“ให้ข้าดูหน่อยๆ!”
หลิงหลงเรียกอยู่นาน แย่งเอากระบอกหมื่นบุปผาจากมือจงหมิ่นเหยียนมา หรี่ตามองเข้าไปด้านในอยู่เป็นนาน ไม่ยอมปล่อยมือ
“ศิษย์พี่รอง ท่านมีของแปลกประหลาดมากมายจริงด้วย!” นางเสียงดัง “ยังมีอันอื่นอีกไหม”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ้มกล่าวว่า “อีกเยอะ! หากหลิงหลงและศิษย์น้องเล็กชอบ ครั้งหน้าก็ไปหาข้าขอดูได้…ใช่แล้ว ของพวกนี้ให้แค่ยืม ไม่ได้ให้เลย”
“อะไรเนี่ย ขี้งก!”
หลิงหลงค้อนใส่เขา ในที่สุดก็ส่งกระบอกหมื่นบุปผาให้เสวียนจีอย่างไม่อาจตัดใจ
เฉินหมิ่นเจวี๋ยเอาของเล่นออกมาแล้ว คนอื่นที่เหลือก็พากันควักเอาของของตนเองออกมาวางบนเตียง มีของเล่นทำจากไม้ มีหนังสือ ยังมีโลหะห่วงเหล็กเก้าห่วงที่ประณีต
หลิงหลงตาแหลม พลันพบว่าในกองของทั้งหมด มีมีดสั้นเล็กเล่มหนึ่งสะดุดตามาก นางคว้าขึ้นมา พลิกโยนไปมาดูอยู่นาน มีดสั้นนั่นปลอกเป็นทองคำ แม้ว่าเล็ก แต่ลวดลายประณีตมาก บนปลอกยังสลักรูปหัวพยัคฆ์ ทั้งเขี้ยวและดวงตาเหมือนจริงนัก ที่ยิ่งชอบก็คือสองตาของพยัคฆ์ทำจากผลึกแก้วสีเขียว ตอนพลิกไปมาส่องประกายวิบวับเหมือนมีชีวิต
“อันนี้สวย!” นางชักมีดสั้นออกมา ใช้มือดีดส่งเสียงดังสองเสียง มีดสั้นแวววาวราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วงคมกริบ ไม่ใช่ของไว้ชื่นชมเล่น
“ผู้ใดให้มา มีดสั้นนี้ดีจริง!”
หลิงหลงรู้สึกชอบจนไม่คิดปล่อยมือ
จงหมิ่นเหยียนกระแอมไอเสียงหนึ่ง กระซิบว่า “ข้าเอง”
หลิงหลงถลึงตากลมโตใส่ “เจ้าหก เจ้ามีของดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อก่อนข้าทำไมไม่เคยเห็น”
จงหมิ่นเหยียนหน้าแดง แววตาราวกับได้ใจเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอันใด ยิ้มกล่าวว่า “ของดีหากให้เจ้าเห็นง่ายๆ ก็ไม่ใช่ของดีสิ เจ้าคิดว่าศิษย์พี่หกไม่มีอันใดเลยหรือ”
หลิงหลงตีเขาเบาๆ ทีหนึ่ง ยังคงมองมีดสั้นอยู่เป็นนานก่อนส่งให้เสวียนจี พลางกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมเจ้ามอบมีดสั้นเล่มนี้เล่า”
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “ครั้งก่อนไปเขาลู่ไถซานจับปีศาจกับพวกอาจารย์ เห็นมีดสั้นเล่มนี้ที่ร้านอาวุธในหมู่บ้าน ว่ากันว่าสองปีก่อนมีคนมาสั่งทำแต่ไม่มารับสักที ช่างเหล็กไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเอาออกมาขาย อย่างไรคนใช้มีดสั้นก็ไม่มาก ราคาลดแล้วลดอีก แต่ตอนข้าไปซื้อ ยังติว่าแพง ต่อราคากับเขาเป็นนานจึงได้ซื้อไว้ นี่เป็นของดี!”
เสวียนจีพิเคราะห์มีดสั้นนั้นอย่างละเอียด ถูในมือไปมาอยู่เป็นนาน จึงได้เงยหน้ายิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่หก เป็นมีดสั้นที่สวยมาก”
จงหมิ่นเหยียนกลับทำหน้าจริงจัง กล่าวว่า “ไม่ใช่ให้เจ้าเล่น เจ้าคิดดู งานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้ เจ้าบาดเจ็บไปกี่ครั้ง ลองคิดดู พวกเราไปเขาลู่ไถซานจับปีศาจ เจ้าแสดงฝีมืออย่างไร ไม่พูดถึงว่าบำเพ็ญเพียรอย่างไร อย่างไรเจ้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียน สิ่งป้องกันตัวที่พอดูได้ก็ไม่มีสักอย่าง เกิดประสบอันตรายขึ้นมา คงได้แต่ตายไปเสียอย่างนั้น ให้มีดสั้นเจ้าเป็นอาวุธป้องกันตัว อย่าเหมือนครั้งนี้…ผู้อื่นแทงกระบี่ใส่ก็ไม่มีอันใดไว้ต้านรับ”
เสวียนจีปกติไม่อาจทนรำคาญรับฟังหลักการยิ่งใหญ่ที่สุด แม้ว่าเป็นวาจาที่ออกจากปากเขาก็ตาม ตอนนั้นจึงได้แต่กล่าวคำเดียวว่า “อืม” แล้วไม่กล่าวอันใดอีก
จงหมิ่นเหยียนรู้นิสัยนาง ได้แต่ทอดถอนใจ กล่าวอีกว่า “ข้าขี้เกียจมาพร่ำสอนเจ้าเหมือนอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ มอบมีดสั้นให้เจ้าก็หวังให้เจ้าเอาไว้ป้องกันตัว ไม่ได้มีความหมายอื่น เจ้าอย่าได้คิดรำคาญ”
เสวียนจีเม้มปาก เงยหน้ายิ้มให้เขาอย่างรู้สึกละอายเล็กน้อย จึงได้ขอบคุณเขาจากใจจริง “ขอบคุณศิษย์พี่หก”
จงหมิ่นเหยียนแค่นเสียงฮึ รู้สึกไม่รู้จะกล่าวอย่างไรกับนิสัยเปิดเผยเช่นนี้ของนาง
หลิงหลงเคาะศีรษะเขาทีหนึ่ง ยู่ปากกล่าวว่า “เจ้าฮึอันใด! ไม่อนุญาตให้รังแกเสวียนจี!”
จงหมิ่นเหยียนมองนาง นางที่ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ รีบฉีกยิ้มกว้าง “ผู้ใดกล้ารังแกคุณหนูหลิงหลงกับน้องสาว เช่นนั้นคงเบื่อชีวิตตนกระมัง! เร็ว บอกข้าเป็นผู้ใดไร้ตา ศิษย์พี่จะไปสั่งสอนเขา!”
หลิงหลงถูกเขาหยอกจนหัวเราะออกมา ได้แต่เริ่มลงมือสู้กับเขา
เฉินหมิ่นเจวี๋ยก็ร่วมวงเฮฮาไปด้วย สัพยอกว่า “โอ้ ศิษย์น้องหลิงหลงออกกระบวนท่าแล้ว! กระบวนท่าปลากระโดดข้ามประตูมังกรเยี่ยมมาก! มุ่งโจมตีสองดวงตาศิษย์น้องหก…เอ๋? ศิษย์น้องหก โต้กลับด้วยกระบวนท่าลิงขโมยท้อ ถึงกับใช้พละกำลังส่วนใหญ่ออกไป! เยี่ยม เยี่ยม!”
ทุกคนรู้ว่าแต่ไรมาฝีปากเขาก็เป็นเลิศ เสวียนจีเนื่องจากบาดเจ็บ จึงไม่ได้เห็นฉากที่ยอดเยี่ยมที่สุดของงานชุมนุมปักบุปผา จึงขอให้เขาเล่าให้ฟัง
เฉินหมิ่นเจวี๋ยใจดีมาก ไม่ปฏิเสธ ในเวลานั้นจึงได้กระแอมไอในลำคอ ก่อนจะวางท่าทางราวอาจารย์นักเล่านิทาน กล่าวเสียงดังกังวานว่า “เช่นนี้ ก็ฟังข้าเล่าไป~~! ว่ากันว่าการประลองรอบสุดท้ายวันนั้น กล่าวได้ว่ายอดเยี่ยม…”
เขาเล่าอย่างน้ำลายแตกฟอง มีเสียงสูงต่ำเร่งจังหวะ เทียบกับจงหมิ่นเหยียนที่ขี้โม้วันนั้นแล้วเรียกได้ว่าเทียบไม่ติดเลย ดังนั้นการประลองรอบสุดท้ายอันยอดเยี่ยมจากฝีปากเขาก็ยิ่งกลายเป็นเยี่ยมยอดร้อยส่วน แม้แต่บรรดาศิษย์ที่ได้ชมการประลองรอบสุดท้ายก็ยังฟังออกรสออกชาติ จงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงยิ่งตั้งใจฟัง ยินดีกระโดดจนตัวลอยบ้างสลับกับนั่งบ้าง
ตลอดบ่ายผ่านไปด้วยสีสันแห่งเสียงเล่าเรื่องของเขา
สุดท้ายเป็นฉู่อิ่งหงทนดูไม่ไหว ต้องเข้ามาไล่
“เจ้าเด็กซุกซนกลุ่มนี้ ไม่ได้บอกหรือว่าอย่ารบกวนศิษย์น้องเล็ก ทำหูทวนลมกันหรือ!”
ทุกคนเห็นอาจารย์อาเข้ามาไล่ ก็ได้แต่เงียบลุกขึ้นยืน เฉินหมิ่นเจวี๋ยเองก็พูดจนคอแห้งไปหมด จึงยิ้มกล่าวว่า “อยากรู้ต่อมาเป็นเช่นไร ก็ไว้รอฟังต่อครั้งหน้า! วันนี้เก็บของกลับบ้านแล้ว พี่น้องทุกท่าน อย่าทำให้ศิษย์น้องเล็กเหนื่อย พวกเราก็สลายตัวได้แล้ว!”
บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องพากันพยักหน้า พากันกล่าวให้เสวียนจีรักษาสุขภาพก่อนจะทยอยออกไป หลิงหลงยังคงตัดใจไม่ได้ ดึงแขนเสื้อเฉินหมิ่นเจวี๋ย กล่าวติดๆ กันว่า “ศิษย์พี่รอง! ศิษย์พี่รอง! พรุ่งนี้ค่อยมาเล่าใหม่! อย่าลืมนะ”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยกล่าวในใจ ไหนเลยจะมีครั้งหน้า! แต่ใบหน้ากลับพยักหน้าหงึก ยิ้มตอบ “ได้เลยๆ! พรุ่งนี้มาเล่าใหม่!”
หลิงหลงจึงพึงพอใจยอมปล่อยมือ
ฉู่อิ่งหงยิ้ม เข้ามาเคาะศีรษะนางทีหนึ่ง “เจ้าก็ออกไปด้วย อยู่ต่อรังแต่จะทำให้น้องเจ้าไม่ได้นอน ท่านแม่เจ้ารอเจ้าไปกินข้าว!”
หลิงหลงถูกแม่เรียกกินข้าว ก็รู้สึกว่าท้องเริ่มส่งเสียงร้องแล้ว นางยิ้มแลบลิ้น หันกลับไปดึงมือเสวียนจี กล่าวว่า “เสวียนจี ข้าไปกินข้าวแล้ว เจ้าก็พักผ่อนเร็วหน่อย! พรุ่งนี้ข้าจะมาเป็นเพื่อนคุยเจ้าอีก!”
กล่าวจบนางก็ผลุบออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเสวียนจีที่ตะลึงกับกองของขวัญตรงหน้า
“ข้าดูหน่อยๆ” ฉู่อิ่งหงเผยรอยยิ้มบางลงนั่งข้างเตียง หยิบของขวัญพวกนั้นขึ้นมาวางในมือทีละชิ้น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเด็กพวกนี้ใจกว้างไม่เบา! ให้ของดีพวกนี้”
เสวียนจีพยักหน้า พลันส่ายหน้าอีก ถอนใจกล่าวว่า “ของมากมายเพียงนี้ ข้าต้องใช้เวลาเล่นเท่าไร…”
ฉู่อิ่งหงจับมีดสั้นวางไว้ในมือดูกล่าวอย่างไม่รู้สึกอันใดว่า “เหตุใดจึงจะไม่มีเวลาเล่น เจ้าเพิ่งอายุเท่าไร”
“ข้าไม่ใช่ว่าต้องไปกับท่านอาหง…ไม่ ไปยอดเขาเสี่ยวหยางกับอาจารย์หรือ ต้องเริ่มบำเพ็ญเพียร น่าจะไม่มีเวลาเล่นแล้ว”
เสวียนจีทำหน้าเศร้า ในใจนาง สิ่งที่เรียกว่าบำเพ็ญเพียรก็คือไม่มีเวลากินข้าว เวลานอนก็ไม่มี ไหนเลยจะมีเวลามาเล่นของเล่นพวกนี้
ฉู่อิ่งหงอึ้งไป “บำเพ็ญเพียรก็คือบำเพ็ญเพียร เล่นก็ส่วนเล่น”
นางพลันเข้าใจ หลุดยิ้มลูบผมนาง “เจ้าหนูน้อยคงไม่คิดว่าข้าเป็นอาจารย์มารร้าย? วันๆ เอาแต่ใช้แส้คอยคุมเจ้าอยู่ด้านหลังให้พวกเจ้าบำเพ็ญเพียร?”
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นกระมัง…เสวียนจีแอบกล่าวในใจ แต่นางไม่ได้กล่าวออกมา
“เสวียนจี ที่เรียกว่าบำเพ็ญเพียรนั่น อันดับแรกเจ้าต้องพึงใจก่อนจึงจะได้ คนเราหากไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนชอบก็ย่อมทำได้ไม่ยืนยาว และย่อมทำได้ไม่ดี” ฉู่อิ่งหงจิ้มจมูกนาง “เจ้าก็ไม่ได้รังเกียจฝึกยุทธ์ เพียงแต่วิธีสอนของเจ้าสำนักไม่เหมาะกับเจ้า ดังนั้นทำให้เจ้าไม่ชอบบำเพ็ญเพียร หากท่านอาหงทำให้เจ้ารู้สึกว่าบำเพ็ญเพียรเป็นเรื่องน่าสนใจ เจ้าก็จะไม่ยินยอมหรือ”
บำเพ็ญเพียรจะน่าสนใจได้อย่างไร เสวียนจีเบิกตากลมโตจ้องมองนางเขม็ง
“ทำไมจึงไม่น่าสนใจ” ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคิดดู เรียนเหินกระบี่เป็นก็บินขึ้นท้องฟ้าได้ อยากไปไหนก็ไปได้ พริบตาก็ถึง ตอนเจ้าเช้าเข้าไปเขาลู่ไถซานดื่มกั่วจื่อหวง กลางวันกลับเส้าหยางกินอาหารกลางวัน ตอนบ่ายค่อยไปเกาะฝูอวี้ชมดอกเหมย ใต้หล้าทิวทัศน์ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรล้วนงดงาม ให้เจ้าไปได้ทุกหนแห่ง เรียนวิชาเซียนเป็นแล้ว เจ้าก็จะจับปีศาจได้ เจอคนที่ไม่เข้าตา ก็ลงโทษพวกเขาสักหน่อยได้ พอเจ้ากลายเป็นคนมีความสามารถ ก็จะรู้สึกว่าโลกนี้มีอะไรมากมายที่น่าสนุก เมื่อก่อนเรื่องที่ไม่เคยได้ยินไม่เคยได้เห็นมากมายนัก เจ้าก็ไม่ต้องกลัวผู้ใดรังแกเจ้าอีก และก็ไม่ต้องกังวลว่าโดนลมเล็กน้อยก็จะเป็นไข้ ชอบหรือไม่ชอบ ก็บอกออกมาดังๆ ได้เลย…ของเหล่านี้ ยังไม่น่าสนใจหรือ”
ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ราวกับน่าสนใจอยู่มากเหมือนกัน แต่ทว่า…
“ท่านอาหง ข้าขี้เกียจมาก ข้าไม่คิดไปเที่ยวไหน ข้าชอบอยู่บ้านเฉยๆ ข้าไม่ชอบโต้เถียงกับใคร ทะเลาะอะไรกับใคร…”
นางยิ่งพูดยิ่งเบา ตนเองรู้สึกตนเองก็ดื้อดึงพอควร
ฉู่อิ่งหงยิ้มอย่างไม่ถือสา “เจ้าอยากแอบเกียจคร้าน ก็ต้องมีท่วงทำนองของการแอบเกียจคร้าน คนมีความสามารถแอบเกียจคร้าน เช่นนั้นเรียกว่ามีท่วงทำนอง คนไร้ความสามารถแอบเกียจคร้านเรียกว่าไร้ยารักษา รอให้เจ้าเรียนสำเร็จแล้ว ก็จะไม่มีคนมาเรียกเจ้าทำนั่นทำนี่ เจ้าเหินกระบี่หนีไปได้ในทันที บินไปแอบขี้เกียจต่อที่อื่น ก็นับว่าสง่าผ่าเผยนะ!”
บินไปแอบขี้เกียจต่อที่อื่น ความคิดนี้ไม่เลว เสวียนจีรู้สึกพอใจในทันที หัวเราะดัง ดึงมือนางกล่าวว่า “ดีเลย! ท่านอาหง เช่นนั้นข้าก็จะบำเพ็ญเพียร! ท่านอาจะพาข้าไปยอดเขาเสี่ยวหยางเมื่อไร”
“ต้องรอให้แผลเจ้าหายดีก่อน” นางยกยาที่อยู่บนโต๊ะมาให้นางดื่ม กล่าวอีกว่า “ตอนนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้มากๆ รักษาอาการบาดเจ็บ อย่าเคลื่อนไหวมาก ยิ่งหายเร็วเท่าไร อาหงก็ยิ่งพาเจ้ากลับยอดเขาเสี่ยวหยางได้เร็วเท่านั้น”