นักพรตเหิงซงถามกล่าวว่า “รองเจ้าตำหนักในเมื่อกล่าวเช่นนี้ คิดว่าคงมีหนทางรับมืออันใดแล้ว ขอโปรดชี้แนะ”
รองเจ้าตำหนักหัวเราะประหลาดกล่าวว่า “ข้าไหนเลยมีคำชี้แนะใด! กล่าวเกินไปแล้ว! เพียงแค่ตอนข้ายังเยาว์เคยได้ยินวิธีรับมือมารปีศาจดุร้ายพวกนี้อย่างไร คิดว่านักพรตและเจ้าสำนักฉู่ความรู้กว้างไกลย่อมต้องเคยได้ยินมา ดังนั้นจึงไม่กล้ากล่าวให้ต้องขายหน้าทุกท่านที่นี่ หากท่านทั้งสองถึงกับไม่เคยได้ยิน เช่นนั้นข้าไหนเลยกล้ามิแบ่งปัน”
เขากล่าววาจารวดเร็ว พูดจาฉะฉาน วกวนถ้อยคำไปมา เห็นชัดว่าเป็นกิริยาท่าทางเฉกเช่นสตรี แต่ดูรูปลักษณ์ภายนอกเขาแล้ว ไหล่กว้าง เอวสอบ ลูกกระเดือกลำคอนูนเล็กน้อย เห็นชัดว่าเป็นชาย หลิงหลงไหนเลยเคารพคนประหลาดเช่นนี้ อดมองอย่างตะลึงไม่ได้
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ฉู่เหล่ยกับนักพรตเหิงซงก็สบตากัน อดไม่ได้กล่าวว่า “ขอรองเจ้าตำหนักชี้แนะ”
รองเจ้าตำหนักเองก็เปิดเผย กล่าวว่า “สุนัขฟ้ากลัวซอสเปรี้ยว ขอเพียงใช้ซอสเปรี้ยวหม้อหนึ่งสาดใส่หัวมัน ก็จะหมดสติ ส่วนอินทรีกู่เตียวปกติหลบซ่อนตัวในน้ำ ขอเพียงใช้ถุงกระสอบแสร้งว่าเป็นคน ในนั้นใส่เกลือไว้ให้เต็มโยนลงน้ำ มันเห็นก็ย่อมมากัด แต่เกลือจะทำร้ายดวงตามัน ทำให้มันมองไม่เห็น รอมันลอยตัวขึ้นเหนือน้ำก็จับได้แล้ว”
แม้แต่นักพรตเหิงซงที่เห็นโลกมากความรู้กว้างไกล ก็เป็นครั้งแรกได้ยินวิธีการเช่นนี้ อดสงสัยไม่ได้ แต่ที่เขาพูดมาก็มีเหตุมีผล ไม่สู้ลองดูสักหน่อย
รองเจ้าตำหนักผู้นั้นยังกล่าวว่า “อินทรีกู่เตียวเจ้าเล่ห์มาก อาจจับยากสักหน่อย หากกังวลว่าปรากฏตัวเหนือน้ำแล้วจับมันไม่ได้ ก็เตรียมคบไฟไว้ อาศัยตอนกลางคืนไปจับมันในรัง ดวงตามันมองไม่เห็นสามวันย่อมพักรักษาตัวในรัง ตามองไม่เห็นแสง พวกท่านก็ใช้ไฟโยนเจ้าไปในในรังมัน ปิดปากถ้ำไว้อย่าให้มันหนีไปได้ เช่นนี้ก็ย่อมจับได้”
ฉู่เหล่ยคำนับรองเจ้าตำหนักผู้นั้นอย่างดี กล่าวว่า “ขอบคุณเจ้าตำหนักมาก! ข้าซาบซึ้งยิ่ง!”
รองเจ้าตำหนักส่งเสียงหัวเราะประหลาดขึ้น ก่อนจะไม่กล่าวอันใด
พอดีกับจงหมิ่นเหยียนพาเสวียนจีมารับคำสั่ง เด็กหญิงท่าทางเกียจคร้าน ผมก็ไม่ได้หวีให้ดีกระจัดกระจายเต็มแผ่นหลัง สีหน้าง่วงเหงาหาวนอน คิดแต่ว่ากำลังนอนอยู่ดีๆ ถูกบังคับเรียกตัวมา นางเข้ามาก็ไม่มองผู้ใดทั้งสิ้น เอาแต่ขยี้ตา พลันเห็นฉู่เหล่ยตรงหน้า อดตกใจไม่ได้ รีบทำสีหน้าเคร่งคุกเข่าลงพร้อมกับจงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “คารวะเจ้าสำนัก”
ฉู่เหล่ยแม้แม้ไม่อยากเห็นท่าทางเกียจคร้านเช่นนี้ของนาง แต่หลายวันไม่ได้พบหน้า สีหน้านางซีดขาว ซูบผอมลงไปมาก คิดว่าคงเป็นเพราะทนลำบากในถ้ำแสงฉาน เขาเองก็อดเสียใจไม่ได้เหมือนกัน ความโมโหนั้นมลายหายไปอย่างไม่ทันรู้ตัว กล่าวอ่อนโยนว่า “ลุกขึ้น เสวียนจี วันนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ในถ้ำแสงฉานแล้ว พรุ่งนี้ตามพวกเราลงเขาไปปฏิบัติภารกิจเด็ดบุปผา คืนนี้รีบไปเก็บของ เข้าใจไหม”
เขารู้ว่าเด็กน้อยล้วนชอบออกไปเที่ยวเล่น ย่อมต้องดีใจเป็นแน่ ผู้ใดจะรู้ว่าเสวียนจีกลับอึ้งเป็นนาน ก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “เอ๋? ข้าต้องไปด้วย? เหตุใดเป็นข้า…คือว่า…ข้าไม่ไปได้ไหม?”
ฉู่เหล่ยกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้าไม่อยากลงเขาไปเปิดประสบการณ์สักหน่อยหรือ”
นางส่ายหน้าอย่างไม่เร็ว “ไม่คิด”
ฉู่เหล่ยจึงได้คิดถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาของบุตรสาวคนเล็กคนนี้ พี่สาวนางกับศิษย์พี่ล้วนลงเขาไปมาหลายแห่ง จะพานางไป ทุกครั้งจะตอบเพียงว่า ขี้เกียจ ไม่อยากขยับ เขาอดโมโหไม่ได้ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไม่ไปไม่ได้ จับสลากได้เจ้าแล้ว ไหนเลยเป็นเรื่องเด็กเล่น หากเจ้าขี้เกียจเช่นนี้ต่อไป ก็กลับเข้าไปอยู่ถ้ำแสงฉานชั่วชีวิต ไม่ต้องออกมาก็แล้วกัน!”
เสวียนจีพอได้ยินว่าอยู่ถ้ำแสงฉานชั่วชีวิต ก็ตกใจรีบพยักหน้ารับปาก ฉู่เหล่ยที่เมตตาเต็มเปี่ยมถูกนางทำเอาอารมณ์เสียยิ่ง โบกมือหงุดหงิดให้นางถอยออกไป ตนเองหันไปหารือกับคนอื่นเรื่องงานชุมนุมปักบุปผาต่อ
เสวียนจีค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามุม เห็นหลิงหลงกอดมารดาออดอ้อนอยู่ เห็นนางมา ก็รีบวิ่งเข้ามาหา คว้ามือนางเรียกขึ้น “น้องสาวคนดี! เจ้าออกมาแล้ว! หลายวันนี้ลำบากไหม”
เสวียนจีพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้าอีก กล่าวว่า “เริ่มแรกก็ลำบากมาก ต่อมาก็ชินแล้ว วันๆ ก็นอนและกินข้าว ไม่มีอันใด”
เหอตันผิงเห็นเสวียนจีออกมา อดหลั่งน้ำตานองไม่ได้ นางไม่อาจกล่าวกับเสวียนจีถึงการไปครั้งนี้ว่าอันตรายเพียงใด ได้แต่ลูบศีรษะนางแอบลอบถอนใจ ในใจแอบไม่พอใจความใจแข็งของฉู่เหล่ย
หลิงหลงสนทนาสนิทสนมกับเสวียนจีครู่หนึ่งพลันคิดได้ ลากมือนางกระซิบกล่าวว่า “เสวียนจี หากเจ้าไม่อยากลงเขา ก็บอกท่านพ่อ เราสองคนเปลี่ยนกัน ข้าไปแทนเจ้า”
เสวียนจีส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง “ไม่ได้ ไม่ได้ เมื่อครู่ท่านพ่อว่า หากข้าไม่ไปก็จะให้อยู่ถ้ำแสงฉานไปชั่วชีวิต! พี่สาวคนดี ข้าไม่อยากอยู่ที่แบบนั้นไปชั่วชีวิต ทั้งหนาวทั้งชื้นแฉะ มืดมิดไร้ตะวัน ข้าอยู่มาหลายวันนี้ ปวดไปทั้งตัว”
หลิงหลงฟังนางกล่าวเช่นนี้ ร้อนใจกระทืบเท้าอย่างแรง สะบัดมือ หันหน้าวิ่งไปทันที
เสวียนจีไม่รู้ว่าล่วงเกินพี่สาวตนเองตรงไหน แต่ไม่อาจไล่ตาม ได้แต่นั่งเหม่ออยู่ในมุมนั้น
นางเดิมทีกำลังนอนกลางวัน อยู่ๆ เรียกนางมาก็ไม่เห็นมีเรื่องอันใด อดพิงมารดาสัปหงกต่อไม่ได้ ศีรษะเอนไปเอนมา เห็นก็รู้ว่ากำลังจะหลับอีกแล้ว ขณะกำลังสะลึมสะลือ ที่ขาเหมือนมีของบางอย่างกำลังขยับ นางขี้เกียจมองดู ปิดตานอนต่อ เจ้าสิ่งนั้นกลับเลื้อยเข้ากางเกงนาง อยู่บนกางเกงแพรตัวบางชั้นเดียวที่ใส่กันในช่วงหน้าร้อน มันเย็นเยียบและอ่อนนุ่ม
นางอดลืมตามองไม่ได้ พลันเห็นงูน้อยสีเงินทั้งตัวตัวหนึ่งกำลังเลื้อยพันเข่านาง ลิ้นแดงแลบส่ายไปมา หัวสามเหลี่ยมพักหนึ่งเอนมาทางนี้ พักหนึ่งเอนไปทางนั้น รู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูอยู่สักหน่อย แต่เสวียนจีตกใจ รีบร้องเรียกมารดา ผู้ใดจะรู้ว่าหันกลับไปกลับไม่มีผู้ใด ที่แท้พวกผู้ใหญ่กำลังยุ่งกับการหารือเรื่องเด็ดบุปผาและงานชุมนุมปักบุปผา
ไม่มีหนทางอื่น นางได้แต่จับมันจะโยนทิ้ง หากบนศีรษะนางมีเสียงเย็นเยียบหนึ่งดังขึ้น “อย่าแตะต้อง จะกัดเจ้า มีพิษ”
เสวียนจียื่นมือบีบงูยาวเจ็ดนิ้วนั่นไว้แล้ว ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ จึงเงยหน้า เห็นเบื้องหน้ามีคนร่างสูงพอๆ กับตนเองยืนอยู่ สวมชุดคราม ร่างผอมบอบบาง ใบหน้ายังมีหน้ากากอสุรา
นางก็ไม่รู้ว่าเป็นคนจากที่ใด ได้แต่มองหน้ากากเขาอย่างนิ่งงัน คนผู้นั้นเห็นงูสีเงินตัวน้อยถูกนางไม่สนใจบีบเอาไว้มองก็รู้ว่าใกล้ตายแล้ว อดไม่ได้รีบกล่าวว่า “ปล่อยมัน!”
“เป็นของเจ้าหรือ” เสวียนจีมองงูน้อยในมือ มันเหมือนใกล้จะไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงรีบโยนให้คนผู้นั้น “ให้เจ้า”
คนผู้นั้นรีบประคองเจ้างูแสนรัก มองดูครู่หนึ่ง ดีที่ยังไม่ตาย ยังมีลมหายใจ เขาเก็บงูน้อยเข้าที่ถุงหนังตรงเอวอย่างระวัง ก่อนหันกลับไปโมโหกล่าวว่า “เหตุใดเจ้า ต้องบีบมัน!”
เสวียนจีได้ยินคำพูดเขาดูไม่คล่อง ล้วนกล่าวกระแทกกระทั้นทีละสามคำ สามคำ คิดว่าคงไม่ใช่คนจงหยวน ดังนั้นจึงเลียนแบบสำเนียงการพูดเขากล่าวว่า “เพราะมันนั่น มันเองที่ ปีนขึ้นมา ข้าคิดว่า มันจะต้อง กัดข้าแน่”
คนผู้นั้นกล่าวเย็นชาว่า “ไม่ดูแล เสี่ยวอิ๋นฮวา ความผิดข้า แต่เจ้าก็ ไม่อาจจะ สังหารมัน หญิงดุร้าย!”
เสวียนจีอยู่ๆ ถูกด่าเป็นหญิงดุร้ายไร้เหตุผล อดแปลกใจไม่ได้ ดีที่นางเกิดมาเกียจคร้าน ย่อมไม่คิดเสียแรงกับเรื่องเช่นนี้ ถูกด่าก็ได้แต่ยักไหล่ ไม่เอามาใส่ใจ หากเป็นหลิงหลงเกรงแต่ว่าคงลงมือกันนานแล้ว
คนผู้นั้นเห็นนางไม่เพียงไม่พูด กลับหลับต่อ อดเก้กังไม่ได้ กล่าวเย็นชาว่า “ไหนเลย ให้เจ้า ร่วมเด็ด บุปผา”
เสวียนจีพลันลืมตา กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เอ๋? เมื่อครู่เจ้ายังกล่าวทีละสามคำสามคำอยู่เลย! ที่แท้เจ้าก็กล่าวสองคำเป็น!”
คนผู้นั้นรู้สึกว่าไม่อาจสื่อสารกับนางได้แม้แต่น้อย หรือว่านางแสร้งทำโง่งมไม่รู้ความ อดชี้หน้ากากตนเองไม่ได้ โมโหกล่าวว่า “เจ้าคิดว่า ข้าคือใคร! ถึงกับกล้า หัวเราะข้า!”
เสวียนจีใจลอยกล่าวว่า “อ้อ เจ้าคือผู้ใด”
คนผู้นั้นโมโหกล่าวว่า “ดูหน้ากาก!”
เสวียนจีถูกเขาเอ็ดจนอึ้งไป ได้แต่มองหน้ากากอย่างว่าง่าย
คนผู้นั้นยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ทีนี้ รู้แล้ว? ว่ามา เจ้าคิดเห็น อย่างไร”
หน้ากากอสุราตำหนักหลีเจ๋อชื่อเสียงทั่วหล้า ทำให้คนได้ยินแล้วหวาดกลัว เขาไม่เชื่อว่ามีคนไม่รู้จักมัน
เสวียนจีตั้งใจมองอยู่เป็นนาน ก่อนจะกล่าวอย่างระมัดระวังเบาๆ ว่า “น่าเกลียดมาก”
บึ้ม เขาได้ยินเสียงระเบิดของหลอดเลือดตนเอง “เจ้า…เจ้าจดจำ จำเอาไว้!” เขาชี้มือสั่นระริกไปที่จมูกนาง โมโหจนเสียงเปลี่ยน “เจ้า…เจ้าชื่อใด?! ชื่อเจ้า!”
เสวียนจีส่ายหน้า กำลังจะบอกเขา แต่ท่านแม่ว่าไม่อาจบอกชื่อตนเองให้คนแปลกหน้ารู้ ได้ยินด้านหน้ามีคนใช้เสียงแปลกๆ กล่าวอะไรสักอย่าง คนผู้นั้นก็หันกายจากไปทันที แต่คิดแล้วไม่อาจยอมได้ กลับไปกล่าวกับนางอย่างเอาเรื่องว่า “จำไว้! ข้าชื่อ อวี่ซือเฟิ่ง! ฉู่เสวียนจี ข้านึกชื่อ ของเจ้า ได้แล้ว! เจ้าคอยดู!”
เสวียนจีมึนงง มองเขาตามคนสวมหน้ากากในชุดครามยาวพวกนั้นออกจากโถงปักบุปผาไป ถึงตอนนี้ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงได้โมโหมากเช่นนั้น
น่าแปลก เห็นๆ อยู่ว่าเขาเองเป็นคนถามนางว่าเห็นเช่นไรกับหน้ากาก นางก็ตอบไปตามจริง…
เรื่องภายนอกและคนภายนอก ช่างยุ่งยากเสียจริง