เสวียนจีกลับถึงที่พักตน ก็มองเห็นเด็กหญิงชุดขาวขลิบแดงสองคนยืนอยู่หน้าประตูมาแต่ไกล นางจ้องมาอยู่นาน จึงคิดได้ว่าเป็นเครื่องแต่งกายของศิษย์หออวี้หยางถัง
หออวี้หยางถังอยู่ในความดูแลของท่านอาหง ดูท่าแล้วท่านอาหงต้องการพบนางจริงๆ
นางเดินเข้าไปช้าๆ เด็กหญิงสองคนหน้าประตู คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย เห็นนางมาก็ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็กใหม่มาแล้ว! อาจารย์รอเจ้าอยู่ข้างในนานแล้ว! รีบเข้าไปเถอะ!”
ศิษย์น้องเล็กใหม่? นางงงไปหมด
สองคนนั้นเห็นนางยังอึ้งอยู่ อดเร่งไม่ได้ “รีบเข้าไปเถอะ! อย่าให้อาจารย์รอนานไป อาจารย์โมโหมฃน่ากลัวมาก”
เสวียนจี “อ้อ” คำหนึ่ง กำลังจะเดินเข้าไป คิดไปคิดมาก็พลันเงยหน้ายิ้มให้พวกนางเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “ขอบคุณพี่สาว”
สองคนนั้นเห็นนางน่ารักน่าทะนุถนอมเช่นนี้ ใจก็อ่อนยวบ คนหนึ่งชอบที่หออวี้หยางถังจะมีศิษย์น้องเล็กหน้าตางดงามเพิ่มอีกคน
เสวียนจีผลักประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านใน มีท่านอาหง ยังมีท่านพ่อและท่านแม่ นางโผล่หัวเข้าไปมองอย่างกลัวๆ กล้าๆ เห็นทั้งสามคนอยู่พร้อมหน้า ข้างๆ ยังมีจงหมิ่นเหยียนและหลิงหลงนั่งอยู่
หลิงหลงตาดี เห็นเสวียนจีผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ที่ประตูก่อนแล้ว กระโดดขึ้นร้องเสียงดัง “น้องเสวียนจีมาแล้ว! ทำไมมัวแต่หลบอยู่ตรงนั้นล่ะ! รีบเข้ามา!”
กล่าวจบก็วิ่งไปดึงนางมายังเบื้องหน้าคนทั้งสามด้วยท่าทีสนิทสนม กล่าวยิ้มๆ ว่า “อาจารย์อา น้องเสวียนจีมาแล้ว”
เสวียนจีส่งเสียงเรียกท่าทางนิ่งสงบ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอาหง”
ฉู่เหล่ยขมวดคิ้ว “เจ้าเหตุใดไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ เรียกอะไรท่านองท่านอา!”
เสวียนจีถูกบิดาตวาด ก็รีบห่อไหล่ไม่พูดอันใดอีก
ฉู่อิ่งหงรีบยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่อย่าได้ตำหนินาง เป็นข้าให้เสวียนจีเรียกท่านอาหงเอง ดูสนิทสนมดี ข้าก็เห็นนางเป็นดังหลานสาวแท้ๆ”
กล่าวจบก็กวักมือเรียกเสวียนจี “มาตรงข้านี่ ไม่ได้เจอหลายวัน เหมือนสูงขึ้นนะ”
เสวียนจีถูกรั้งคอดึงทั้งตัวเข้าสู่อ้อมกอดนางราวกับแมวตัวหนึ่ง ขาดแค่ไม่ได้แกว่งหางร้องเหมียวๆ เท่านั้น
เหอตันผิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “สนิทกับลูกสาวข้าตอนไหนกัน ข้าเป็นแม่ถึงกับไม่รู้”
ฉู่อิ่งหงลูบผมอ่อนนุ่มของเสวียนจี กล่าวอ่อนโยนว่า “ก่อนหน้าข้าไม่รู้ว่านางเป็นเด็กดีเช่นนี้ ตอนนี้อดเอ็นดูนางไม่ได้”
หลิงหลงที่อยู่ข้างๆ เห็นฉู่อิ่งหงสนิทกับเสวียนจีเช่นนี้ ก็ดึงแขนเสื้อนาง ออดอ้อนว่า “อย่างนั้นข้าล่ะ อาจารย์อา ข้าเรียกท่านว่าท่านอาหงได้หรือไม่”
ฉู่อิ่งหงกำลังจะกล่าว ฉู่เหล่ยข้างๆ ขมวดคิ้วขึ้นก่อนแล้ว กล่าวว่า “แต่ละคนล้วนไร้ธรรมเนียม อย่าก่อกวน วันนี้มีเรื่องสำคัญ นั่งเงียบๆ หน่อย”
หลิงหลงเห็นบิดาเป็นดังแมวที่เห็นหนูตามมาตรฐานปกติ ไม่ออกอาการแสดงอารมณ์อันใดต่อ ได้แต่กลับไปนั่งอย่างสงบเสงี่ยมเชื่อฟัง
ฉู่เหล่ยกระแอมไอในลำคอ กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “เสวียนจี นับดูเจ้าก็สิบเอ็ดแล้ว อยู่เส้าหยางมาหลายปีเช่นนี้ กลับไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย”
เสวียนจีคิดว่าวันนี้พวกเขาหลายคนมารวมตัวกันเพื่อตำหนิตน หน้าม่อยลงทันที ไม่มีแก่ใจแสดงท่าทีสนิทสนมกับฉู่อิ่งหงอีก
“ดีที่อาจารย์อาเจ้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นต้นกล้าดี” ฉู่เหล่ยเปลี่ยนประเด็น “ในเมื่อเจ้าอยู่เส้าหยางเรียนไม่ได้ผลอันใด คิดว่าที่นี่คงไม่เหมาะกับเจ้า ไม่สู้ติดตามอาจารย์เจ้าไปยอดเขาเสี่ยวหยางละกัน คารวะนางเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการ วันหน้าไม่อนุญาตให้เกียจคร้านอีก เข้าใจไหม”
กล่าววาจานี้ออกไป ไม่เพียงเสวียนจีอึ้งไป แม้แต่จงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงเองก็พากันตกตะลึง
“ท่านพ่อ ท่านจะขับไล่น้องเสวียนจีไป?” หลิงหลงส่งเสียงขึ้นเป็นคนแรก “ข้าไม่ยอม! เหตุใดต้องให้นางไปจากเส้าหยาง! ท่านไล่นาง ไม่สู้ให้ข้ากับนางไปยอดเขาเสี่ยวหยางด้วยกันให้จบไปเลย!”
“เหลวไหล!” ฉู่เหล่ยสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวน้ำเสียงเข้มงวดว่า “ขับไล่อันใด! ล้วนเป็นศิษย์สำนักเส้าหยาง! เจ้าหุบปากกลับไปนั่งที่!”
หลิงหลงโมโหจนเกือบจะร้องไห้ เสียงสั่นกล่าวว่า “เห็นๆ อยู่ว่าจะแยกน้องออกจากพวกเรา ยังบอกว่าไม่ได้ไล่ ยอดเขาเสี่ยวหยางไกลเช่นนั้น จะพบหน้ากันสักครั้งก็ต้องใช้เวลานาน ยังไม่รู้วันหน้าจะได้พบหน้ากันไหม!”
เหอตันผิงถอนใจกล่าวว่า “หลิงหลงพูดน้อยหน่อย! นี่เป็นเรื่องดี ร้องไห้เอะอะทำไม อารมณ์ราวเด็กน้อยจริงๆ”
จงหมิ่นเหยียนดึงมือหลิงหลง บุ้ยใบ้ให้นางอย่าได้แสดงอารมณ์ออกมา กว่าจะปลอบให้นางกลับไปนั่งที่ได้ก็ไม่ง่าย
“เสวียนจี ยินยอมไปยอดเขาเสี่ยวหยางกับท่านอาหงไหม” ฉู่อิ่งหงลูบศีรษะเสวียนจี ถามอ่อนโยน
นางอึ้งไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ยินยอม แต่ทว่า…ข้าเองก็ไม่อยากจากหลิงหลงกับศิษย์พี่…กับทุกคน”
ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “เด็กโง่ ใช่ว่าวันหน้าจะไม่ได้พบกันอีก ขอเพียงเจ้าอยากพบ ก็กลับมาหาพวกเขาทุกวันได้นี่”
นางคิดอย่างจริงจัง สุดท้ายพยักหน้า “ตกลง เช่นนั้นข้าก็จะไปยอดเขาเสี่ยวหยางกับท่านอาหง”
ฉู่อิ่งหงเดิมกลัวนางไม่ยอม เตรียมวาจามากมายเอาไว้ คิดไม่ถึงนางรับปากง่ายดายเพียงนี้ อดยินดีไม่ได้ หันกลับไปกล่าวกับฉู่เหล่ยว่า “เจ้าสำนัก หลังจบงานชุมนุมปักบุปผา ข้าก็จะพาเสวียนจีไป”
ฉู่เหล่ยพยักหน้า “เสวียนจี ในเมื่อติดตามอาจารย์อาไปยอดเขาเสี่ยวหยาง ก็อย่าได้เรียกท่านองท่านอาอันใดอีก นางรับเจ้าเป็นศิษย์หออวี้หยางอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าเรียกนางอาจารย์จึงจะถูกต้อง”
เสวียนจีเหมือนไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่ก็ยังเรียกขึ้นเบาๆ ว่า “อา…อาจารย์”
ฉู่อิ่งหงดีใจคว้ามือนางขึ้นมา ยิ้มกว้างเบิกบานใจ
เหอตันผิงข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า “เรียกแค่อาจารย์ไม่พอ ต้องโขกศีรษะคำนับด้วย ยังต้องยกน้ำชา จึงจะเป็นพิธีคารวะอาจารย์ ท่านพี่ ท่านว่าอย่างไร”
ฉู่เหล่ยพยักหน้า ฉู่อิ่งหงรีบกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่รีบ รอให้ถึงหออวี้หยางถัง ค่อยดำเนินพิธีคารวะอาจารย์อย่างเป็นทางการแล้วกัน”
นางรู้ว่าเสวียนจีเป็นเด็กมีความคิดเป็นของตนเอง ดูโอนอ่อนผ่อนตาม แต่ห้ามบีบให้นางทำสิ่งที่ไม่ชอบเด็ดขาด หากเรื่องคารวะอาจารย์ทำให้นางรู้สึกไม่ดี เช่นนั้นแม้ได้เป็นอาจารย์นาง ก็ไม่อาจสอนสั่งนางให้ดีได้
เรื่องนี้จึงตกลงกันเช่นนี้ ผู้ใหญ่สามคนพึงพอใจ ฉู่เหล่ยกับเหอตันผิงแต่ไรมาก็ปวดหัวกับบุตรสาวคนเล็กที่เกียจคร้านลงโทษก็ไม่อาจตัดใจลงโทษหนัก ปล่อยตามใจก็มีแต่ทำร้ายนาง ดีที่ฉู่อิ่งหงยอมรับนางเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ฉู่อิ่งหงเห็นโลกมามาก ความสามารถมาก เชื่อว่านางรู้ว่าจะสอนเสวียนจีอย่างไร เทียบกับพวกเขาสองคนที่สอนอย่างแข็งทื่อแล้วดีกว่าไม่รู้กี่เท่า
กำลังดีใจอยู่นั้น ก็พลันได้ยินหลิงหลงกล่าวว่า “ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าก็จะไปยอดเขาเสี่ยวหยางด้วย คารวะอาจารย์อาเป็นอาจารย์!”
ทุกคนพากันอึ้ง โดยเฉพาะจงหมิ่นเหยียน ร้อนใจเอาแต่เกาหัว ไม่รู้จะทำเช่นไรดี
เหอตันผิงถอนใจกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่วันนี้เอาแต่เอะอะ อยู่เส้าหยางดีๆ ไยต้องไปยอดเขาเสี่ยวหยาง”
หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดนางต้องไป! ข้าไม่สน ข้าไม่แยกจากนาง! นางไปที่ไหนข้าก็ไปที่นั่น!”
ฉู่เหล่ยหน้าบึ้ง ตวาดว่า “ห้ามโวยวาย! หลายวันนี้ยุ่งกับงานชุมนุมปักบุปผา ยังไม่ทันได้ดูกระบวนท่ากระบี่เจ้าว่าเป็นอย่างไร กลับเอาแต่มาสนใจในเรื่องเหลวไหล! ครั้งหน้าตอนตรวจสอบผลการฝึก หากมีสักกระบวนไม่ได้มาตรฐาน เจ้าก็ต้องถูกกักตัวหันหน้าเข้าหากำแพงสำนึกตน ไม่เรียกก็ไม่ให้เจ้าออกมา!”
วาจากล่าวเกินไปแล้ว หลิงหลงทนไม่ไหว แผดเสียงร้องไห้ดัง กระทืบเท้าตะโกนว่า “ท่านพ่อลำเอียง! ท่านพ่อคนไม่ดี!” ตะโกนจบก็วิ่งออกไป ติดที่อาจารย์อยู่ จงหมิ่นเหยียนไม่กล้าไล่ตามออกไป ร้อนใจจนในอกแทบลุกเป็นไฟ
ฉู่เหล่ยเห็นเหอตันผิงเสียใจก็กล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจนาง! เอาใจมากไป ช่างไม่รู้ผู้หลักผู้ใหญ่! ไม่สนใจนางสองสามวันค่อยว่ากัน”
เหอตันผิงเห็นสามีเอ่ยปากก็ได้แต่ทำตาม
อีกสองวันจากนี้ก็จะเป็นการประลองรอบสุดท้ายของงานชุมนุมปักบุปผา บ่ายที่แดดดีลมดี เสวียนจีได้เป็นศิษย์ฉู่อิ่งหง จากนี้ไปก็ไร้วันเวลาที่แสนสบายไร้กังวลในเส้าหยางแล้ว
แน่นอน จากนี้ค่อยว่ากัน