เนื่องจากงานชุมนุมปักบุปผากระชั้นชิดเข้ามาแล้ว ไม่อาจเสียเวลาระหว่างทางได้อีก ฉู่เหล่ยจับมารปีศาจมัดด้วยตนเองก่อนเหินกระบี่นำกลับไปยังสำนักเส้าหยาง ฉู่อิ่งหงกับตงฟางชิงฉีล้วนบาดเจ็บ ไม่สะดวกเคลื่อนไหว จึงให้อยู่ที่หมู่บ้านลู่ไถต่อ หลังจากนี้ครึ่งเดือนค่อยกลับสำนักเส้าหยางร่วมชมงานชุมนุมปักบุปผา
พอฉู่เหล่ยไป เด็กๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย เจ้าสำนักเส้าหยางผู้นี้แต่ไรมาไม่ค่อยพูดเล่น เป็นดังก้อนหินที่น่ากลัว มีเขาอยู่ เด็กๆ ย่อมไม่กล้าทำตัวตามสบาย คุยเล่นกัน ทิ้งไว้ให้ฉู่อิ่งหงกับตงฟางชิงฉี คนหนึ่งอารมณ์ดี อีกคนอารมณ์ขัน ล้วนไม่วางท่า ดังนั้นเด็กๆ จึงกล้าไม่น้อย
เรื่องจับปีศาจจบลง ก็ถึงคราปฏิบัติการลับของเด็กๆ แล้ว ช่วยเหลือเงือกที่โดนปรักปรำผู้นั้น
หลังบรรดานายพรานที่ติดตามพวกเขาขึ้นเขาก่อนหน้านี้กลับไป นำข่าวขจัดมารปีศาจออกไปประกาศต่อๆ กันแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ย่อมมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ก่อนหน้าลงแรงลงกำลังมากมายยังขจัดปีศาจไม่ได้ เหตุใดคนแค่สองสามคนมาถึงก็จัดการได้ง่ายดาย นับประสาอันใดกับเงือกที่ถูกขังอยู่ในอ่างแก้วผลึกยังตั้งให้เห็นกันอยู่ที่ที่ทำการ ว่ากันว่ามารปีศาจก่อกรรมทำชั่วหลบอยู่ในน้ำนั่น ย่อมต้องเป็นมัน
บรรดานายพรานได้แต่ไร้หลักฐาน โต้เถียงหลายวันไร้ผล ขี้เกียจกล่าวต่อแล้ว
กล่าวถึงเสวียนจี นางหลับครานี้ยาวนานสองวัน หลับถึงวันที่สอง ฉู่อิ่งหงก็ร้อนใจ คิดว่านางเกิดเหตุอันใด เห็นหน้านางแดงสลับขาว ให้คนมาจับชีพจรก็ล้วนว่าไม่ได้ป่วย เช่นนั้นเหตุใดนางยังไม่ฟื้น
ขณะที่ทุกคนยังคงคิดไม่ออก ในที่สุดเสวียนจีก็ฟื้นขึ้นมาในกลางวันของวันที่สาม ฉู่อิ่งหงที่ดูแลอยู่ข้างกายนางมาตลอดก็อดยินดีมิได้ รีบถามนางว่าร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง
เด็กหญิงงุนงงเล็กน้อยกะพริบตาปริบ คิ้วพลันขมวด ถอนใจกล่าวว่า “ท่านอาหง ข้าหิวมาก”
ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “แน่นอนย่อมหิว! เจ้านอนไปตั้งสามวันแล้ว!” นางประคองเสวียนจีขึ้นนั่ง กล่าวว่า “อยากกินอะไรบอกอาหง ข้าจะรีบไปตามคนมาทำให้เจ้า”
“อะไรก็ได้ ขอเพียงใส่ท้องแล้วอิ่ม”
เสวียนจีลงจากเตียงสวมรองเท้า พลันนึกอันใดได้ ถามว่า “ซือเฟิ่งกับศิษย์พี่หกเล่า? ใช่แล้ว ท่านอาหง พวกท่านจับมารปีศาจสองตัวนั่นได้ไหม?”
ฉู่อิ่งหงช่วยนางจัดผมให้เข้าที่ พลางกล่าวว่า “จับได้นานแล้ว! พวกเขาสองคนกินข้าวอยู่ข้างล่าง เจ้าล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปกินด้วยกันพอดี”
ยามนี้จงหมิ่นเหยียนกับอวี่ซือเฟิ่งอยู่ด้านล่างพอดี แต่ไม่ได้กินอะไร หากกำลังหารือแผนการณ์บ่ายนี้ไปช่วยเงือก เดิมจงหมิ่นเหยียนไม่อยากร่วมด้วย แต่ถูกอวี่ซือเฟิ่งกล่าวโน้มน้าวด้วยหลักการยาวเหยียดและสำเนียงแปลกประหลาด
แม้ว่าพวกเขามีวิถีบำเพ็ญเซียนเป็นเป้าหมายหลักแห่งชีวิต หากแต่ไรมาไม่ลืมผดุงคุณธรรม ตอนนี้เงือกเป็นผู้อ่อนแอที่ไร้กำลังต่อสู้ คนทั้งหมู่บ้านมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนที่รู้หน้าตาแท้จริงของมารปีศาจ ไม่ใช่โอกาสดีที่จะได้เป็นวีรบุรุษหรือ!
พูดไปแล้ว พวกเขายังเป็นเด็ก อยู่เฉยไม่เป็น มีโอกาสก็อยากสร้างวีรกรรมสักหน่อย
“เช่นนั้น ก็ตามนี้!” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงเบา ถึงกับแม้หน้าก็ก้มต่ำ ท่าทางเป็นความลับราวกับ ‘พวกเรากำลังหารือเรื่อกการรบ’ “อีกสักครู่ ข้าไปล่อ ความสนใจ พวกเขาก่อน เจ้าค่อยไป ตีอ่างแตก!”
จงหมิ่นเหยียนพยักหน้าหงึก ร่วมกันก้มหน้าก้มตาปฏิบัติการวีรบุรุษเป็นเพื่อนเขา “หากมีเจ้าหน้าที่ทางการมาขัดขวาง เจ้าก็ใช้ระเบิดควัน ข้าพาเงือกไป…ใช่แล้ว อย่าลืมปิดหน้า หากเกิดมีคนจำได้ ก็ยุ่งยากยิ่ง!”
“เจ้ากล่าวได้ ถูกต้อง! ไม่อาจถูก คนจำได้!” อวี่ซือเฟิ่งก้มหน้าควานหาในถุงหนังที่เอวเป็นนาน ก่อนคว้าผ้าดำออกมาสองผืน ส่งเขาผืนหนึ่ง “เจ้าหนึ่ง ข้าหนึ่ง พวกเรา กินข้าวเสร็จ ปฏิบัติการ!”
“ปฏิบัติการอะไร” ด้านหลังมีเสียงเล็กถามขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มสองครั้งตัวแข็งทื่อไปทันที
อวี่ซือเฟิ่งหันกลับไปฝืนยิ้มกล่าวว่า “ไม่มี ไม่มีอะไร…” พลันเห็นร่างบางน่าทะนุถนอมด้านหลัง ผิวกระจ่างชุ่มชื้น ไม่ใช่เสวียนจีแล้วคือผู้ใด เขาอดดีใจไม่ได้ “เจ้า เจ้าตื่นแล้ว!”
เสวียนจีพยักหน้านั่งลงตรงหน้าทั้งสอง “ตื่นเมื่อครู่ พวกเจ้าคุยอะไรกัน”
อวี่ซือเฟิ่งเดิมไม่อยากให้นางร่วมปฏิบัติการ วาจาที่กล่าวกันคราก่อนนั่นล่อหลอกเอาใจนางเท่านั้น จริงๆ เรื่องช่วยเงือกนี้ต้องการคนว่องไว เด็กสาวผู้นี้อันใดก็ไม่เป็น ที่ชำนาญที่สุดก็คือคอยเป็นตัวถ่วง
ดังนั้นเขาคิดแล้ว จึงลังเลกล่าวว่า “คือ…อืม…คือ…”
เสวียนจีพลันโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า “กล่าวถึงไปช่วยเงือกกระมัง ตอนไหน ข้าไปด้วยได้ไหม”
นางรู้สึกเรื่องนี้น่าสนุก ถึงกับไม่คิดเกียจคร้าน
อวี่ซือเฟิ่งหน้าเคร่ง มองไปยังจงหมิ่นเหยียน ผู้ใดจะรู้ว่าเขาสีหน้าแปลก ราวกับเครียดเล็กน้อย ถึงกับมีความหวาดกลัวอยู่ จ้องมองเสวียนจีเขม็ง เขากล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้า มองอะไร”
จงหมิ่นเหยียนตกใจเล็กน้อย ลูบใบหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่มีอะไร…เพิ่มมาคนก็เพิ่มอีกหนึ่งแรง พานางไปด้วยก็ดี”
ศิษย์พี่จง นี่ไม่เหมือนวิสัยท่านเลย! อวี่ซือเฟิ่งมองเขาอย่างตกตะลึง เขากลับพยักหน้ายืนยัน “พาไปด้วย พาไปด้วย ไม่เช่นนั้นนางคนเดียว พูดออกไปทำให้พวกอาจารย์อารู้เข้า คงยิ่งยุ่งยาก”
อวี่ซือเฟิ่งได้แต่เงียบ
เสวียนจีเผยรอยยิ้มบาง เข้าไปตบบ่าจงหมิ่นเหยียน พลางกล่าวว่า “ยากที่เจ้าจะรับปากได้ง่ายเพียงนี้…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ พลันเห็นเขาหดตัวกลับอย่างหวาดกลัว ราวกับนางยื่นไปไม่ใช่มือ แต่เป็นกรงเล็บสัตว์ประหลาดใด
เสวียนจีอึ้งไป อวี่ซือเฟิ่งเองก็อึ้งเช่นกัน ปฏิกิริยารุนแรงสุดก็ยังคงเป็นจงหมิ่นเหยียน เขากระแอมไอท่าทางน่าสงสารอยู่สักหน่อย “ข้า…แค่ก เหมือนว่าจับปีศาจวันนั้นเครียดเกินไป ตอนนี้ยังไม่ฟื้นคืน…พวกเรากินข้าวกันเถอะ! กินเสร็จออกปฏิบัติการกัน”
ในมือนางมีอันใดกัน เสวียนจีอดก้มลงมองมือตนเองไม่ได้ ก็เหมือนเมื่อก่อน เล็กๆ นุ่มๆ ไม่มีอันใดแตกต่าง จงหมิ่นเหยียนเป็นอะไรไป
ฉู่อิ่งหงสั่งอาหารแล้ว นั่งลงยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าเด็กน้อยสามคน เหมือนว่ากำลังหารือเรื่องลับยิ่งใหญ่อันใดกันอยู่ เจ้าสำนักไปแล้ว ทุกคนร่าเริงดีใจราวกับลิง”
“เอ๋? ท่านพ่อไปแล้ว?” มิน่าไม่เห็นท่านพ่อ เสวียนจีรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างประหลาดในทันที
ฉู่อิ่งหงพยักหน้า “งานชุมนุมปักบุปผาสำคัญมาก เขาเป็นเจ้าสำนัก ค่อนข้างงานยุ่ง ใช่แล้ว ตอนบ่ายข้ากับเจ้าเกาะตงฟางจะไปตรวจดูในถ้ำสักรอบ อินทรีกู่เตียวหายไปไร้ร่องรอย ต้องหาสาเหตุให้ได้ พวกเจ้าอยู่รอที่โรงเตี๊ยม อย่าไปไหนมาไหน อย่าหาเรื่องยุ่งยาก รู้ไหม”
สวรรค์เป็นใจ! เด็กทั้งสามมีความลับในใจ พยายามฝืนกลั้นไว้ไม่แสดงออก พยักหน้ารับคำอย่างเชื่อฟัง ที่นี่ไร้ผู้ใหญ่แท้จริงแล้ว หมู่บ้านลู่ไถไม่ใช่สวรรค์ของพวกเขาหรือ
ตามคาด หลังมื้ออาหาร ฉู่อิ่งหงกับตงฟางชิงฉีก็ออกเดินทางแต่เช้า
เด็กสามคนในห้องวางแผนช่วยเหลือกันใหม่อีกครั้ง ยังตั้งชื่อให้ปฏิบัติการนี้อีกว่า ปฏิบัติการไข่มุก เพราะเงือกร้องไห้ออกมาน้ำตากลายเป็นไข่มุกได้
“แผนปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ข้ากับเสวียนจีหลบอยู่ไม่ไกลจากอ่างแก้วผลึก ซือเฟิ่ง เจ้าปลอมตัวเป็นคนธรรมดาผ่านทางมา อาศัยจังหวะทุกคนไม่ทันระวัง ใช้พลังดัชนีทำลายอ่างแก้วผลึกให้แตก ตอนนั้นทุกคนย่อมตกใจแตกตื่น ซือเฟิ่งเจ้าดูจังหวะให้ดี ปล่อยระเบิดควัน ข้ากับเสวียนจีอาศัยจังหวะชุลมุนออกไปช่วยเงือกหนี จากนั้นพวกเราไปสมทบกันที่หน้าทะเลสาบตรงเชิงเขาลู่ไถซาน”
จงหมิ่นเหยียนวางแผนอย่างเป็นการเป็นงาน พูดไปก็ร่างแผนที่คร่าวๆ ไป สุดท้ายทั้งสามก็ท่องเรื่องที่ตนต้องลงมือจนจำขึ้นใจ อวี่ซือเฟิ่งยังแบ่งผ้าดำปิดหน้าให้เสวียนจีผืนหนึ่ง
เขาลองปิดผ้าดำเองดูก่อน หันกลับไปพลันเห็นเสวียนจีจ้องตนอยู่ ใบหน้าเขาแดงไปหมด ติดอ่างกล่าวว่า “เจ้า เจ้ามอง เจ้ามองอะไร!”
เสวียนจีเอียงศีรษะพิเคราะห์เขาเป็นนาน “อา เจ้าถอดหน้ากากออกตอนไหน ไม่ใช่ว่าห้ามถอดหรือ”
สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งหม่นหมอง “หน้ากาก พังแล้ว ถูกมารปีศาจ ทำพังแล้ว” เขาเห็นดวงตาโตใสกระจ่างของเสวียนจียังจับจ้องใบหน้าตน อดเก้กังและอับอายไม่ได้ “เจ้า เจ้าเหตุใด มองเช่นนี้! เด็กผู้หญิง จงหยวน จริงๆ เลย!”
นับประสาอันใดกับเขาที่ไม่ได้สวมหน้ากากแล้ว! เมื่อครู่นางอยู่ด้านล่างคงได้เห็นแล้ว แต่กลับไร้ปฏิกิริยา ทำเอาเขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่เป็นนาน คิดว่าตนเองหน้าตาน่าเกลียด ผู้ใดจะคิดว่าที่แท้นางไม่ได้สนใจอันใด! ฟ้าเท่านั้นรู้ว่าเด็กน่าตายนี่มีตาปกติไว้มองอันใด!
เสวียนจีจ้องมองเขาเป็นนาน จนเขาใกล้จะอายจนโมโหแล้ว นางผ่อนลมหายใจยิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง ที่แท้เจ้าก็หน้าตาดีเช่นนี้ ข้าชอบเจ้าเช่นนี้ วันหน้าอย่าสวมหน้ากากเลย! ปิดบังไว้น่าเสียดายมาก?”
วาจานี้กล่าวออกมา ทั่วบริเวณก็เงียบกริบ
สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวแดง ยามนี้กล่าวอันใดไม่ออกแม้สักคำแล้วจริงๆ
เป็นนานกว่าเขาพ่นวาจาประหลาดอันใดออกมาเป็นชุด คิดว่าคงเป็นวาจาภาษาบ้านเกิด เขากล่าวจบเขาก็ลุกจากไป เดินไปที่ประตู หันหลังให้พวกเขาโบกมือ “เร็ว รีบไป!”
เสวียนจีค่อยๆ เดินตามไป พลันได้ยินจงหมิ่นเหยียนด้านหลังร้องเรียกนาง
“เสวียนจี เจ้า…” เขาพูดถึงเบาๆ วาจามีอารมณ์บางอย่างที่ไม่ชัดเจนนัก อืมครึม ไม่กระจ่าง
“อันใด?” นางมองเขาอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ ไม่มีอันใด” จงหมิ่นเหยียนตบบ่านาง “ไปเถอะ ครั้งนี้อย่าได้คอยเป็นตัวถ่วงพวกเราอีก”