พักผ่อนที่โรงเตี๊ยมคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นทุกคนก็ออกเดินทางกลับเส้าหยาง
จับปีศาจครั้งนี้ ใช้เวลาไปเกือบครึ่งเดือน เสวียนจีออกจากบ้านมายาวนานเช่นนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกคิดถึงอยู่บ้างจริงๆ
ไม่รู้หลิงหลงเป็นอย่างไรบ้าง นางไม่ได้มาจับปีศาจ ยังโกรธอยู่หรือไม่
ท่านแม่ควรจะไม่ต้องเป็นห่วงแล้วกระมัง ไม่แน่อาจจะทำอาหารกองโตรอนางกลับก็เป็นได้!
หลังกลับไปก็ไม่ต้องกลัวไปอยู่ถ้ำแสงฉานน่ากลัวนั่นแล้ว ยังมีความครึกครื้นงานชุมนุมปักบุปผาให้ชมอีก เสวียนจีพลันรู้สึกวันเวลาช่างแสนงดงาม
ฉู่อิ่งหงเห็นนางตรงหน้าเอาแต่แอบยิ้ม อดไม่ได้ถามกล่าวว่า “เมื่อวานจนวันนี้เจ้าเอาแต่ยิ้ม ไหนบอกอาหงมาซิ มีเรื่องอันใดเบิกบานใจกัน”
เสวียนจีเอนกายเข้าพิงอกนางพลางมองไปยังเมฆที่พาดผ่านด้านล่าง กล่าวเบาๆ ว่า “อันใดล้วนเบิกบานใจ แต่ไรมาข้าไม่รู้เลยว่าออกมาเที่ยวเล่นแล้วเบิกบานใจเช่นนี้ ยังมีอีก หลังออกมาก็คิดถึงว่ายังได้กลับไป ก็ยิ่งเบิกบานใจ”
ฉู่อิ่งหงหัวเราะดัง “เด็กหญิงคิดถึงบ้านแล้ว! ออกมาแค่ครึ่งเดือน รอเจ้าอายุสิบหก ต้องลงเขาไปฝึกฝน นั่นต้องออกจากบ้านหลายปี!”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “เช่นนั้น…ข้าไม่ออกไปได้ไหม หรือว่า ออกไปสองสามเดือนแล้วกลับมาเยี่ยมบ้าน”
ฉู่อิ่งหงส่ายหน้า “เสวียนจี คนเรามักจะต้องเติบโต ออกจากการปกป้องของครอบครัว แม้ว่าเจ้าเป็นเด็กหญิง แต่ก็ต้องเรียนรู้เป็นคนที่มีประโยชน์ ไม่อาจคอยถ่วงรั้งทุกคนเช่นครั้งนี้ นี่ไม่เพียงแค่เป็นการฝึกฝนตัวเจ้าเอง แต่ยังเพื่อปกป้องคนที่เจ้าต้องการปกป้อง หรือว่าเจ้าอยากเห็นคนใกล้ชิดตนต้องบาดเจ็บเพื่อปกป้องเจ้า หรืออาจต้องตายไปหรือ”
ริมฝีปากเสวียนจีขยับ หากไร้วาจากล่าว
เรื่องครั้งนี้กระทบจิตใจนางมากจริงๆ เมื่อก่อนนางล้วนมีชีวิตแต่ในโลกของตนเอง ขี้เกียจออกไปดูโลกนอกตัว ต่อมาจึงได้รู้ โลกภายนอกนั้นไม่ใช่เช่นนั้น ที่แท้นางไม่เป็นอะไรสักอย่าง
ฉู่อิ่งหงเห็นนางไม่กล่าวอะไรเป็นนาน ก็ไม่กล่าวอื่นใด
พูดมากไปกลับไม่ดี โดยเฉพาะเด็กเช่นนาง
เงียบไปนาน เด็กหญิงพลันขยับตัว ราวกับสัตว์ตัวน้อยอุ่นนุ่มนิ่มในอ้อมกอด ดึงมือนางไว้อย่างอ่อนโยน กระซิบว่า “ท่านอาหง ข้าอยากเป็นคนที่มีประโยชน์ ไม่คิดอยากเป็นตัวถ่วงของทุกคน”
ฉู่อิ่งหงพลันยินดีในใจ พลิกกุมมือน้อยของนางกล่าวอ่อนโยนว่า “ท่านอาหงจะสอนเจ้าหลายอย่างมากมาย กลับถึงเส้าหยางก็ไปเรียนรู้กับท่านอาหงแล้วกัน”
เสวียนจีพยักหน้า เงียบเป็นนาน พลันเงยหน้า “ท่านอาหง ข้าอยากเหยียบกระบี่บินก่อน ดีหรือไม่”
ฉู่อิ่งหงหลุดหัวเราะออกมา “ได้…ล้วนตามใจเจ้า แต่เสวียนจี นี่ไม่ได้เรียกว่าเหยียบกระบี่บิน เรียกว่าเหินกระบี่…”
กล่าวไปนางก็จงใจกดฝ่าเท้าหนัก กระบี่ใต้ฝ่าเท้ากลับเลื้อยราวงูไปมากลางอากาศ บัดเดี๋ยวขึ้น บัดเดี๋ยวลง บัดเดี๋ยวซ้าย บัดเดี๋ยวขวา เมฆด้านล่างราวกับแพรขาว ถูกกระบี่คมแยกออก เลียบผ่านศีรษะพวกนางไป ลอดผ่านนิ้วมือไปอย่างซุกซน
เสวียนจีเบิกบานใจจนหัวเราะดังออกมา
ท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้น ทุกคนกลับถึงสำนักเส้าหยางที่จากนานไปถึงครึ่งเดือน
พอถึงเส้าหยาง ฉู่อิ่งหงกับตงฟางชิงฉีก็ขึ้นยอดเขาไปพบเจ้าสำนัก
นับวันดูแล้ว ยังเหลืออีกสองวัน งานชุมนุมปักบุปผาก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ คนแต่ละสำนักก็ควรจะทยอยมากันครบ ในช่วงเวลานี้งานที่ต้องทำมีมากมาย พี่พักของทุกคน การจัดการสนามประลอง การจัดการสุนัขฟ้า เป็นต้น ล้วนไม่อาจปล่อยปละละเลย
ผู้ใหญ่ยุ่งกับงาน เด็กๆ ก็หาอะไรเล่นกันเอง
เสวียนจีพลันร้อนใจอยากรีบกลับบ้านไปหามารดาและหลิงหลง จงหมิ่นเหยียนย่อมอยากไปคารวะอาจารย์หญิง สำหรับอวี่ซือเฟิ่ง เดิมเขาคิดไปพบอาจารย์ตน กลับถูกทั้งสองลากไปได้ด้วย บอกว่าจะแนะนำหลิงหลงให้เขารู้จัก จากสหายสนิทสามมุมเป็นสี่มุม
อวี่ซือเฟิ่งไม่อาจต้านทานพวกเขาได้ ได้แต่ตามไป ที่จริงเขาก็ไม่กล้ารีบไปหาพวกอาจารย์ตน หน้ากากตนเองพังแล้ว ยังถูกคนมากมายเห็นใบหน้า ยังไม่รู้พวกเขาจะตำหนิเช่นไร ยืดเวลาได้ก็ยืดไปก่อน
เสวียนจีพอกลับถึงเรือนที่คุ้นเคยก็มองซ้ายขวา พลางเรียก “ท่านแม่ หลิงหลง! ข้ากลับมาแล้ว!”
เสียงเพิ่งเงียบลง ประตูก็ถูกถีบออกอย่างแรง เงาร่างเล็กอ้อนแอ้นหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว กระโดดเข้าหานางเต็มแรง เกือบทำนางล้ม
“เสวียนจี เสวียนจี เสวียนจี! ข้าคิดถึงเจ้าแทบตาย! ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!” หลิงหลงกอดคอนางแน่น ตะโกนเสียงดังลั่นก้องฟ้า
“หลิงหลง…ข้าหายใจไม่ออก…หูก็จะหนวกแล้ว…”
เสวียนจีต่อต้านขึ้นเบาๆ แต่ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย หลิงหลงจับนางลูบตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำตาคลออย่างตื้นตัน ถามอึดใจเดียวว่า “อันตรายไหม เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม ข้าเป็นห่วงแทบตาย นอนไม่หลับเลย! รีบให้ข้าดูแขนขาหน่อยว่ายังดีอยู่ไหม!”
“ข้าไม่ ไม่เป็นไร…” ถูกนางทำเอาหัวหมุนไปหมด ความสามารถหลิงหลงร้ายกาจยิ่งกว่ามารปีศาจมาก
หลิงหลงทั้งกอดทั้งตะโกนส่งเสียงดังใส่นางอยู่เป็นนาน กว่าจะพบว่าด้านหลังเสวียนจีมีเด็กผู้ชายสองคนยืนนิ่งราวกับไก่ไม้แข็งทื่ออยู่
“อา เจ้าหก!” หลิงหลงเริ่มตื่นเต้นราวกับฉีดเลือดไก่เข้าไป พุ่งออกมากอดเขา และลูบจากหัวจรดเท้า ดูให้มั่นใจว่าเขายังมีมือมีเท้าครบ
จงหมิ่นเหยียนรู้นิสัยนางนานแล้ว ได้แต่ยิ้มเฝื่อน ลูบศีรษะนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “พวกเราไม่เป็นไร เจ้าก็อย่าส่งเสียงดัง ทั้งเขาแรกอรุณมีแต่เสียงดังของเจ้าคนเดียว”
อวี่ซือเฟิ่งด้านหลังกระแอมไอ จริง! เขาอุทานเบาๆ “เฮ้อ เด็กหญิง จงหยวน!”
เสียทีที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องคิดว่าเด็กหญิงจงหยวนอ่อนโยนนุ่มนิ่ม หากให้พวกเขารู้ว่าเสวียนจีเกียจคร้าน หลิงหลงแสบสัน เกรงแต่ว่าดวงตาคงหลุดจากเบ้า
หลิงหลงเห็นชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านหล่อเหลาข้างกายจงหมิ่นเหยียนนานแล้ว นางหูไว ได้ยินเขาพึมพำ คิ้วเรียวงามอดกระตุกขึ้นไม่ได้ เสียงดังว่า “เจ้าว่าอันใด! เด็กหญิงจงหยวนทำไมกัน!”
อวี่ซือเฟิ่งลูบจมูก รู้งานยิ่ง “ไม่ ไม่มีอันใด…”
หลิงหลงยู่ปาก เลียนแบบสำเนียงประหลาดเขา “ไม่ ไม่มีอันใด~~ ภาษาจงหยวนยังพูดไม่ชัด ยังว่าเด็กหญิงจงหยวนอะไร! นี่ เจ้าเป็นใคร”
อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกปวดหัว จะหลบก็ไม่ได้ จะตอบก็ไม่อยาก กำลังอึดอัดนั่นเอง จงหมิ่นเหยียนใจดีช่วยเขาแก้สถานการณ์
“นี่คือศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อชื่ออวี่ซือเฟิ่ง พวกเราระหว่างทางพบกับรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ ให้ซือเฟิ่งมาช่วยพวกเราจับปีศาจ เขาเป็นสหายที่ดีของพวกเรา ตลอดทางช่วยพวกเราไว้มาก หลิงหลง เจ้าก็อย่าใจร้อนใส่เขา”
เสวียนจีรีบพยักหน้า ในที่สุดนางก็หาจังหวะกล่าวแทรกได้แล้ว “ใช่ ใช่ หลิงหลง! ซือเฟิ่งเป็นสหายที่ดี เจ้าต้องชอบเขา”
หลิงหลงกระทืบเท้า โมโหกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบ! ไม่ชอบ! รังเกียจมาก เขามีความสามารถใดไปจับปีศาจ พวกเจ้าไปได้ มีแต่ข้าอยู่กับบ้านเฉยๆ! น่ารังเกียจ! ข้าใกล้เบื่อจะตายแล้ว!”
เสวียนจีได้แต่ปลอบนาง
ขณะกำลังเอะอะกันอย่างเต็มที่ พลันได้ยินลานด้านนอกมีเสียงกลั้นหัวเราะดังมา “ศิษย์น้องอย่าเอะอะกัน หากอาจารย์รู้ จะลงโทษเจ้าอีก”
หลิงหลงพอได้ยินว่าท่านพ่อจะลงโทษก็เข่าอ่อน ได้แต่ขยี้ตาอย่างไม่ยินยอม กล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ก็เอาแต่ใช้ท่านพ่อมาขู่ข้า!”
เสวียนจีรีบหันกลับไป คนที่มาเป็นตู้หมิ่นหัง ครึ่งเดือนมานี้ไม่เห็นเขา สีหน้าเขาดีกว่าเมื่อก่อนมาก ไร้กลิ่นอายความเป็นบัณฑิตเคร่งแนวคิดขงจื๊อ กลายเป็นกลิ่นอายหนักแน่นนุ่มนวลสูงส่ง
เขาเห็นเสวียนจีก็ยิ้มเล็กน้อยกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เสวียนจี พวกเจ้ากลับมากันแล้ว อาจารย์หญิงกับศิษย์น้องหลิงหลงคิดถึงทั้งวัน”
ในสำนักเส้าหยาง นอกจากบิดามารดาและหลิงหลง ที่เสวียนจีสนิทที่สุดก็คือศิษย์พี่ใหญ่ตู้หมิ่นหัง เห็นเขามาก็รีบเข้าไปรับ เรียกศิษย์พี่ใหญ่ไม่หยุด
ตู้หมิ่นหังขยี้ศีรษะนางอย่างรักใคร่เอ็นดู ยิ้มกล่าวว่า “เข้าไปก่อน เล่าเรื่องจับปีศาจให้พวกเราฟัง ท่านนี้…น้องชายท่านนี้คือ…?”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นเขามองมาที่ตน มองไปที่มือเสวียนจีที่ดึงแขนเขาข้างนั้น ไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกไม่ดีอยู่สักหน่อย ยามนั้นได้แต่ประสานมือคำนับกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าน้อย ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ อวี่ซือเฟิ่ง”
ตู้หมิ่นหังยิ้มเล็กน้อย ไม่ใส่ใจที่เขาแสดงท่าทีเย็นชา เรียกทุกคนให้เข้าไปด้านใน
พอหลิงหลงได้ยินว่าจะเล่าเรื่องจับปีศาจ ก็ตื่นเต้นวิ่งเข้าไปในห้องคนแรก ยังหันกลับไปกวักมือเรียกพวกเขา “เข้ามาเร็ว! เสวียนจี เจ้าหก ซือเฟิ่ง! ข้าอยากฟังเรื่องพวกเจ้าจับปีศาจ!”
พอดีใจเช่นนี้ ก็ลืมเรื่องดึงดันก่อนหน้ากับอวี่ซือเฟิ่งไปหมดสิ้น ยอมรับเพื่อนใหม่อย่างเปิดใจทันที