วันรุ่งขึ้น งานชุมนุมปักบุปผาที่หลายคนตั้งตารอคอย ในที่สุดก็เปิดฉากอย่างเป็นทางการ
ว่ากันว่างานชุมนุมปักบุปผาเดิมเป็นงานประลองเจ็ดยอดเขาของสำนักเส้าหยางเอง พันปีก่อนสำนักเส้าหยางยังไม่ได้เจ็ดยอดเขารวมเป็นหนึ่งเช่นวันนี้ แต่เป็นพื้นที่แยกกันชัดเจน ราวกับทรายกระจัดกระจาย
เส้าหยางสืบทอดมาจนห้าร้อยปีในรุ่นเจ้าสำนักเปินหยาง ในที่สุดเจ็ดยอดเขาก็ร่วมเป็นหนึ่งเดียว ร่วมแรงกันต้านภายนอก ซึ่งก็คือสำนักเซวียนหยวนแห่งเขาหนานซาน ในเวลานั้นสำนักเซวียนหยวนทรงอิทธิพลเทียมฟ้า มีเขาหนานซานเป็นศูนย์กลาง ขยายออกรอบทิศ กลืนกินสำนักบำเพ็ญเซียนน้อยใหญ่หลายสิบสำนัก
พวกเขาไม่อาจต้านทานอิทธิพลได้ ในที่สุดเส้าหยางจึงเสียเปรียบมาก
หากผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า ขณะที่ตนเองตกในวิกฤต ภายในที่ต่อสู้กันเองมาตลอดอย่างเส้าหยาง ในห้วงเวลาสำคัญกลับสามัคคีเป็นหนึ่ง หนักแน่นมั่นคงราวกำแพงเมือง
สำนักเซวียนหยวนย่อมไม่อาจลงมือได้ดังใจหวัง เส้าหยางเองก็เสียหายหนักมาก สองฝ่ายต่างเสียหายหนัก และตั้งแต่นั้นมา เซวียนหยางกับเส้าหยางก็ราวลิ้นกับฟัน มาจนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นดังน้ำแข็งที่ไม่เคยหลอมละลาย
สองฝ่ายตกในห้วงสงครามเย็น
เจ้าสำนักเปินหยางเป็นผู้มีสติปัญญาและความสามารถสูง เพื่อนำพาชื่อเสียงเส้าหยางให้ฟื้นคืนเช่นอดีต จึงได้ประกาศต่อใต้หล้า จากนี้เจ็ดยอดเขาแห่งเส้าหยางไม่ปิดตัวจากภายนอกอีกแล้ว ขอเรียนเชิญผู้บำเพ็ญเซียนใต้หล้าร่วมท้าทาย ผู้ชนะย่อมขอร้องเส้าหยางได้หนึ่งเรื่องในขอบเขตที่กระทำได้
เขายังได้เชิญอาวุโสคุณธรรมสูงส่งแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงมาตัดสินการประลอง
ชื่อเสียงการประลองเจ็ดยอดเขาก็เลื่องลือออกไปอย่างช้าๆ ผู้ได้ยินต่างพากันมาท้าทายกันอย่างคึกคัก การประลองห้าปีมีหนึ่งครั้ง แต่ต้นนั้นเส้าหยางก็ชนะมากกว่าแพ้ การประลองเจ็ดยอดเขาจึงกลายเป็นโอกาสที่สำนักใหญ่ใต้หล้ามีโอกาสได้แลกเปลี่ยนประลองยุทธ์กัน
แต่นั้นมาเส้าหยางก็มีชื่อเสียงบารมีเกรียงไกร ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่ง เจ็ดยอดเขารวมเป็นหนึ่ง ไม่มีการแก่งแย่งอันใดกันอีก และการประลองเดิมนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็นงานชุมนุมปักบุปผา ค่อยๆ พัฒนาเป็นการประลองศิษย์ยอดเยี่ยมรุ่นเยาว์ของห้าสำนักใหญ่ในวันนี้ ผู้ชนะจะได้ปักดอกโบตั๋นดอกหนึ่งที่หน้าอก
ตั้งแต่ที่สำนักเซวียนหยวนบุกโจมตีเส้าหยางครั้งนั้นแล้วก็ไม่เคยได้ชัยอีก ไม่อาจขยายอิทธิพลออกไปได้อีก
จนถึงตอนนี้ งานชุมนุมปักบุปผาจัดมาเกินร้อยครั้งแล้ว ผู้ชนะแต่ละสำนักล้วนมี โดยเฉพาะเกาะฝูอวี้และตำหนักหลีเจ๋อที่พัฒนารวดเร็วในระยะเวลาสองปีมานี้
ผู้ชนะในงานครั้งก่อนมาจากเกาะฝูอวี้ ดังนั้นครั้งนี้ศิษย์เกาะฝูอวี้เข้าสู่การประลองรอบหลักได้ทันที
ครั้งนี้ลานประลองบนยอดเขาเส้าหยางได้จัดการเป็นระเบียบเรียบร้อย รอบเวทีประลองยุทธ์ขนาดใหญ่ทั้งเจ็ดก็ล้วนมีผ้าแพรหลากสีประดับ ปลิวสะบัดตามแรงลม แลดูอลังการยิ่ง
เจ้าสำนักใหญ่ห้าสำนักแยกกันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซืออี่นอกสนาม สนทนากันเบาๆ เป็นระยะ ผู้อื่นยังดี มีเพียงเจ้าสำนักเซวียนหยวนที่เงียบกริบ หน้าเชิดมองฟ้าไม่มองผู้ใด ฉู่เหล่ยรู้ พวกเขาแต่ไรมีนิสัยเช่นนี้ จึงไม่คิดสนใจ เพียงแค่ยิ้มพูดคุยกับสามเจ้าสำนักเท่านั้น
เวทีประลองด้านล่างเป็นพื้นที่ว่าง มีศิษย์อายุน้อยที่ได้ร่วมงานครั้งนี้ยืนกันเต็มพื้นที่ สำนักอื่นนับว่าปกติดี มีเพียงตำหนักหลีเจ๋อในชุดครามสวมหน้ากากที่ทำให้บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์สำนักอื่นที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างพากันมองไม่หยุด
พื้นที่ว่างรอบนอกอีกชั้น ก็เห็นมีศิษย์ที่มาชมและคนนอกยืนกัน เนื่องจากศิษย์รุ่นอักษรหมิ่นสำนักเส้าหยางล้วนอายุน้อย ยังเข้าร่วมงานไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เป็นผู้ชม ร่วมชมกับศิษย์สำนักต่างๆ พยายามยืดชะเง้อคอมองมาด้านใน ยังมีเสียงหัวเราะพูดคุยดังมาเป็นระยะ
“นี่ รีบดูเด็กหญิงชุดชมพูผู้นั้นเร็ว! เป็นคนจากหุบเขาเตี่ยนจิงกระมัง ยากยิ่งที่หุบเขาเตี่ยนจิงจะมีสาวงาม!”
“เพ้ย ปากสุนัขกล่าววาจาไร้งาช้างเล็ดรอด! เจ้าก็รู้จักแต่มองคนไหนงาม!”
“เจ้าใช่ว่าไม่ดูหรือ อ่อ…ข้าไม่มองสาวงาม ข้ามองหนุ่มรูปงาม…”
“ไปตายซะ! ระวังถูกเจ้าสำนักได้ยินเข้า ตัดลิ้นเจ้าเสีย!”
……
เสวียนจีได้ยินหลายคนด้านหลังกำลังวิพากษ์ว่าหญิงใดงดงาม ชายใดรูปหล่อ อดเงยหน้าถามตู้หมิ่นหังไม่ได้ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรู้สึกผู้ใดรูปงามกัน”
ตู้หมิ่นหังยิ้มเฝื่อน “เจ้าอย่าได้เลียนแบบพวกไร้สาระพวกนั้น พวกเราผู้บำเพ็ญเซียน หน้าตาเป็นอันดับรองที่สุด เจ้าไม่สู้ถามว่าข้ารู้สึกผู้ใดร้ายกาจจะดีกว่า”
“เช่นนั้นศิษย์พี่ใหญ่รู้สึกผู้ใดร้ายกาจ” จงหมิ่นเหยียนหูไว ได้ยินพวกเขาคุยกัน ก็รีบเข้ามาร่วมวงทันที
“อืม…” ตู้หมิ่นหังเงียบไปครู่หนึ่ง อดมองไปยังร่างชุดแดงหนึ่งขาวหนึ่งในลานด้านในไม่ได้ กล่าวว่า “ครั้งก่อนเพียนเพียนกับอวี้หนิงแห่งเกาะฝูอวี้ เพลงกระบี่หยกประสานร้ายกาจจนน่าตกใจ เพียงแต่ว่าตอนนั้นอายุยังน้อย กำลังยังไม่พอ ดังนั้นจึงแพ้ให้ศิษย์พี่ร่วมสำนัก ข้ารู้สึกครั้งนี้พวกเขาสองคนมีหวังว่าจะได้รับชัยชนะมากที่สุด”
“ไหนเพียนเพียนอวี้หนิง? ข้าดูด้วย!” หลิงหลงกอดของกินเล่นในมือกองโต พยายามเบียดตัวเข้าไป เพิ่งได้ยินวาจาตู้หมิ่นหังนางก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
จงหมิ่นเหยียนแย่งเนื้อวัวห้ารสห่อหนึ่งจากอ้อมแขนนางมา พลางหัวเราะหลบทั้งหมัดและเท้างามของหลิงหลงพลางกล่าวว่า “ใช่ เป็นสองคนนั้นที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ หนึ่งแดงหนึ่งขาว ชายงามหญิงงาม กระบี่หยกประสานของสองคนยังร้ายกาจและงดงามอีกด้วย เพียงแต่ว่าวันนี้รอบแรกยังไม่มีคนเกาะฝูอวี้ ต้องพรุ่งนี้จึงจะได้เห็นพวกเขา!”
หลิงหลงพิงตัวบนราวกั้น หรี่ตามองอยู่นาน สุดท้ายเบ้ปาก “ก็ไม่มีอันใดน่ามอง หากจะว่างดงามแล้ว ผู้ใดก็ไม่อาจเทียบฮูหยินเกาะฝูอวี้ผู้นั้น”
เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ฮูหยินอันใด”
จงหมิ่นเหยียนส่งถั่วปากอ้าให้นางห่อหนึ่ง กล่าวว่า “ปีนั้นเรียกเจ้าไปเที่ยวเกาะฝูอวี้ด้วยกัน เจ้าเอาแต่เกียจคร้านไม่ยอมไป แน่นอนย่อมไม่รู้ ฮูหยินก็คือฮูหยินตงฟาง ภรรยาเจ้าเกาะตงฟาง แต่นางชื่ออะไร มาจากที่ใด ไม่มีใครรู้ แต่ความงามของนางนั้นเรียกได้ว่าหนึ่งในใต้หล้า ครั้งนั้นข้ากับหลิงหลงกลับมาแล้วก็ยังลืมไม่ลง เจ้าเกาะตงฟางมีสาวงามเช่นนั้นเป็นภรรยา ช่างเป็นวาสนาเสียจริง”
เสวียนจีได้ยินเขากล่าวชมเช่นนี้ อดมองไปไม่ได้ เลียนแบบหลิงหลงปีนรั้วชะเง้อคอมอง พลางถามอีกว่า “เช่นนั้นงานครั้งนี้ฮูหยินเจ้าเกาะมาไหม อยู่ไหน”
จงหมิ่นเหยียนชี้ไปทางกลุ่มเจ้าสำนักที่นั่งอยู่ “อยู่ข้างเจ้าเกาะตงฟาง อา ครั้งนี้นางคลุมหน้าด้วยผ้าแพร…ก็ถูกต้อง นางเป็นสาวงามเพียงนี้ หากไม่ปิดบังใบหน้าไว้ ก็คงทำให้เกิดความวุ่นวายแน่”
เสวียนจีมองตามไปทันที เห็นข้างกายตงฟางชิงฉีมีสตรีอรชรนางหนึ่งคลุมใบหน้าด้วยผ้าแพรขาวบาง
นางสวมชุดตัวนอกสีม่วงอ่อน กระโปรงยาวจรดพื้น ผมดำขลับราวแพรไหมทิ้งประบ่า ก็ไม่เห็นใบหน้าหรือกิริยาใด แต่เพียงมองเช่นนี้ก็ไม่อาจละสายตาได้ ในใจมีความรู้สึกคันยิบๆ แปลกๆ อยากจะมองนางให้มากอีกสักหน่อย
หลิงหลงกระซิบข้างหูนางกล่าวเบาๆ ว่า “มองตาค้างเลย? เอ๋ คลุมแพรบางเจ้าก็มองตาค้าง ก็ไม่แปลกที่ครั้งก่อนข้ากับเจ้าหกมองตาค้างอ้าปากกว้าง เกือบทำชามข้าวร่วงตอนกินข้าวเลย”
เสวียนจีเพียงหวังว่ายามนี้จะมีลมพัดมาสักวูบหนึ่ง จะได้พัดผ้าแพรคลุมหน้านางออก มองให้เห็นว่าหน้าตาเป็นเช่นไร
ขณะกำลังนิ่งตะลึงอยู่นั้น พลันมีคนเดินมาจากทางลานด้านใน ชุดขาวรองเท้าสูง ไหล่กว้างเอวสอบ เป็นชายอายุน้อย เขาเดินมาทางพื้นที่เจ้าสำนัก ประสานมือกล่าวสองสามคำ จากนั้นหันกายกำลังจะไป ฮูหยินตงฟางพลันกวักมือเรียกเขาราวกับจะไปกับเขา
คนผู้นั้นราวกับลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะไม่อาจทานการกวักมือเรียกไม่หยุดของนางได้ ในที่สุดก็เข้าไปยืนข้างกายนาง ไม่ขยับเคลื่อนไหว
“คนผู้นั้นเป็นใคร” เสวียนจีมองจนเหนื่อยแล้ว หันไปคว้าถั่วห้ารสยัดใส่ปากเคี้ยวหยับๆ กระซิบข้างหูคุยกับหลิงหลง
“เป็นพ่อบ้านใหญ่เกาะฝูอวี้ ครั้งก่อนที่ไปเกาะได้รู้จักเขา หน้าตาไม่เลวนะ! เพียงแต่ใบหน้ามีรอยแผลเป็น น่ากลัวอยู่สักหน่อย เขาไม่ใช่ศิษย์เกาะฝูอวี้ ไม่เป็นวิทยายุทธ์ ปกติทำหน้าที่ดูแลเรื่องทั่วไปในเกาะฝูอวี้ ได้ยินว่ามีความสามารถมาก!”
หลิงหลงพูดออกรสออกชาติ เลยเล่าข่าวซุบซิบเกี่ยวกับ ‘คนดังในยุทธภพ’ ที่ได้ยินได้ฟังมาจากหลายทางทั้งหมดออกไป
“เห็นนั่นไหม ที่สวมชุดดำขลิบขาว คนผู้นั้นเป็นศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิง งานชุมนุมปักบุปผาครั้งก่อนสู้เพียนเพียนกับอวี้หนิงไม่ได้ ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลกลางลานประลอง!”
“อา ยังมีคนนั้นอีก! เจ้าคนเลวแห่งสำนักเซวียนหยวน การประลองครั้งก่อนสู้พวกเราไม่ได้ ก็ซัดอาวุธลับ ผลปรากฎถูกท่านพ่อจับได้คาหนังคาเขา เขายังปากแข็ง! คิดไม่ถึงปีนี้ยังกล้ามาร่วมงานอีก สำนักเซวียนหยวนไม่คนดีสักคนเลยจริงๆ!”
หลิงหลงกัดฟันพุดอย่างเจ็บแค้น
วาจาเพิ่งกล่าวจบ ก็พลันได้ยินเสียงกลองดังจากรอบสนามประลอง ราวกับคลื่นทะเลพันหมื่นระลอกถาโถมมา คลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับจะกระชากใจคนให้ออกมาโลดเต้น
อารมณ์ทุกคนในที่นั้นฮึกเหิมขึ้น เพราะทุกคนล้วนรู้ว่างานชุมนุมปักบุปผาเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว