ชายชุดครามผู้นั้นยังไม่ได้เอ่ยขึ้น ชายชุดครามรูปร่างเล็กผอมเล็กน้อยด้านหลังอีกคนหนึ่งพลันก้าวขึ้นหน้ามาสองก้าว ชี้หน้าอวี่ซือเฟิ่ง ตวาดดุดันว่า “หน้ากากเจ้าเล่า!”
อวี่ซือเฟิ่งถูกตวาดใส่เช่นนี้ ใจพลันกระตุก สิ่งที่จะกล่าวกลับกล่าวไม่ออก
คนผู้นั้นกล่าวเสียงเยียบเย็นว่า “อวี่ซือเฟิ่ง เจ้ารู้ไหมว่านี่ผิดกฎตำหนักหลีเจ๋อ ข้าถามเจ้า หอคุกชำระบาปสิบสามบัญญัติแห่งตำหนักหลีเจ๋อ เจ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาใช่หรือไม่”
อวี่ซือเฟิ่งหมอบอยู่ที่พื้น เสียงสั่นกล่าวว่า “ศิษย์สำนึกผิด! ยอมรับการลงทัณฑ์!”
คนผู้นั้นกล่าวว่า “เอาเถอะ รอกลับถึงตำหนักหลีเจ๋อ ค่อยให้เจ้าตำหนักตัดสิน!”
วาจายังกล่าวไม่ทันจบ ชายชุดครามกลับกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่รีบ ซือเฟิ่ง ข้าถามเจ้า หน้ากากหล่นได้อย่างไร”
อวี่ซือเฟิ่งในใจหวาดกลัวมาก กล่าวเสียงเบายิ่งว่า “ศิษย์…รับคำสั่ง รองเจ้าตำหนัก ช่วยเหลือ เจ้าสำนักฉู่ ทั้งห้า จับปีศาจ ต่อสู้ กับ มารปีศาจ ไม่ระวัง หน้ากาก ถูกทำลาย ศิษย์ วิชาอ่อนด้อย ขออาจารย์ ลงโทษ!”
ชายชุดคราม “อ้อ” เสียงหนึ่ง พลันเงยหน้า ทุกคนรู้สึกได้ว่าแม้ใบหน้าเขาสวมหน้ากาก หากแววตาราวสายฟ้า กวาดตาไปยังแต่ละคน ล้วนทำเอาหวาดกลัว
เขาค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “หน้ากากถูกทำลายแล้ว เจ้าไม่ได้คิดวิธีหาทางชดเชยคืนมา กลับให้คนมากมายได้เห็นใบหน้าแท้จริงเจ้า ใช่หรือไม่”
อวี่ซือเฟิ่งสั่นไปทั้งตัว เงียบอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ค่อยๆ พยักหน้า
ชายชุดครามที่ตำหนิเขารุนแรงเมื่อครู่พลันเอ่ยเสียงเบากับชายชุดครามผู้นั้นว่า “เจ้าตำหนัก แม้ว่าไม่ได้เจตนาละเมิดกฎ แต่ก็ยังคงไม่เห็นกฎสำนักในสายตา ปล่อยปละละเลยตนเอง”
เจ้าตำหนักพยักหน้า ในที่นั้นพลันไร้คนกล่าววาจาใด ก็ไม่รู้อวี่ซือเฟิ่งจะถูกลงโทษเช่นไรกันแน่
ผู้ใดจะรู้ว่าด้านหลังพลันมีเงาร่างเล็กยืนขึ้นก้าวออกมา กล่าวเสียงดังว่า “เพื่อช่วยพวกเรา ซือเฟิ่งจึงได้ละเมิดกฎข้อห้าม ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน เขาเองก็จนใจ พวกท่านอย่าได้ลงโทษเขา!”
ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน เห็นเสวียนจียืนอยู่ด้านหลังอวี่ซือเฟิ่ง สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน สองตากระจ่างใสมองไปยังหน้ากากดุดันของเจ้าตำหนักนิ่งเงียบ ทั้งไม่หวาดกลัวและไม่เคร่งเครียด
หลิงหลงเห็นนางวิ่งออกไปช่วยอวี่ซือเฟิ่งพูดอย่างกะทันหัน ยังเห็นคนตำหนักหลีเจ๋อตรงหน้าท่าทางประหลาดใจ ในใจอดหวาดกลัวไม่ได้ รีบเข้าไปดึงนางไว้ ส่งสัญญาณให้นางอย่าได้พูดเหลวไหล
เสวียนจีกลับกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ซือเฟิ่งช่วยข้าและศิษย์พี่หกไว้ นับว่าเป็นผู้มีพระคุณของเรา จะปล่อยให้ผู้มีพระคุณรับการลงทัณฑ์ได้อย่างไร ศิษย์พี่หก ท่านว่าถูกต้องหรือไม่”
จงหมิ่นเหยียนเดิมทีลังเลอยู่ว่าจะออกไปช่วยอวี่ซือเฟิ่งอธิบายสักคำสองคำดีไหม อย่างไรอาจารย์อาก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาไม่กล้าไร้มารยาท พอเห็นเสวียนจีออกหน้ามายังเอ่ยถึงตน ไหนเลยจะสะกดกลั้นไว้ได้อีก รีบพยักหน้ากล่าวดังว่า “ใช่! ซือเฟิ่งเป็นผู้มีพระคุณพวกเรา ยังเป็นสหายสนิทพวกเราด้วย! เขาบอกแล้วว่า คนที่เห็นโฉมหน้าเขาครั้งแรกย่อมต้องเป็นพี่น้องสนิทกันไปชั่วชีวิต ในเมื่อพี่น้องสนิทกัน พวกเราก็ไม่อาจเห็นเขาถูกลงโทษโดยไร้สาเหตุ! ขอเจ้าตำหนักพิจารณาด้วย!”
เจ้าตำหนักยิ้มกล่าวอ่อนโยนว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าบอกพวกเขาเช่นนี้หรือ”
อวี่ซือเฟิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพยักหน้า
เจ้าตำหนักจึงกล่าวว่า “ศิษย์ข้าล้อเล่น ทั้งสองท่านเห็นเป็นจริงเป็นจังไปแล้ว นี่เป็นเรื่องตำหนักหลีเจ๋อ ข้าไม่อยากกล่าวมาก ขอบคุณน้ำใจเจ้าทั้งสองด้วย…ซือเฟิ่ง ลุกขึ้น กลับตำหนักค่อยว่ากัน”
อวี่ซือเฟิ่งรีบลุกขึ้นทันที เดินไปยังแถวพวกชุดครามสวมหน้ากาก ไม่เงยหน้าขึ้นอีกเลย
เจ้าตำหนักประสานให้กับฉู่อิ่งหงกล่าวขออภัยว่า “ทุกท่านโปรดอภัย ไม่อาจรอช้า พวกเราขอตัวไปคารวะเจ้าสำนักฉู่ก่อน”
ริมฝีปากฉู่อิ่งหงขยับเล็กน้อย ในที่สุดก็กลืนวาจาจะขอร้องกลับคืนไป เผยรอยยิ้มกล่าวว่า “บรรดาศิษย์กล่าววาจาอันใด หากล่วงเกินก็ขออภัย เจ้าตำหนัก เชิญ”
ยามนั้นทุกคนจึงได้เดินทางขึ้นยอดเขาเส้าหยาง
“เจ้าตำหนัก!” มีคนด้านหลังส่งเสียงเรียกดัง “ข้าไม่เข้าใจ แท้จริงชีวิตคนสำคัญ หรือว่าหน้ากากสำคัญ ถูกกับผิด อย่างไรต้องกล่าวให้กระจ่าง เทียบกับหน้ากากแล้ว หรือว่าปล่อยให้ผู้อื่นตกในอันตรายก็ไม่สนใจ ก็ไม่นับว่าเป็นความผิดหรือ”
เจ้าตำหนักได้ฟังวาจานี้ พลันหยุดนิ่ง หันกลับไปมอง
เป็นเสวียนจีดังคาด นางลุกขึ้นยืนตรงกลางลาน มองเขาอย่างไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
เขาเหมือนคิดสิ่งใดได้ สบตากับนางครู่หนึ่ง รู้สึกเพียงแค่แววตาใสกระจ่างของนาง เพียงแต่ภายในราวกับ…
“ถูกผิดล้วนยากตัดสิน” เขากล่าวนิ่งเรียบ “คุณหนูฉู่อายุยังน้อย เกรงแต่ว่าไม่เข้าใจเหตุในนั้น หากโลกนี้ทุกสิ่งล้วนแยกแยะดำขาวได้กระจ่าง ไหนเลยจะมีความขัดแย้งมากมายกัน”
เสวียนจีส่ายหน้า กล่าวว่า “สำหรับเจ้าตำหนักแล้ว ซือเฟิ่งให้พวกเราเห็นใบหน้าโดยพลการถือเป็นความผิด สำหรับพวกเราแล้ว ซือเฟิ่งเป็นสหายและผู้มีพระคุณ แม้ว่าถูกผิดยากแยกแยะกระจ่าง แต่อย่างไรก็ต้องแยกแยะหนักเบาได้ เขาช่วยคนสองชีวิต ยังไม่อาจลบล้างกฎที่ละเมิดข้อเดียวหรือ”
“กฎตำหนักหลีเจ๋อให้เจ้ามาตัดสินตามอำเภอใจหรือ!” ชายชุดครามด้านหลังตวาดดังเสียงแหลม ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ถูกเจ้าตำหนักยกมือขึ้นขัด
“คุณหนูฉู่มีน้ำใจยิ่ง ไม่เสียทีที่เป็นบุตรสาวเจ้าสำนักฉู่” เจ้าตำหนักกล่าวน้ำเสียงเนิบนาบ “แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของตำหนักหลีเจ๋อ ไม่อาจให้คนนอกข้องเกี่ยว”
ฉู่อิ่งหงเกรงแต่ว่าจะมีเรื่องกันยากมองหน้า รีบกล่าวเสียงเข้มเตือนว่า “เสวียนจี เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าได้กล่าวเหลวไหล!”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “กฎตำหนักหลีเจ๋อไม่เกี่ยวกับข้าจริง แต่เรื่องของสหายสนิทเกี่ยวข้องกับข้า พวกท่านคนมาก ข้าย่อมไม่อาจทำอะไรได้ อย่างไรถูกและผิดในใจข้าก็รู้อยู่ ตำหนักหลีเจ๋อยิ่งใหญ่เพียงนี้ ถึงกับไม่ให้คนกล่าวตามจริงหรือ”
“เจ้า…!” ชายชุดครามมุทะลุจะตวาดอีก แต่สุดท้ายก็ทนเก็บถอยกลับไป หันหลังไม่มองนางอีก
“เสวียนจี ไม่ต้องพูดแล้ว!” ตู้หมิ่นหังสีหน้าเคร่งเครียดลากนางไปด้านหลังตน ประสานมือคำนับเจ้าตำหนัก “ศิษย์น้องเล็กอายุยังน้อย ล่วงเกินเจ้าตำหนักแล้ว ขอเจ้าตำหนักอย่าได้ถือสา”
เจ้าตำหนักถึงกับหัวเราะดัง ตบมือกล่าวว่า “ดี! ดี! บิดาพยัคฆ์ย่อมไร้บุตรีสุนัข! เจ้าหอฉู่ สำนักเส้าหยางรุ่นหลังน่ากลัวจริง ช่างน่าอิจฉายิ่ง”
ทุกคนได้ยินวาจาเขาไม่ได้มีน้ำเสียงเสียดสีเจือปนใด จึงได้วางใจลงได้ในที่สุด ดีที่เจ้าตำหนักผู้นี้ใจกว้าง ไม่เช่นนั้นหากโต้กลับว่าหลู่เกียรติตำหนักหลีเจ๋อ สองฝ่ายล้วนมองหน้ากันไม่ติด
“ซือเฟิ่ง” เจ้าตำหนักพลันเรียกชื่อเขา
อวี่ซือเฟิ่งรีบก้มหน้าก้าวออกมา คุกเข่าลงกล่าวว่า “ขอรับ”
“เจ้าแน่ใจว่าจะเป็นสหายสนิทกับคุณหนูฉู่ จอมยุทธ์จงหรือ”
เขาถามแปลกใจ กลับทำเอาอวี่ซือเฟิ่งสะดุ้ง ลังเลเป็นนาน สุดท้ายกล่าวว่า “ขอรับ! ศิษย์ ชีวิตนี้ ไม่เคยรู้ สหาย คืออันใด ได้พบ พวกเขา จึงเข้าใจ อันใดเรียก คิดเห็นตรงกัน”
เจ้าตำหนักเงียบเป็นนานพลันกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นหอคุกชำระบาปสิบสามบัญญัติจากนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าอีก วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าได้สมดังใจ…”
เขาจ้องมองอวี่ซือเฟิ่ง เสวียนจี จงหมิ่นเหยียน ทั้งสามคนชั่วขณะหนึ่ง สายตาแผดเผาร้อนแรง ทำให้รู้สึกสั่นไหวในใจ
“จากนี้เขาจะไม่มีวันได้คืนคำอีก”
อวี่ซือเฟิ่งทั่วตัวราวต่อสู้หนัก นิ้วมือจิกพื้นเต็มแรง ถึงกับเป็นรอยนิ้วมือลึกห้านิ้ว บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพรายราวฝนสาด ไม่รู้เพราะหวาดกลัว หรือเพราะเหตุใดกันแน่
ไม่รู้นานเท่าไร เขาพลันเงยหน้า มองจ้องไปยังเจ้าตำหนัก ก่อนจะก้มหน้าลงตามมา กล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์รับบัญชา”
เจ้าตำหนักพยักหน้า สะบัดแขนเสื้อ ค่อยๆ ประคองเขาขึ้นมา ก่อนหันกายจากไป
“คุณหนูฉู่ โลกนี้ไม่มีดำขาวแดงเขียวแยกกระจ่าง เจ้านิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา วันหน้ายากจะไม่ประสบอุปสรรค ขอให้วันหน้าเจ้าอย่าได้เอาถูกผิดกับทุกเรื่อง ควรรู้ว่าคนนับพันหมื่นล้วนมีความผิดถูกนับพันหมื่น…กล่าวเพียงเท่านี้ ขอให้รอบคอบเข้าไว้”
กล่าวจบ ทุกคนเดินจากไปไกลแล้ว เหลือเพียงเด็กน้อยสองสามคนยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่เข้าใจเมื่อครู่เขากล่าวไปนั้นหมายถึงสิ่งใด
“เสวียนจี…” หลิงหลงยังคงรู้สึกหวาดกลัว คว้ามือนางไว้ บ่นว่า “เจ้าใจกล้ามากไปแล้ว! ไยจึงได้โต้เถียงกับพวกประหลาดใต้หน้ากากพวกนั้น! เขายังเป็นถึงเจ้าตำหนักหลีเจ๋อนะ! ให้ท่านพ่อรู้เข้า เจ้าตายแน่แล้ว!”
เสวียนจีหลุบตาลง ถามเบาๆ ว่า “ข้า…เมื่อครู่กล่าวผิด? แต่เห็นๆ ว่าพวกเขาไม่สนใจ”
ตู้หมิ่นหังมองนางแวบหนึ่ง ส่ายหน้า “สุดท้ายเจ้าตำหนักไม่ใช่บอกแล้วหรือ โลกนี้ไม่มีถูกผิดแน่ชัด เจ้าไยต้องโต้แย้งอีก”
“ขาวและดำ แต่ไรมาไม่อาจอยู่ร่วม โลกนี้จะไม่มีถูกผิดแน่ชัดได้อย่างไร ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด”
ตู้หมิ่นหังสะดุ้งในใจ อดจ้องมองดวงตากลมโตของนางที่เบิกกว้างไม่ได้
เสวียนจีเป็นคนเฉลียวฉลาด เพียงแต่นิสัยดื้อรั้น หากคิดมั่นใจในเหตุผลตน เช่นนั้นตนเองก็จะเอาให้ถึงที่สุด คนอื่นกล่าวเช่นไรก็ไร้ประโยชน์
เขารู้ดีว่านิสัยนี้อันตรายจริงๆ เพียงแต่หนึ่งนางอายุยังน้อย สองนิสัยเกียจคร้าน ทำให้คนเอาแต่โมโหนาง ไม่ใส่ใจ มองข้ามความคิดดื้อรั้นของนางไปอย่างง่ายดาย
นางอายุยังน้อยเช่นนี้ ยามโต้เถียงกับผู้อื่นมีเหตุมีผล ไม่ลดราวาศอก หว่างคิ้วราวกับมีไฟดุร้ายปะทุ ยังไม่รู้ว่าโตอีกหน่อยจะกลายเป็นเช่นไร
เขาลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “ถูกผิดล้วนอยู่ที่ใจคนคิด เสวียนจี เจ้าไม่ใช่ผู้อื่น เจ้าจะรู้ถูกผิดในใจผู้อื่นได้อย่างไร จะใช้ความคิดตนไปยัดเยียดใส่ผู้อื่นได้อย่างไร”
เสวียนจีอึ้งไป ยิ้มตามอย่างไม่คิดอันใด “เช่นนั้นผู้อื่นก็อย่าได้นำเรื่องถูกผิดมาครอบงำข้า”
ตู้หมิ่นหังพลันไร้วาจา
อันตราย นางอันตรายยิ่ง หากปล่อยเช่นนี้ไป วันหนึ่งเกิดประสบเหตุที่ยากเรียกกลับคืนมา เช่นนั้นก็ย่อมเป็นลางแห่งการกลายเป็นมารร้ายแล้ว
ตู้หมิ่นหังถอนหายใจ กำลังสอนนางดีๆ ก็พลันได้ยินหลิงหลงที่ด้านหน้าหัวเราะกล่าวว่า “เอาน่า เอาน่า! อย่างไรซือเฟิ่งก็ไม่ต้องรับการลงทัณฑ์แล้ว เจ้าตำหนักก็มิได้กล่าวตำหนิเสวียนจี งานชุมนุมปักบุปผาก็จะเริ่มต้นตามปกติ พวกเจ้ายังจะทำหน้าเคร่งเครียดกันทำไม! เร็ว กินปลาให้หมด ไว้กลับไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ท่านแม่ตัดชุดให้พวกเราหลายชุดเลย!”
กล่าวจบก็ลากเสวียนจีกับจงหมิ่นเหยียนวิ่งไป พลางหันกลับไปตะโกนเรียก “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านยังไม่มาอีก พวกเราจะกินปลาหมดแล้วนะ! แม้แต่เกล็ดก็ไม่เหลือให้ท่าน!”
ตู้หมิ่นหังหันกลับไปมอง ต่อหน้าหลิงหลงที่เอ็ดตะโรดัง เสวียนจียิ้มไร้เดียงสายิ่ง ใบหน้าเล็กราวกับหยกสลักออกมา เห็นชัดว่าเป็นเด็กบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง
เขาถอนหายใจในใจ ได้แต่หวังว่าตนเองคิดมากเกินไป
“เจ้ายังกล้าพูด ปลาเป็นข้ากับหมิ่นเหยียนจับมา”
เขายิ้มเดินมา