ตอนที่ 39 บุญกุศลมาช้า
ซ่งเอ้อโก่วเห็นดังนั้นก็เกาหัว ทำหน้าประหลาดใจ ก่อนพูดกับชาวบ้านข้างๆ “ฉันไม่ได้ตาฝาดหูหนวกไปใช่ไหม? คนในเมืองพวกนี้โง่รึเปล่า? วัดพังๆ นั่น พวกเขายังยกนิ้วโป้งให้อีกเหรอ? แถมยังว่าจะมาอีก? หรือว่าพวกเขาจะมาออกกำลังกาย?”
“เป็นไปได้…”
“พวกแกกระซิบอะไรกัน ฟางเจิ้งน่ะเป็นเด็กดี ตอนนี้ศึกษาธรรมอย่างสงบก็เป็นเรื่องดี ทำไมพอพวกแกพูด ถึงได้เหมือนพวกต้มตุ๋นไปได้นะ” หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งต่อว่า
“พวกผู้หญิงจะเข้าใจอะไร? ศึกษาธรรมอะไร พวกลวงโลกทั้งนั้น! เธอไม่ต้องขึงตามองเลยนะไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าเด็กนั่นมีความสามารถแค่ไหนพวกเราไม่รู้เหรอ? เธอคอยดูเถอะ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็เกิดเรื่อง” ซ่งเอ้อโก่วพูดจบก็ส่ายหน้าพลางพูดต่อ “คนโบราณว่าไว้ว่า ความอกตัญญูมีสามประการ และการไม่มีชนรุ่นหลังถือเป็นการอกตัญญูที่สุด! ฟางเจิ้งเป็นหลวงจีน แต่งงานไม่ได้ ไม่มีชนรุ่นหลังแล้ว หึหึ…อกตัญญู! อกตัญญู…” พูดจบซ่งเอ้อโก่วก็เดินเซกลับบ้านไป
สรุปคือเมื่อกลางดึกวันนั้น พอตู้เหมยได้ยินก็ไปที่หน้าประตูบ้านซ่งเอ้อโก่ว ถือมืดหั่นผักพลางด่าทออยู่ครึ่งคืน ทำเอาซ่งเอ้อโก่วตกใจหนีไปนอนบ้านน้าชาย
แต่ว่าตอนนี้ฟางเจิ้งนอนไม่หลับจริงๆ เลยลุกขึ้นไปตักน้ำมาชามใหญ่ นั่งอยู่หน้าประตูวัด หมาป่าเดียวดายนั่งอยู่ข้างกาย หนึ่งคนหนึ่งหมาป่าคนละชาม ดื่มพลางพูดคุยราวกับดื่มสุราอย่างสบายใจ
“เฮ้อ นับเวลาแล้วพวกเขาควรจะขึ้นบนทางด่วนแล้ว จากที่ฉันเห็นควรจะเจอรถบรรทุกใหญ่แล้ว ทำไมบุญกุศลถึงยังไม่มาอีก?” ฟางเจิ้งพูดพึมพำ เขานอนไม่หลับ กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ การจับรางวัลหลายครั้งก่อนหน้าทำให้เขาเข้าใจความหวานอร่อย ตอนนี้มีโอกาสอีกแล้วย่อมรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา
“โฮ่งๆ…” หมาป่าเดียวดายเห่าสองที
“นายจะบอกว่าฉันมองผิดรึเปล่าเหรอ? จะเป็นไปได้ไง? นี่มันเนตรสวรรค์นะ! เห็นเคราะห์ภัยคนอื่นภายในสามวัน! แม่นอยู่แล้ว” ฟางเจิ้งเคาะหัวหมาป่าเดียวดายไปทีหนึ่ง
“โฮ่งๆ…”
“อืม…นายว่าเวลาผิดเหรอ? เป็นไปไม่ได้ รออีกหน่อย…”
ดวงจันทร์อยู่กลางฟ้า ฟางเจิ้งรอจนตาสองข้างทะเลาะกัน สุดท้ายก็กลับไปนอนภายใต้สายตาดูถูกของหมาป่าเดียวดาย
ตอนนี้ในอำเภอเมืองซงอู่เขตตี้จิ่งหวาถิง พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น “เฮ้ย! ลืมไปเลย!”
“ไอ้โหวจื่อ ดึกดื่นป่านนี้นายจะเสียงดังทำไม? ตกใจแทบแย่! นายลืมอะไร?” เสียงหลูเสียวอ่าดังแว่วมา
“พวกเรายังไม่ได้จุดธูป! แถมยังไม่ได้บริจาคเงินจุดธูปไว้ด้วย สงสัยจะรีบไป!” โหวจื่อถอนหายใจ
หลูเสียวอ่าได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป “เหมือนว่าจะไม่ดีนะแบบนี้ ไต้ซือนั่นก็ไม่เลว วัดก็ดีมากด้วย”
“ไต้ซือไม่ใช่คนธรรมดา พวกเรากินดื่มของวัดเขาแล้วก็ตบตูดไปกันเลย ไม่ได้เรื่องจริงๆ คงจะถูกดูถูกแล้ว คราวหลังไปอีกคงไม่ได้กินข้าวกับน้ำแล้ว” โหวจื่อว่า
ครึ่งประโยคแรกของโหวจื่อ หลูเสียวอ่ายังไม่รู้สึกอะไร แต่ประโยคหลังกลับสกัดจุดเจ็บที่เธอชอบกิน จึงดูคึกคักขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปพรุ่งนี้อีกรอบไหม?”
“ยากแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปต่างจังหวัดนะ รอกลับมาค่อยว่ากันอีกที เธอช่วยฉันจำด้วยนะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องบริจาคเงินจุดธูปให้ได้” โหวจื่อพูด
หลูเสียวอ่าพยักหน้าขานรับ
วันที่สอง ฟ้าสว่างฟางเจิ้งถามระบบก่อนเลยว่า “ระบบ ได้บุญกุศลรึยัง?”
“อย่าคิดมาก มาแล้วฉันจะบอกเอง” ระบบรำคาญอยู่เล็กน้อยแล้ว
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างจำใจแล้วลุกขึ้นไปทำอาหาร!
พอไม่กินข้าวเย็น เขาก็อยากจะย่างหมาป่าเดียวดายกิน ไม่ง่ายเลยกว่าจะถึงตอนเช้า การกินข้าวจึงเป็นเรื่องด่วนที่สุด!
เนื่องจากหิวมานานฟางเจิ้งจึงไม่กล้ากินข้าวเปล่าๆ แต่ต้มเป็นโจ๊ก ใช้ข้าวผลึก หนึ่งกำกับข้าวธรรมดาสองกำ เทน้ำบริสุทธิ์ลงไป! จุดไฟ ทำอาหาร!
ไม่นานกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ฟางเจิ้งลูบท้อง รู้สึกหิวจะแย่แล้ว
กินข้าวเช้าแล้วฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ในลาน รดน้ำต้นโพธิ์ ปัดกวาดอุโบสถกับลานวัดจนสะอาด
เขาเงยหน้ามองฟ้า ท้องฟ้าขมุกขมัวขุ่นเทา เมฆครึ้มปกคลุมหนาแน่น แรงกดอากาศต่ำมากจนรู้สึกไม่สบายตัว
“ระบบ นายว่าถ้าฟ้าผ่าจะระเบิดวัดเราได้รึเปล่า?” ฟางเจิ้งไม่ได้ถามมั่ว ตอนแรกวัดเอกดรรชนีเคยถูกฟ้าผ่ามาก่อน เขายังจำได้ดี
“ติ๊ง! วางใจ ระบบได้ปรับแก้วัดแล้ว ถ้าฟ้าผ่าก็ไม่เป็นไร”
“ถ้างั้นฉันก็วางใจ” พูดจบฟางเจิ้งก็กลับไปอ่านพุทธคัมภีร์
วันนี้ไม่มีคนมา
ช่วงเช้าผ่านไป ดวงตะวันค่อยๆ ลาลับทางตะวันตก
ขณะเดียวกันโหวจื่อพาหลูเสียวอ่าขับรถอย่างรวดเร็วอยู่บนทางด่วน ขับไปพลางหัวเราะเสียงดัง “ให้พั่งจื่อกินควันดำข้างหลังหน่อย! รถใหม่ฉันมันแรงจริงๆ ฮู้วๆ…”
“นายขับช้าหน่อย มันเร็วไปแล้ว” หลูเสียวอ่าจับเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น
“กลัวอะไร? ตอนนั้นพี่โหวเร็วพอๆ กับหมาป่าสิบสามตัว!” โหวจื่อพูดอย่างมั่นใจ
“ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ?” หลูเสียวอ่าถาม
“เธอไม่รู้อยู่แล้ว ตอนนั้นฉันเพิ่งจบอนุบาล” โหวจื่อตอบ
“นายขับรถตั้งแต่อนุบาลเหรอ? นายไม่มีใบขับขี่นี่?!” หลูเสียวอ่าโมโหบ้างแล้ว ถ้าผู้ชายของตนเชื่อถือไม่ได้ เธอจะจัดการเขาจริงๆ
โหวจื่อหัวเราะเสียงดัง “ฉันเล่นรถเหาะในQQน่ะ เจ้านั่นเร็วมากเลย”
หลูเสียวอ่าโมโห “นายนี่มัน! ตอนนี้ยังมีหน้ามาล้อเล่นอีก ระวังหน่อย ขับช้าๆ”
“รู้แล้วๆ” โหวจื่อขานรับพลางเหยียบคันเร่ง ไม่ได้จะลดความเร็วลงเลย ในกระจกมองหลัง รถพั่งจื่อกับเจียงถิงถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ ในใจนึกลำพองใจ หลูเสียวอ่าพลันว่า “โหวจื่อ ช้าลงเดี๋ยวนี้!”
“จะตะโกนทำไม ขับรถอยู่ เธออย่าทำให้ฉันเสียสมาธิได้ไหม?” โหวจื่อก็โมโหบ้างแล้ว
“ไม่ใช่ นายดูรถข้างหน้าสิ เหมือนรถบรรทุกเลย รถบรรทุกถ่าน” หลูเสียวอ่าตอบกลับ
“รู้แล้วๆ เห็นแล้ว รถบรรทุกถ่าน เจ้านี่มีหลายคันเลย…อืม หืม? รถบรรทุกถ่านหลายคันเหรอ?” โหวจื่อพลันนึกถึงคำพูดที่ฟางเจิ้งเคยพูดกับเขาไว้
หลูเสียวอ่าพูดต่อทันที “นึกออกแล้วใช่ไหม? นายรับปากไต้ซือแล้วนี่ว่าถ้าเห็น รถพวกนี้จะต้องลดความเร็วลง ขับช้าๆ รักษาความเร็วรถไว้ ไม่ฟังฉัน ฟังไต้ซือหน่อย ได้ไหม?”
“ได้ๆๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันดูก่อนว่ากี่คันค่อยว่ากัน” โหวจื่อเหยียบคันเร่งตามไปอีกครั้ง นับไปทีละคันก็เป็นรถบรรทุกใหญ่สี่คันพอดี! พอนึกถึงความมหัศจรรย์ของฟางเจิ้งรวมถึงคำพูดเขาแล้ว โหวจื่อเหยียบเบรกโดยจิตใต้สำนึก ลดความเร็วลง
ตอนนี้เองรถใหญ่คันหน้าสุดพลันเปลี่ยนไปใช้เลนแซง จากนั้นเบรกรถอย่างบ้าคลั่งส่งเสียงดังเอี๊ยด แต่ด้วยความหนักจึงถลาไปข้างหน้าพร้อมกับควันขาว ตัวรถแทบจะเป็นแนวขวาง!
รถใหญ่อีกสามคันก็รีบเบรกเหมือนกัน ส่งเสียงเบรกดังแสบแก้วหู…
แต่ตอนนี้โหวจื่อลดความเร็วลงแล้ว รีบเหยียบเบรกอีกหลายที รถส่งเสียงเบรก แสบแก้วหูเหมือนกัน ความเร็วลดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ทิ้งระยะห่างจากรถบรรทุก