หมู่บ้านลู่ไถตอนบ่ายครึกครื้นมาก อาจเพราะชาวบ้านเชื่อประกาศของทางการ มารปีศาจถูกจับได้แล้ว ดังนั้นความมีชีวิตชีวาเช่นวันวานจึงกลับคืนมา ร้านขายของริมทาง พวกเร่ขายศิลปะกายกรรม ของกินเล่นต่างๆ นานา พากันผุดขึ้นราวกับหน่อไม้หลังฝน
เสวียนจีจากร้านหนึ่งไปอีกร้านหนึ่ง พักหนึ่งก็มองของเล่นทำจากไม้ พักหนึ่งก็ลูบของแกะสลักจากหินและท่อนไม้ ท่าทางสบายอารมณ์ไม่เหมือนมาช่วยคน หากเหมือนมาเดินเล่นซื้อของมากกว่า
จงหมิ่นเหยียนดึงแขนเสื้อนางจากด้านหลัง กระซิบว่า “นี่ ทำงานให้เสร็จก่อนได้ไหม คิดเดินเล่น วันหน้ามีเวลาเดินอีก”
เสวียนจียัดขนมนึ่งชิ้นหนึ่งเข้าปาก ส่งเสียงอู้อี้กล่าวว่า “ข้ารู้น่า แต่พวกเจ้าสองคนดูแล้วเคร่งเครียดเกินไปนะ เหมือนพวกคิดก่อการร้าย ทุกคนล้วนมองพวกเจ้าอยู่นะ”
ทั้งสองรีบหันไปมองรอบตัว ดังคาด หลายคนจ้องมองพวกเขาอยู่ บ้างยังแอบกระซิบกระซาบกัน
อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าเปลี่ยน รีบดึงเสวียนจีมากระซิบ “เช่นนั้นทำอย่างไรดี พวกเขาพวกเขา ใช่หรือไม่ รู้ พวกเราจะ จะทำอันใด”
เสวียนจียักไหล่ “พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร เพียงแต่เจ้าสองคนอย่าทำตัวลับๆ ล่อๆ ล่อกแล่ก ท่าทางเหมือนจะก่อการร้าย ไม่มีคนมองพวกเจ้าแน่นอน”
นางยัดถังหู่ลู่ใส่มือเขา “อะ กินเสีย”
อวี่ซือเฟิ่งลังเลก่อนจะยัดถังหู่ลู่เข้าปาก สีหน้าผ่อนคลายลงทันที “อืม อร่อย!”
“จริงหรือ” จงหมิ่นเหยียนคว้ามาไม้หนึ่ง “หวานมาก!…ไม่ใช่สิ เปรี้ยวมาก!” เขาทำหน้าปั้นยากพ่นออกมา “อร่อยตรงไหนกัน!”
เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งหัวเราะดังลั่น สุดท้ายแม้แต่จงหมิ่นเหยียนก็เกาหัวหัวเราะออกมา
“ตอนนี้ไม่กลัวแล้วกระมัง” เสวียนจีกล่าวเนิบนาบ “จะทำการใหญ่ หนักแน่นเป็นเรื่องสำคัญ…นี่เป็นสิ่งที่ท่านพ่อมักกล่าว หากกลัวแล้ว ก็คงทำไม่สำเร็จเป็นแน่”
อวี่ซือเฟิ่งเผยท่าทีแบบปกติก่อนหน้า “เจ้าสำนักฉู่ กล่าวได้ถูก เสวียนจีเอง ก็กล่าวถูก พวกอาจารย์เมื่อก่อนแต่ไรมาไม่เคย กล่าวกับข้า เรื่องพวกนี้ ที่แท้ สำนักดี ไม่เพียง วิถีบำเพ็ญเซียน ยังเรียนรู้ การดำรงตน หลักการ”
จงหมิ่นเหยียนทุกครั้งได้ยินเขาพูดภาษาจงหยวนติดอ่างก็อดคิดจะหัวเราะไม่ได้ จึงตบแผ่นหลังเขาอย่างแรงทันที ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็มาอยู่สำนักเส้าหยางเราแล้วกัน! จะได้เรียนรู้ภาษาจงหยวนให้ดีด้วย!”
เสวียนจีทำเช่นนี้ พวกเขาสองคนก็ไม่ได้เคร่งเครียดเหมือนเมื่อก่อนหน้าแล้ว
เลี้ยวมุมถนน ที่ทำการศาลอยู่ตรงหน้า อ่างแก้วผลึกขนาดใหญ่วางอยู่ที่นั่น คนรอบๆ น้อยไปมาก แต่ไม่รู้ทำไม เจ้าหน้าที่ดูแลรอบๆ มากกว่าปกติสองเท่า ราวกับล้อมอ่างแก้วผลึกเอาไว้หมด
“เจ้าหน้าที่มากเกินไป ต้องพยายามเลี่ยงการปะทะ” จงหมิ่นเหยียนแอบมองอย่างละเอียดรอบหนึ่งจากในมุมมืด “มา เสวียนจี เราสองคนไปกันก่อน”
เขาลากแขนเสื้อเสวียนจี ทำท่าทางเป็นคนเดินถนนผ่านมาธรรมดาไปยืนที่หน้าอ่างแก้วผลึก เขย่งเท้าดู
น้ำในอ่างแก้วผลึกไม่กระจ่างใสเท่าวันนั้น ราวกับมีคนโยนของลงไปมากเกินไป ทำให้น้ำขุ่นสกปรก ผิวน้ำขุ่นหมอง ไร้ประกาย ไม่มีลายน้ำแม้แต่น้อย ก็ไม่รู้เงือกนั่นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่
“เขา…ไม่ใช่ว่าตายแล้วหรอกนะ?” เสวียนจีถามเบาๆ
จงหมิ่นเหยียนส่ายหน้า กำลังจะกล่าว เจ้าหน้าที่เฝ้ายามหันมายิ้มกล่าวว่า “ตายไม่ได้! น้องสาวตัวน้อย เจ้าไม่รู้ มารปีศาจไม่ได้ตายกันง่ายๆ อีกสองวันต้องคุมตัวส่งไปเมืองหลวงแล้ว!”
เสวียนจี “อ้อ” เสียงหนึ่ง เงยหน้ามองเขาจริงใจยิ่ง “ท่านอา ข้าเข้าใกล้ไปอีกหน่อยได้ไหม ข้ายังไม่เคยเห็นปีศาจเลย”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นลังเลครู่หนึ่ง “เกรงแต่ว่า…ไม่ดีกระมัง ปีศาจนี่น่าเกลียดมาก น้องสาวตัวน้อยเห็นแล้วอาจฝันร้ายได้”
เสวียนจีขมวดคิ้วมุ่นร้องขอ “ขอดูนิดเดียว ได้ไหม”
เจ้าหน้าที่ทางการผู้นั้นไม่อาจต้านทานการขอร้องของเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่งดงามได้ ในที่สุดก็ใจอ่อนยอมปล่อยนางเข้าไป
เสวียนจีเดินไปยังหน้าอ่างแก้วผลึก นี่เป็นครั้งที่สองที่นางเข้าใกล้เงือกตัวนี้ นางยังจำได้ว่าครั้งแรกที่เห็น เขามองนางด้วยดวงตาที่แสดงออกถึงผู้มีปัญญา แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าเจ็บปวด น่าแปลกก็คือ ความเศร้าเจ็บปวดนั่นดูสงบนิ่ง เหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจว่าตนเองถูกกระทำเช่นนั้น
นางยื่นมือไปเคาะอ่างแก้วผลึกเบาๆ น้ำในอ่างพลันเคลื่อนไหว ราวกับมีบางสิ่งแหวกว่ายอยู่ในนั้น ตามมาด้วย ใบหน้าซีดขาวหนึ่งปรากฏขึ้น แนบติดกับผนังอ่าง
ราวกับเขารู้ว่านางมา แต่ไม่ขยับ เพียงแต่มองนางเงียบๆ เป็นนาน มุมปากโค้งขึ้น ถึงกับยิ้มบางให้นาง
เสวียนจีอดไม่ได้ “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง เจ้าหน้าที่ด้านหลังรีบผลักนางออก พลางกล่าวว่า “ตกใจกระมัง! เจ้ามารปีศาจนี่เจ้าเล่ห์นัก!”
กล่าวจบเขาเตะไปที่อ่างทีหนึ่งอย่างแรง ใบหน้าซีดขาวนั่นหายลับไปในน้ำขุ่นอย่างรวดเร็ว
เสวียนจียังตกใจอยู่ กล่าวเบาๆ ว่า “ใบหน้าเขา…รอยแผลมาก!”
เจ้าหน้าที่ยิ้มกล่าวว่า “บอกก่อนแล้วว่าอย่าดูเลย เอาละ กลับบ้านไปเสียนะ”
เสวียนจีมองอ่างแก้วผลึกอาลัยอาวรณ์ เพิ่งหันกายกลับออกไป จงหมิ่นเหยียนก็ตามหลังนางมา ทั้งสองหาตรอกเล็กซ่อนตัว ปิดผ้าคลุมหน้าสีดำ
“เจ้าเห็นเขาแล้ว?” จงหมิ่นเหยียนถาม
เสวียนจีพยักหน้า “เขามีบาดแผลตามตัวมากมาย แต่มีบางแห่งเหมือนถูกก้อนหินปา อาจมีคนเอาโซ่เหล็กมัดเขาไว้ เหมือนว่ามีร่องรอยถูกแส้โบย…”
“เขาถูกทรมาน?!” จงหมิ่นเหยียนรู้สึกโกรธอยู่บ้าง “เงือกนี่ก็ไม่เอาไหน หากเป็นปีศาจ จะถูกคนทรมานง่ายๆ ได้อย่างไร!”
เสวียนจีถอนหายใจ “ดูแล้วเขาอ่อนแอมาก…ไม่พูดเรื่องพวกนี้ละ เหมือนว่าทางซือเฟิ่งจะเริ่มแล้ว!”
ทั้งสองทำใจสงบลงแอบมองอยู่หลังกำแพง ไม่ไกลนัก อวี่ซือเฟิ่งส่งสัญญาณมือให้พวกเขา ทั้งสองรีบตอบรับทันที ดึงผ้าคลุมหน้าปิดลง เหลือเพียงลูกตาสองรู
อวี่ซือเฟิ่งแสร้งทำเป็นคนเดินผ่านมา หยุดมองอยู่หน้าอ่างแก้วผลึกเป็นนาน ก่อนจะค่อยๆ ถอยไปด้านหลังผู้คน เล็งหาช่องว่าง ควักเอาลูกเหล็กออกจากถุงหนังลูกหนึ่ง เกร็งพลังไว้ ก่อนจะดีดออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ทุกคนได้ยินเพียง เปรี๊ยะ ดังขึ้น ตามมาด้วยอ่างแก้วผลึกแตกกระจาย น้ำขุ่นไหลทะลักออกมา ฉับพลันนั้นเองทั่วบริเวณก็วุ่นวาย ผู้คนบ้างหาที่หลบ บ้างร้องตะโกน บ้างนิ่งอึ้ง แม้แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังชุลมุน ราวกับแมลงวันไร้หัวควานหาตัวผู้ต้องสงสัย
อวี่ซือเฟิ่งอาศัยจังหวะนี้เบียดตัวไปด้านหน้า ลงมือรวดเร็วราวสายฟ้า สกัดจุดหลายคนที่เฝ้าอยู่รอบอ่างแก้วผลึกก่อน จากนั้นก็ปาระเบิดควันที่เตรียมมาล่วงหน้าแล้วลงพื้น
บึม ดังขึ้น ควันสีม่วงอ่อนปกคลุมไปทั่ว กลิ่นแสบจมูกยิ่ง พริบตาผู้คนก็วุ่นวายราวกับหม้อโจ๊กเละ เจ้าหน้าที่อันใดก็ไม่ทันเห็น ได้แต่ตะโกนสุดชีวิต “เฝ้าอ่างแก้วผลึก! เฝ้าปีศาจให้ดี!”
ขณะที่พวกเขากำลังส่งเสียงเอ็ดตะโรดัง เสวียนจีกับจงหมิ่นเหยียนก็ลอบเข้ามาอุ้มเงือกที่นอนนิ่งนั้นออกไป
รอจนหมอกควันสลาย ผู้คนก็ขยี้ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ตอนวิ่งมาหา พลันพบว่าอ่างแก้วผลึกแตกละเอียด ด้านในไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว เหลือเพียงก้อนหินใหญ่น้อยใต้อ่าง ราวกับยิ้มเยาะพวกเขา