สองคนนั้นวิ่งมาด้านหน้า ก่อนกล่าวว่า “เมื่อครู่เหมือนเห็นอาจารย์อาอิ่งหงตามเจ้าสำนักกับฮูหยินเจ้าสำนักเข้าไปในงานจับสลากพิธีปักบุปผาแล้ว อาจารย์อาฝากวาจามากับพวกเจ้าเมื่อใดกัน?”
จงหมิ่นเหยียนฝืนยิ้มกล่าวว่า “เมื่อเช้านี้ แต่เพราะข้ามีธุระอื่นอีก ดังนั้นจึงมาหาฮูหยินเจ้าสำนักไม่ทัน”
สองคนนั้นกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเข้าไปแล้ว ฮูหยินเจ้าสำนักกับอาจารย์อาอิ่งหงเมื่อครู่อยู่ในพิธีปักบุปผา มีวาจาอันใดก็คงกล่าวกันแล้ว เจ้าสองคนกลับไปได้แล้ว ใกล้จะจับสลากแล้ว เจ้าสำนักและผู้อาวุโสแต่ละสำนักล้วนอยู่ด้านใน ไม่อาจรบกวนพวกเขา”
จงหมิ่นเหยียนคิดกล่าวต่อ คิดร้อยพันในใจอย่างเร็ว แต่ก็คิดหาข้ออ้างใดไม่ออก ได้แต่หันกายคิดรีบรุดจากไป ผู้ใดจะรู้ว่าหลิงหลงกลับเสียงเย็นชากล่าวว่า “ช่างไม่รู้จักดีชั่ว ท่านอาหงหากมีวาจาอันใดพูดต่อหน้ามารดาข้าได้ ต้องใช้ให้พวกเรามาถ่ายทอดหรือ แค่เหตุผลเท่านี้ยังไม่เข้าใจ ต้องให้พูดออกมา!”
สองคนนั้นเห็นเป็นหลิงหลงก็อดหายใจขัดไม่ได้ หันกลับมาคิดดู อาจเป็นอาจารย์อาอิ่งหงกับฮูหยินเจ้าสำนักมีสิ่งใดไม่อาจเปิดเผย จึงให้บุตรสาวเจ้าสำนักหลิงหลงมาถ่ายทอด นี่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ระหว่างผู้หญิงด้วยกัน มักมีเรื่องยุ่งยากหนึ่ง ชอบอ้อมไปมาไม่กล่าวกระจ่าง ผู้ร้ายกาจไม่ธรรมดาเช่นฮูหยินเจ้าสำนักและอาจารย์อาอิ่งหงเช่นนี้ก็ไม่อาจพ้นวิถีปุถุชนไปได้
คิดถึงตรงนี้ ก็ได้แต่ลังเลปล่อยพวกเขาไป
เดินทะลุผ่านแท่นหยกมรกตมาได้ อ้อมประตูหน้าโถงใหญ่ไปลานด้านหลัง จงหมิ่นเหยียนจึงได้หลุดหัวเราะออกมา เคาะศีรษะของหลิงหลงเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าก็ช่างเหลวไหลจริง! ทำเอาอาจารย์อาอิ่งหงต้องการแบกรับความผิดต้องสงสัยนี้โดยไม่รู้เรื่องไปกับเจ้าด้วย”
หลิงหลงยู่ปากโมโหฮึดฮัดกล่าวว่า “ผู้ใดใช้ให้พวกเขาเอาเรื่องเล็กน้อยมาเป็นเรื่องใหญ่กัน! แม้ว่าจับสลากแล้วอย่างไร มิใช่เรื่องไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้เสียเมื่อไร ราวกับป้องกันขโมยอย่างไรอย่างนั้น พวกเราจะไปทำอันใดได้!”
ขณะพูดนั้น โถงงานปักบุปผาก็อยู่ตรงหน้า แม้ว่าชื่อว่าโถง แต่ความจริงเป็นอาคารสูงหลังหนึ่ง หน้าอาคารมีสระน้ำมรกตและป่าไผ่ นกกระเรียนขาวคอยาวระหงสองสามคู่กำลังหากินพักผ่อนอยู่บนผิวน้ำ อาจเพราะแท่นหยกมรกตคุ้มกันแน่นหนามาก หน้าโถงปักบุปผาถึงกับไม่มีแม้แต่คนเดียว
จงหมิ่นเหยียนเห็นหลิงหลงจะบุกเข้าไปด้านในอย่างไม่สนใจอันใด จึงรีบเข้าไปดึงไว้ กล่าวว่า “ไม่อาจทำให้ทุกคนตกใจ พวกเราแอบอยู่ใต้หน้าต่าง เอาหูแนบลอบฟังก็พอ”
พูดอยู่นั้น สองคนก็ย่อตัวราวแมวน้อยค่อยๆ ย่องไปทางใต้หน้าต่างด้านตะวันตก หน้าต่างนั้นปิดไม่สนิท ชาหอมอ่อนๆ ที่ด้านในส่งกลิ่นเล็ดรอดออกมาจากช่องที่เปิดอยู่ หอมละมุนยิ่งนัก
ได้ยินคนในนั้นกล่าววาจา เป็นเจ้าสำนักฉู่เหล่ยแห่งเส้าหยาง
“…เรื่องจับสลาก ก็ขอให้ทำตามระเบียบแบบเดิมทุกปีดีไหม ทุกท่านเขียนชื่อลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ จากนั้นให้ภรรยาข้าเป็นคนจับ ห้าคนแรกก็จะรับหน้าที่ไปเด็ดบุปผา”
เด็ดบุปผา? หลิงหลงเหมือนงุนงงไปครู่หนึ่ง จงหมิ่นเหยียนใช้ปากบอกอย่างไร้เสียงว่า มารปีศาจ นางเข้าใจทันที ที่แท้เป็นการจับสลากให้ผู้ใดไปจับมารปีศาจที่เป็นเรื่องสำคัญหลักของงานนี้
ฉู่เหล่ยเพิ่งกล่าวจบ ก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะแหบพร่ากล่าวว่า “เจ้าสำนักฉู่ช่างใจแคบนัก งานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้จัดที่สำนักเส้าหยางของท่านก็แล้วไป จับสลากยังให้ฮูหยินท่านมาจับอีก ช่างเป็นเรื่องฟ้าเหมาะดินเหมาะ โอกาสดี พื้นที่ได้เปรียบเสียจริง”
ฉู่เหล่ยถูกคนผู้นี้กล่าววาจาไม่เหน็บหนาวไม่ร้อนรนเช่นนี้ออกมา สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เพียงยิ้มกล่าวว่า “นักพรตซ่งกล่าวเกินไปแล้ว เรื่องจับสลากย่อมจัดการกันอย่างใสสะอาดเปิดเผย ภรรยาข้าไม่มีรายชื่อในนั้น ดังนั้นจึงให้นางเป็นผู้จับ หากท่านคิดว่าไม่เหมาะ ไม่สู้เสนออีกท่านมาจับสลาก ข้าย่อมไร้ข้อโต้แย้ง”
ผู้นั้นกลับกล่าวว่า “พวกเราล้วนเป็นแขก เจ้าบ้านย่อมจัดการตามสบาย ไหนเลยจะมีข้อโต้แย้งใด! มา มา! รีบจับสลาก! รีบจัดการงานชุมนุมปักบุปผานี้ให้เสร็จ กลับบ้านนอน!” กล่าวจบก็นิ่งไป กล่าวอีกว่า “หลายคราก่อนผู้เด็ดบุปผาก็ไม่มีสำนักเส้าหยาง ครั้งนี้ก็แล้วไปเถอะ!”
ฉู่เหล่ยได้ยินความหมายในวาจาเขา ถึงกับกล้าตำหนิว่าพวกเขาแอบช่วยเหลือกันส่วนตัว ในใจอดโมโหไม่ได้ แต่เขาบำเพ็ญมาดีมาก สีหน้ายังคงนิ่งสุภาพไม่แปรเปลี่ยน ท่าทางนิ่งเรียบ กำลังจะโต้วาจานี้กลับไป ก็พลันได้ยินเสียงทุ้มหนักจากอีกมุมหนึ่ง กล่าวว่า “นักพรตซ่งไยต้องร้อนใจ อย่างไรก็จับกันที่นี่ ท่านยังกลัวสลากไร้ตาเดินหายไปเองได้หรืออย่างไร สำนักเซวียนหยวนพวกท่านก็มีผู้อาวุโสมาก ศิษย์ก็เก่งกล้า ย่อมไม่เห็นการเด็ดบุปผานี้อยู่ในสายตา ไม่สู้มอบโอกาสนี้ให้พวกเราเกาะฝูอวี้แล้วกัน?”
นักพรตซ่งยิ้มมีเลศนัย กลับไม่กล่าวอันใดอีก ฉู่เหล่ยเองก็ยิ้มและก็ไม่กล่าวอันใดอีก เหอตันผิงแจกแผ่นไม้ไผ่ไปยังโต๊ะตรงหน้าทุกคน ยิ้มกล่าวว่า “ทุกท่านเขียนชื่อแซ่ลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ จากนั้นวางลงในตะกร้าไผ่ ห้าคนแรกที่จับได้ ก็ย่อมรบกวนทุกท่านไปเด็ดบุปผาแล้ว” นางยิ้มกล่าวกับตนเอง ราวกับไม่ได้ยินที่นักพรตซ่งกล่าวก่อกวนก่อนหน้า
หลิงหลงได้ยินไม่ชัด คิดจะยกศีรษะให้สูงอีกสักหน่อย จงหมิ่นเหยียนรีบดึงนางลงมาอย่างเบาที่สุด กระซิบว่า “อย่าขยับ ข้างในล้วนเป็นผู้สูงส่งมีตบะ ระวังถูกพบเข้า ตอนนี้ข้าทดสอบเจ้าก่อน ใต้หล้ากล่าวถึงห้าสำนักใหญ่คือห้าสำนักใด”
ที่แท้เขากลัวหลิงหลงอยากรู้มากไป ถูกคนพบเข้าว่าพวกเขากำลังแอบดู ดังนั้นจึงได้หาเรื่องมาดึงความสนใจนางโดยเฉพาะ นางตกหลุมดังคาด ส่ายหน้าส่ายศีรษะ กล่าวอย่างได้ใจว่า “แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่รู้? ข้าบอกเจ้าละกัน ห้าสำนักใหญ่ก็มีสำนักเส้าหยางแห่งจงหยวน สำนักเซวียนหยวนแห่งเขาหนานซานใต้ เกาะฝูอวี้แห่งมหาสมุทรเหนือ หุบเขาเตี่ยนจิงแห่งทุ่งร้างเหนือ ตำหนักหลีเจ๋อแห่งทะเลตะวันออก ห้าสำนักใหญ่ทุกแห่งล้วนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ศิษย์มากมายล้วนแก่งแย่งแข่งกัน มีเพียงระยะนี้สำนักเซวียนหยวนเหมือนตกต่ำลงไปอยู่บ้าง ศิษย์แต่ละปีสู้ปีก่อนไม่ได้ แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นสายวิถีฟ้า พลังลึกล้ำ ยังคงไม่อาจมองข้าม ตำหนักหลีเจ๋อเป็นสำนักใหม่ที่เพิ่งรุ่งเรืองมาห้าสิบปีนี้ ตอนนี้ยิ่งทวีอำนาจ ดูแล้วคิดจะไล่ตามแซงหน้าเส้าหยางพวกเรา แต่ข้าคิดว่าคนตำหนักนั้นล้วนแปลกประหลาดมาก มองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง…เกาะฝูอวี้กับหุบเขาเตี่ยนจิงพวกเราก็คุ้นเคยอย่างมาก ไม่ต้องให้ข้าบอกเจ้าแล้วกระมัง”
จงหมิ่นเหยียนเผยยิ้มกว้าง แสร้งทำเป็นพยักหน้าติดๆ กัน พลันกล่าวเบาๆ ว่า “เรื่องอื่นไม่พูด ยังจำที่พวกเราไปเที่ยวเกาะฝูอวี้เมื่อสองปีก่อนได้ไหม คิดไม่ถึงว่าเกาะเล็กๆ ถึงกับมีทะเลบุปผาที่งดงามเพียงนั้นได้ แต่พอฮูหยินเจ้าเกาะออกมา ดอกไม้ทั้งหมดพลันหมองลงทันที…”
หลิงหลงเหล่มองเขา “ดีเลย ที่แท้บรรดาพวกท่านศิษย์พี่ ปกติก็สังเกตเรื่องเช่นนี้ด้วย! วันหน้าข้าจะไปบอกท่านพ่อว่าพวกท่านจิตใจไม่อยู่กับตัว ต่อหน้าสาวงามไม่สนใจฝึกวิชาแล้ว!”
จงหมิ่นเหยียนรู้ว่านางล้อเล่น ย่อมหยอกล้อเล่นไปตามนางต่อ ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า “ยังว่าข้า ตอนแรกใครเป็นคนมองจนตาค้างกัน?”
หลิงหลงถอนหายใจ “จริงๆ นะ ข้าก็ไม่เคยได้พบเห็นคนที่งามไปกว่านางอีก…” กล่าวจบก็อดไม่ยอมไม่ได้ เบ้ปากกล่าวว่า “แน่นอนนอกจากท่านแม่ข้า!”
จงหมิ่นเหยียนตั้งใจแหย่นางเล่น ทำท่าทำทางว่าจะปีนหน้าต่างดูด้านใน ปากก็กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าดูหน่อยว่าฮูหยินเจ้าเกาะครั้งนี้มาหรือไม่ ค่อยดูนางให้พอ!”
หลิงหลงหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง รีบผลักเขากล่าวว่า “ระวังบรรดาคนหุบเขาเตี่ยนจิงพวกนั้นลากเจ้าออกไปตี!”
นางยังกล่าวไม่จบ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน “เอ๋” เสียงหนึ่ง สองคนตกใจรีบหดตัวลงใต้หน้าต่าง กลั้นลมหายใจรอ ไม่กล้าขยับ
เหอตันผิงยามนี้กล่าวว่า “ขอทุกท่านใส่แผ่นไม้ไผ่ลงในตะกร้าไม้ไผ่นี้”
ดังนั้นทุกคนจึงพากันเขียนชื่อลงไปบนแผ่นไม้ไผ่และโยนลงในตะกร้าไผ่ ถึงหน้านักพรตซ่งเขากลับไม่ขยับ เพียงแค่เล่นแผ่นไม้นั้นในมือ งอเป็นรูปร่างต่างๆ
เหอตันผิงจึงยิ้มถาม “นักพรตซ่งยังเขียนไม่เสร็จหรือ”
นักพรตซ่งส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงแปลกๆ ว่า “คิดดูแล้วสำนักเซวียนหยวนเดิมเป็นแขก ไม่ควรกล่าวอันใด แต่เส้าหยางถึงกับเป็นผู้จัดงานชุมนุมปักบุปผานี้ ก็ไม่ควรแอบเก็บงำส่วนตัว สำนักเส้าหยางของท่านเห็นอยู่ว่ามีสองคนยังไม่ได้เขียนชื่อลงบนแผ่นไม้ไผ่ แต่กลับชี้นำให้พวกเราใส่ลงไปก่อน แท้จริงแล้วหมายความเช่นไร”
เหอตันผิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ทราบนักพรตซ่งหมายถึงอันใด สำนักเส้าหยางข้าเจ็ดสำนักสาขา เจ็ดคนล้วนอยู่ตรงนี้ นักพรตซ่งกล่าวว่าสองคนไม่ทราบคือผู้ใด?”
นักพรตซ่งยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ที่แท้ไม่ใช่ศิษย์เส้าหยาง! เช่นนั้นคิดแล้วก็คงเป็นพวกอ่อนหัดที่มาแอบดู! ข้าขอดูสักหน่อยว่าผู้ใดกล้าเพียงนี้!”
ชุดนักพรตตัวใหญ่ของเขาสะบัดเบาๆ ในแขนเสื้อก็มีไอกระบี่เปล่งแสงเย็นสิบสาย พร้อมเสียงแหลมพุ่งตรงไปทางพวกหลิงหลงที่แอบอยู่หลังหน้าต่าง วิชานี้เรียกว่าหมื่นกระบี่ซิ่ววั่น เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาที่สำนักเซวียนหยวนภาคภูมิใจ ทุกคนในที่นั้นคิดไม่ถึงว่าเขาบอกจะลงมือก็ลงมือทันที ทันทีที่ปล่อยกระบวนท่าก็เป็นกระบวนท่าที่ยอดเยี่ยมได้เช่นนี้ อดตกใจไม่ได้
เห็นกำแพงด้านนั้นล้วนถูกพลังกระบี่สะเทือนเป็นเศษผง เงาคนสีเทาร่างหนึ่งแวบไปถึง ถึงกับไปบังด้านหน้าพลังกระบี่! ได้ยินเสียงปะทะดัง กำแพงโถงถูกพลังกระบี่กระแทกละเอียดเป็นเศษผง ฝุ่นม้วนตลบ ทุกคนพากันส่งเสียงตกใจ ไม่คิดว่าเพียงพริบตาจะร้ายกาจเช่นนี้
นักพรตซ่งสีหน้าเขียวคล้ำเป็นนานกว่าจะยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ไม่เสียทีที่เป็นเจ้าสำนักฉู่ วิชาเก่งกล้า ความสามารถล้ำเลิศ!” เขาจ้องมองไปที่ชายราวเทพเซียนท่ามกลางฝุ่นควันผู้นั้นที่ราวกับไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย สีหน้าชายผู้นั้นเรียบเฉยราวกับกำลังเดินเล่นสบายอารมณ์ ในมืออุ้มเด็กน้อยสีหน้าเขียวคล้ำไว้สองคน ก็คือหลิงหลงและจงหมิ่นเหยียน
เหอตันผิงพอเห็นบุตรสาวที่รักไม่เป็นอันใด ในใจพลันแตกตื่น ถึงกับลืมตำหนิ รีบเข้าไปประคองใบหน้านาง ถามติดๆ กันว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม บาดเจ็บไหม”
หลิงหลงถูกทำให้ตกใจ ปากสั่นกล่าววาจาใดไม่ออกสักคำ เหอตันผิงปวดใจจนรีบเข้าไปกอดนางปลอบใจอยู่ข้างๆ จงหมิ่นเหยียนกลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น พอเห็นฉู่เหล่ยมองตนเองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เขาอดเข่าอ่อนคุกเข่าลงกับพื้นเอง ปากกล่าวเบาๆ เพียงว่า “อาจารย์…”
ฉู่เหล่ยขมวดคิ้ว น้ำเสียงนิ่งเรียบกล่าวว่า “ลุกขึ้นก่อน ไปทางนั้น! อีกเดี๋ยวค่อยพูด”
จงหมิ่นเหยียนในใจพลันนิ่ง รู้ว่าหลังจับสลากอาจารย์ย่อมต้องจัดการเรื่องนี้เข้มงวดแน่ หลิงหลงก็แล้วไป อย่างมากก็ด่านางสักรอบหนึ่ง ตนเองเกรงแต่ว่าจะเหมือนเสวียนจี ต้องไปใช้ชีวิตในถ้ำแสงฉานช่วงหนึ่ง
พอคิดถึงเสวียนจี เขาจึงพลันคิดออกว่าตอนเที่ยงตนยังไม่ได้ไปส่งอาหารให้นาง เห็นฟ้าใกล้จะบ่ายคล้อยแล้ว เด็กหญิงต้องหิวมากเป็นแน่ นางยังอยู่ในที่มืดมิดไร้สำเนียงโดดเดี่ยวเพียงคนเดียว ยังต้องมาท้องหิวอีก…เขาอดนึกเสียใจภายหลังขึ้นมาแล้วไม่ได้ ตอนแรกไม่ควรรับปากไปกับความเหลวไหลของหลิงหลง