ในที่สุดการประลองวันแรกก็จบลง การประลองรอบนี้คัดออกทันทีครึ่งหนึ่ง งานชุมนุมปักบุปผาต่างกับงานที่อื่น แพ้เพียงครั้งเดียว ก็ไม่อาจกลับคืนมาได้อีก ดังนั้นบรรดาศิษย์ทั้งหลายจึงทุ่มเทความสามารถทั้งหมดของตนที่มี เพื่อเกียรติยศของสำนักตน ไม่ให้ถูกคัดออกเร็วเกินไป
พอตกค่ำ ฉู่เหล่ยสองสามีภรรยาที่อดทนอดกลั้นมาตลอดจนเสร็จงานชุมนม เรื่องแรกก็คือเร่งรุดมาดูอาการบาดเจ็บของเสวียนจี
เหอตันผิงทนกลั้นน้ำตามาทั้งวัน พอเห็นผ้าพันแผลบนศีรษะเสวียนจีก็ทนไม่ไหว น้ำตาร่วงลงมาในที่สุด
“เจ็บหนักหรือไม่ ปวดไหม” นางคว้าบุตรสาวมากอด น้ำตาหลั่งรินเป็นทาง
เสวียนจีกำลังกินข้าว เนื้อผัดอัดเต็มปาก อู้อี้กล่าวไม่ชัดว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ไม่เจ็บสักนิด ท่านแม่ดู!” นางใช้มือเคาะแผล สีหน้าไม่แปรเปลี่ยนจริง
เหอตันผิงรีบจับมือนางไว้ ดุเบาๆ ว่า “อย่าขยับไปมา! หากบาดแผลเปิดจะทำอย่างไร!”
ฉู่เหล่ยเปิดผ้าแพรนางเบามือ คิดตรวจดูอาการบาดเจ็บ ผู้ใดจะรู้ว่าผ้าแพรยังมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ แต่บนศีรษะนางกลับไม่มีร่องรอยบาดเจ็บอันใดแม้แต่น้อย บนศีรษะมีแต่ผมกระจุกหนึ่งโดนโลหิตซึมใส่เท่านั้น แข็งจับตัวเป็นก้อน ผิวด้านล่างกลับปกติดี แม้แต่บาดแผลเล็กก็ไม่เห็น
เขาอดแปลกใจไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น
เงียบอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ก็เป็นเพราะเจ้าไม่ฝึกวิชาให้ดี ควรรับผลกรรมนี้ หากเจ้ามีความพยายามได้ครึ่งหนึ่งของคนรอบข้าง วันนี้ก็ไม่ถึงกับน่าอนาถเช่นนี้”
เสวียนจีพอได้ยินท่านพ่อตำหนิตนเอง ก็หมดความสนใจรอบตัว แม้แต่ข้าวก็กินไม่ลงแล้ว ได้แต่เคี้ยวเนื้อผัดในปากเคี้ยวแล้วเคี้ยวอีก ไม่กล่าวอันใด
หลิงหลงยู่ปากกล่าวว่า “ท่านพ่อลำเอียงจริง น้องถูกสายฟ้าฟาดบาดเจ็บ ไม่ไปตำหนิผู้อื่น กลับยังมาว่านาง…”
นางยังกล่าวไม่ทันจบ ถูกฉู่เหล่ยจ้องมอง ก็รีบหุบปาก ยัดอาหารเข้าปากอย่างเง้างอน
ฉู่เหล่ยพันผ้าพันแผลคืนกลับให้นาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ดีที่บาดแผลไม่ใหญ่ ร่างกายไม่มีปัญหาอันใด พลังของมหาห้าอสุนีบาตพุ่งออกไปลานด้านนอกน่าจะสลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว อีกสองวันก็ดีขึ้นแล้ว”
กล่าวจบเขาก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “อูถงนั่น…อายุยังน้อย ถึงกับใช้ยันต์คาถาเป็น วันหน้าย่อมไม่ใช่ธรรมดา เพียงแต่งานชุมนุมปักบุปผาครั้งก่อนเหตุใดไม่เห็นเขา”
เหอตันผิงยิ้มกล่าวว่า “ท่านพี่ใส่ใจมากไปทำให้สับสน อูถงผู้นี้ปีนี้อายุสิบแปดปีเต็ม อายุเพิ่งถึงเกณฑ์เข้าร่วม ครั้งก่อนที่พวกเราไปหุบเขาเตี่ยนจิง นักพรตเจียงยังให้เขาเทน้ำชาให้พวกเรา ท่านลืมแล้วกระมัง!”
ฉู่เหล่ยพลันระลึกได้ “อ้อ?! เป็นครั้งก่อน ผู้ที่เทน้ำชาผู้นั้น? ตอนนั้นเขาดูแล้วก็เหมือนเด็กซุกซนคนหนึ่ง รุ่นหลังน่ากลัวจริง หลายปีไม่ได้พบเจอ ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว!”
เหอตันผิงถอนหายใจ ปัดเม็ดข้าวบนใบหน้าเสวียนจีออก กล่าวว่า “การประลองรอบนี้ของพวกเรา ก็นับว่าแพ้ย่ำแย่ แต่หากกล่าวถึงกระบวนท่ายุทธ์ ตวนผิงไม่แน่ว่าจะแพ้”
ฉู่เหล่ยส่ายหน้า กล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญเพียร กระบวนท่ายุทธ์เพื่อป้องกันตนเอง วิชาเซียนและมนตร์คาถาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ตวนผิงสู้ผู้อื่นไม่ได้ แพ้ไปก็ไม่นับว่าต้องรู้สึกผิด ศิษย์พวกเราต้องมีอายุยี่สิบปีจึงเริ่มบำเพ็ญวิชาวิถีเซียน นักพรตเจียงนั่นกลับเป็นคนหัวก้าวหน้า ให้บรรดาศิษย์ได้เรียนรู้ก่อนได้”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาอดเงียบลงไม่ได้
เหอตันผิงกับเขาเป็นสามีภรรยามานาน ย่อมรู้เขาคิดอันใด อดยิ้มไม่ได้กล่าวว่า “ท่านพี่คิดว่าจะให้บรรดาศิษย์ได้ฝึกวิชาวิถีเซียนล่วงหน้าหรือ”
หลิงหลงที่เอาแต่แอบฟังพวกเขาคุยกันมาตลอด พอได้ยินเช่นนี้ ก็รีบแทรกขึ้นกล่าวว่า “จริงหรือ! ท่านพ่อจะให้พวกเราได้ฝึกวิชาวิถีเซียนหรือ ฝึกพรุ่งนี้เลยได้ไหม!”
ฉู่เหล่ยเคาะหน้าผากนางทีหนึ่ง หลุดยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคนใจร้อน เรื่องนี้อย่าเพิ่งเอ่ยถึงชั่วคราว รอให้ข้ากับอาวุโสแต่ละหอหารือกันก่อนค่อยตัดสินใจ”
หลิงหลงรู้ว่าเขาพูดเช่นนี้ก็แปลกว่าต้องทำได้ ดีใจกระโดดกอดคอบิดา ออดอ้อนว่า “ท่านพ่อ ท่านดูน้องถูกคนชั่วทำร้ายบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ท่านต้องลงโทษเขาสักหน่อยถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นสำนักเส้าหยางเราเสียหน้าหมด!”
ฉู่เหล่ยปั้นหน้าเคร่ง กล่าวเสียงเยียบเย็นว่า “เจ้าเองก็รู้เสียหน้า แต่ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเจ้าฝึกวิชามาไม่ดีจึงต้องเสียหน้าเอง เกี่ยวอันใดกับผู้อื่น”
หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “นั่นเพราะเขาอายุมากกว่าพวกเราหรอก! รอให้ข้าและน้องอายุสิบแปดก่อน สู้คนอื่นไม่ได้ค่อยว่าก็ไม่สาย!”
ฉู่เหล่ยยิ้ม กล่าวว่า “ขี้เกียจเช่นพวกเจ้า เกรงแต่ว่าอายุแปดสิบก็ยังสู้คนอื่นไม่ได้”
เขาเป็นเจ้าสำนัก ภารกิจหนักหนา มาที่นี่กล่าวได้พักหนึ่งก็ต้องไป ก่อนไปเห็นหลิงหลงยังโมโหอยู่ ก็กล่าวว่า “เจ้าอย่าได้คิดพิเรนทร์อันใด งานชุมนุมปักบุปผาไม่อนุญาตให้เจ้าก่อเรื่อง เรื่องครั้งนี้นักพรตเจียงได้กล่าวขอโทษแล้ว วางไว้ก่อนชั่วคราวแล้วกัน หากเจ้ายังโมโหไม่เลิก ก็ไปฝึกวิชาให้ดี งานชุมนุมปักบุปผาครั้งหน้าก็สู้ให้เขาแพ้ไปก็แล้วกัน”
หลิงหลงเงียบทำท่าทางเชื่อฟัง รอท่านพ่อท่านแม่ออกไป ก็หันกลับมาดึงเสวียนจีทันที เห็นนางกินข้าวจนข้าวติดหน้า ใบหน้ามันแผล็บ อดใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นางไม่ได้ พลางทำตัวราวกับคนแก่อุทานว่า “เด็กน้อยจริง ไม่รู้ใช้หน้ากินหรือใช้ปากกินกัน”
เสวียนจีกลืนเนื้อผัดลงไป กล่าวว่า “เหมือนที่เจ้าพูดเมื่อครู่ พวกเราเดิมก็เป็นเด็กน้อยนี่”
หลิงหลงมองไปรอบๆ ไม่มีผู้ใดแอบฟัง จึงได้กดเสียงให้เบากล่าวว่า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ซือเฟิ่งไม่ใช่เรียกพวกเราไปหลังเขาคืนนี้หรือ ของเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
เสวียนจีรีบไปเอาพลั่วและเชือกป่านหลังประตูออกมา “ของพวกนี้เอาไปทำอะไร กับดักหรือ”
“ข้าจะไม่รู้ว่ามีความคิดพิเรนทร์อันใด อย่างไรก็เตรียมพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ!”
หลิงหลงดึงนางออกจากห้อง มองซ้ายขวาไม่มีคน ทั้งสองพากันแอบวิ่งไปทางหลังเขาลับๆ ล่อๆ
ตามคาด จงหมิ่นเหยียนกับอวี่ซือเฟิ่งมาถึงก่อนนานแล้ว รอจนแทบรอไม่ไหวแล้ว พอเห็นพวกนางสองคนวิ่งมาถึง จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “คุณหนูทั้งสอง นี่มันยามใดแล้ว! ทำไมเพิ่งมา!”
หลิงหลงยู่ปาก “ท่านพ่อมาสั่งสอนอบรมหลายคำ ข้าตกใจจะตายแล้ว เจ้ายังมาบ่นอยู่ได้!”
จงหมิ่นเหยียนรีบยิ้มเอาใจ คว้าแขนเสื้อนางกล่าวอ่อนโยนว่า “ถูกดุหรือ เอาน่า ข้าไม่ดีเอง อย่าโมโห หน้าบึ้งราวมะระขมนี่ไม่เหมาะกับคุณหนูใหญ่หลิงหลงของเราเลย”
หลิงหลงถูกเขาหลอกล่อจนหลุดหัวเราะออกมา กระทืบเท้ากล่าวว่า “เจ้าก็ชอบพูดเหลวไหล! ข้าไม่อยากยุ่งกับเจ้าแล้ว เมื่อครู่ท่านพ่อบอกว่า จะสอนวิชาวิถีเซียนพวกเราก่อน ดีใจไหม”
จงหมิ่นเหยียนดีใจราวดอกไม้ผลิบาน ยิ้มหน้าเซ่อ
อวี่ซือเฟิ่งฝั่งตรงข้ามเห็นเสวียนจีสีหน้าซีดเผือด คิดว่านางเจ็บแผล จึงกล่าวเบาๆ ว่า “ที่ข้านี่ มียาดี ของตำหนัก ช่วยเจ้า ใส่ยาไหม?”
เสวียนจีส่ายหน้านิ่งเงียบ ดึงผ้าพันแผลบนศีรษะออก กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่เป็นไร ไม่ได้มีแผล ไม่เจ็บเลยสักนิด”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ค่อย เบิกบานใจ เป็นท่านพ่อเจ้า ว่าเจ้าหรือ”
เสวียนจีส่ายหน้า ยกพลั่วและเชือกป่านในมือขึ้น ถามว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าให้ข้านำมาด้วย ต้องการขุดหลุมหรือ”
เขายิ้มกล่าวว่า “กล่าวถูก ครึ่งหนึ่ง ดูนี่ เจ้ายัง จำมัน ได้ไหม”
เขาล้วงงูสีเล็กตัวเล็กออกมาจากถุงหนัง มีเกล็ดสีเงิน ดวงตาสีมรกต ลำตัวขนาดราวนิ้วชี้ ม้วนขดตัวอยู่บนท่อนแขนเขา หัวสามเหลี่ยมส่ายไปมา ปากสีแดงสดส่งเสียงขู่ น่ารักมาก ยังมีท่าทางดุร้ายเล็กน้อย
เสวียนจีร้อง “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง แน่นอนว่าจำได้! งูสีเงินตัวน้อยที่ก่อนหน้าเกือบถูกนางบีบตายอย่างไร!
“มันชื่อ…?” นางนึกชื่อไม่ออก
“ชื่อ เสี่ยวอิ๋นฮวา” อวี่ซือเฟิ่งลูบศีรษะน้อยของมัน ท่าทางภูมิใจ “มันคือ สัตว์ภูต ข้าเลี้ยงไว้ แต่เล็ก โตมาด้วยกัน อย่าเห็นว่า มันตัวเล็ก สามารถมาก”
ราวกับฟังออกว่าเจ้านายชม เสี่ยวอิ๋นฮวาส่งเสียงฟ่อรับ สะบัดหัวและหางไปมาแลดูเอาแต่ใจ
เสวียนจีเห็นมันน่ารัก ยิ้มกล่าวว่า “ข้าลูบมันได้ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า จับข้อมือนาง ลูบลำตัวเสี่ยวอิ๋นฮวาแผ่วเบา มันน่าจะไม่ค่อยโดนคนอื่นลูบ เห็นชัดว่าเริ่มไม่นิ่ง ผงกหัวขึ้น จ้องมองตรงมายังเสวียนจี
“ชู่ว…อย่ากลัว เสวียนจีเป็น คนดี” อวี่ซือเฟิ่งปลอบมันเบาๆ
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่สัมผัสที่นิ้วมือทั้งเย็นทั้งนุ่มนิ่ม อดส่งเสียงหัวเราะขึ้นไม่ได้ กล่าวถามว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าให้เสี่ยวอิ๋นฮวามาทำอันใดกัน”
เขายิ้มเล็กน้อย ดวงตาดำขลับใต้แสงจันทร์ส่องประกาย ราวกับผลึกแก้วดำชั้นยอดสองก้อน
“พวกเรา คืนนี้ ขุดหลุม ข้ารับรอง พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ร้อยทั้งร้อย ต้องตกลงไป ขาหัก”
จงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงข้างๆ ก็ถูกวาจาเขาดึงดูดความสนใจ หลิงหลงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ศิษย์สำนักอื่นไม่ค่อยได้มาหลังเขากัน เหตุใดเจ้ารับรองว่าเขาต้องตกลงในหลุมที่เจ้าขุดไว้?”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้ากวักมือให้พวกเขาเข้ามาใกล้ๆ สี่หัวชนกัน
เขากระซิบว่า “เรื่องนี้ต้อง พวกเจ้าช่วย ไม่ใช่ต้อง ช่วยแก้แค้น ให้เสวียนจี? ฟังข้านะ ทำเช่นนี้…”
เขากล่าวนี่นั่นอยู่นาน ในที่สุดก็หารืออุบายเสร็จ เด็กๆ พากันช่วยกันกันลงมือขุดหลุมเริงร่า