรอร่อยให้พวกเจ้ากัน?”

จงหมิ่นเหยียนอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ทำใจทำหลิงหลงผิดหวังไม่ได้ ฝืนยิ้มเดาว่า “เป็นเป็ดแปดล้ำค่า? หรือว่าปลาหยกมรกต? อืม คงไม่ใช่เนื้อวัวห้าสีกระมัง”

หลิงหลงยิ้มส่ายหน้าติดๆ กัน ให้เขาเดาใหม่

เสวียนจีหัวไวคิดได้ “ใช่ไก่ผัดถั่วเถาเหริ่นหรือไม่?”

นางจำได้ เมื่อก่อนตอนกินข้าวด้วยกัน ตนกับจงหมิ่นเหยียนล้วนชอบกินอาหารจานนี้ มักจะกินหมดในไม่กี่คำ ท่านแม่รู้ความชอบพวกเขา ต้องให้ห้องครัวทำแน่

หลิงหลงเหลือบมองเปียเล็กของนาง “เจ้าฉลาดจริง เหตุใดเจ้าเดาได้! แต่วันนี้ท่านแม่ลงมือทำอาหารเองเลยนะ หึๆ หากมีเหลือ พวกเจ้ารู้…”

นางจ้องมองอวี่ซือเฟิ่ง มักรู้สึกว่าผู้กล่าววาจาจงหยวนไม่ชัดผู้นี้มักชอบขัดคอผู้อื่น

อวี่ซือเฟิ่งเพียงแค่ก้มหน้าลูบจมูก บอกกับตนเองว่าบุรุษไม่พึงโต้สตรี

ตอนที่ทุกคนเดินทางไปยังศาลาดอกเหมยหลังเขา ตามทางยังได้พบบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้อง ร่วมพูดคุยเฮฮาเรื่องจับปีศาจ แต่ละคนอิจฉาจงหมิ่นเหยียนที่ได้สิทธิพิเศษนี้ไป

การคุยเล่นกันเช่นนี้ ทำให้อารมณ์จงหมิ่นเหยียนดีขึ้นในที่สุด ไม่นานก็เริ่มเป็นราวกับนักเล่านิทานอีกครั้ง

เล่ากันมาจนถึงลานหน้าศาลาดอกเหมย เสวียนจีรอแทบไม่ไหว ผลักประตูวิ่งเข้าไป เห็นเหอตันผิงนั่งอยู่บนเก้าอี้รอพวกเขาด้วยท่าทางร้อนใจ

นางตะโกนดัง “ท่านแม่!”

ตามมาด้วยโผเข้าหาอ้อมกอดนาง นานกว่าจะยอมปล่อยมือ

อย่างไรที่บ้านก็ดีที่สุด

นางแอบอุทานในใจ

เหอตันผิงเห็นบุตรสาวไม่เป็นไรก็มีสีหน้ายินดีแล้ว ดึงนางออกมาจากอ้อมกอด เพ่งมองอย่างละเอียดหัวจรดเท้า พลางกล่าวอ่อนโยนว่า “ตอนเช้ามัวแต่พูดกับท่านพ่อเจ้าอยู่ ยังกลับมาไม่ได้ ตกเย็นจึงได้กลับมา ได้ยินว่าเจ้าล้มป่วย ตอนนี้ดีขึ้นแล้วยัง?”

เสวียนจีพยักหน้าแรง “หายดีนานแล้ว ท่านอาหงบอกว่าข้าหลับไปสามวัน แต่ข้าไม่รู้สึกอันใดเลย”

เหอตันผิงลูบศีรษะนาง อุทานเบาๆ “เจ้าเด็กนี่เอาแต่ทำให้คนเป็นห่วง”

“ข้าไม่ใช่ไม่เป็นไรแล้วหรือ” นางเผยรอยยิ้มบางพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ รีบหันไปดึงจงหมิ่นเหยียนกับอวี่ซือเฟิ่งมา

“ท่านแม่ ตลอดทางมาดีที่มีศิษย์พี่หกและซือเฟิ่งดูแลข้า ซือเฟิ่งคือคนตำหนักหลีเจ๋อ รู้อะไรมากมาย ข้าเลื่อมใสเขามาก”

นางชมอวี่ซือเฟิ่งจนหน้าแดงใกล้ระเบิดแล้ว ได้แต่รู้สึกอายและขัดเขินคารวะเหอตันผิง “คารวะ ฮูหยิน เจ้าสำนัก”

เหอตันผิงมองเขาอย่างเอ็นดู กล่าวอ่อนโยนว่า “อย่าได้เกรงใจ ขอบคุณเจ้าที่ดูแลเสวียนจีตลอดทาง มา มานั่งนี่ ซือเฟิ่ง เจ้าเหมือนครอบครัวเรา ไม่ต้องระวังกิริยา”

จงหมิ่นเหยียนเบ้ปาก “เขาไม่ได้ระวังกิริยาหรอก เอาแต่ขัดคนอื่นตลอด”

อวี่ซือเฟิ่งถลึงตาจ้องเขา

เหอตันผิงอมยิ้มมองจงหมิ่นเหยียนกล่าวเบาๆ ว่า “หมิ่นเหยียนเติบโตขึ้นมาก ไม่เป็นเด็กน้อยเหมือนเมื่อก่อนนั้นแล้ว ดูท่าจับปีศาจครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก หนุ่มสาวควรออกไปหาประสบการณ์ให้มากจึงจะดี”

นางกำลังพร่ำบ่นกับศิษย์อยู่ทางนี้ อีกทางหลิงหลงรอไม่ไหวแล้ว บ่นติดๆ กัน “ท่านแม่อย่าได้กล่าวอันใดอีกเลย! รีบยกอาหารขึ้นโต๊ะเถอะ! พวกเราหิวจะตายแล้ว!”

วันนี้บุตรสาวที่รักกลับมาปลอดภัย เหอตันผิงอารมณ์ดีมาก ถึงกับเข้าครัวผัดอาหารสองสามอย่างเพิ่ม กินกันจนทุกคนแทบเคี้ยวต่อไม่ไหว

อวี่ซือเฟิ่งที่ก่อนหน้าถูกหลิงหลงสงสัยว่าจะขัดคอ ก็กินมากยิ่งกว่าคนอื่น กินจนอิ่มแปล้

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

Status: Ongoing

ฉู่เสวียนจี คือบุตรีคนรองของเจ้าสำนักเส้าหยาง นางเคราะห์ร้ายเกิดมาบกพร่องสัมผัสทั้งหก อีกทั้งยังมีนิสัยเกียจคร้านไม่สนใจฝึกวิชา แม้แต่ตั้งท่าต่อสู้อย่างศิษย์คนอื่นยังทำไม่ได้ 

กระนั้นสวรรค์ก็มิได้ปรานี เมื่องานชุมนุมปักบุปผาอันเป็นงานประลองยุทธ์ระหว่างห้าสำนักใกล้เข้ามา เสวียนจีโชคไม่ดีต้องรับหน้าที่เป็นหนึ่งในตัวแทนเข้าร่วมภารกิจ ‘เด็ดบุปผา’ และลงเขาไปจับมารปีศาจกลับมายังสำนัก 

ด้วยเหตุนี้นางจึงได้พบกับ อวี่ซือเฟิ่ง ศิษย์เอกมากฝีมือแห่งตำหนักหลีเจ๋อกงผู้สวมหน้ากากตลอดเวลา เขาคอยช่วยเหลือนางจากปีศาจจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และในยามคับขันนั้นเอง เสวียนจีก็เปล่งพลังสีเงินออกมาสังหารศัตรูโดยไม่รู้ตัว ช่วยให้พวกเขารอดพ้นภัยได้ในที่สุด  

ในเวลานั้นเด็กน้อยทั้งสองเพียงแต่ดีใจที่เอาชีวิตรอดจากปีศาจได้ ไม่รับรู้เลยว่าแท้จริงแล้วพลังประหลาดนี้ซุกซ่อนปริศนาที่พันผูกดวงชะตาของคนทั้งคู่มาตั้งแต่อดีตกาลยาวนานนับสิบชาติภพเอาไว้… 

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท