“วันนี้ข้าจะดูซิว่าแท้จริงแล้วเขามีความสามารถเท่าไรกัน!” หลิงหลงกอดอกตั้งใจมั่นว่า หากอูถงกล้าใช้มหาห้าอสุนีบาต นางก็จะพุ่งออกไปใช้กระบี่กรีดหน้าเขา!
“อย่างไรก็ถอยหลังหน่อยจะปลอดภัยกว่านะ” ตู้หมิ่นหังเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว หันกลับไปเห็นเด็กหลายคนไม่ยอมถอย เขาก็ได้แต่เคลื่อนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ปกป้องพวกเขา ดาบกระบี่ไร้ตา หากทำร้ายผู้ใดเข้าอีกก็ไม่น่าดูแล้ว
เสียงเป่าเขาเงียบลง อูถงก็ประสานมือคารวะศิษย์พี่ผู้นั้น กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขอศิษย์พี่ชี้แนะ”
วันนี้เขาเปลี่ยนอาวุธ ที่เอวมีกระบี่สีทองนิลด้ามยาวเรียว ชักออกมากำไว้ คมกระบี่ส่องประกายวาววับ เป็นอาวุธคมดังคาด
เขายกอีกมือหนึ่งขึ้น จับปลายกระบี่ยึดไว้ กระบี่นั้นพลันโค้งงอเป็นวง พอปล่อยมือก็ดีดขึ้นทันที เสียงหึ่งดัง ถึงกับเป็นกระบี่อ่อนที่เรียวยาวเล่มหนึ่ง
ชายแซ่อวี๋ตรงหน้าผู้นั้นพอเห็นอาวุธชิ้นนี้ของเขาส่องประกาย สีหน้าก็พลันหนักใจเล็กน้อยทันที เขาประสานมือเล็กน้อย ยกแขนเสื้อขึ้น ในมือมีกระบี่สั้นสองเล่ม เขาเองก็ใช้กระบี่สั้น
ฉู่อิ่งหงเห็นเขาสองคนคารวะกันเรียบร้อย จึงกล่าวดังกังวานว่า “ฟังสัญญาณข้า เริ่มได้!”
สิ้นเสียง เงาดำสองสายก็เคลื่อนไหวเผชิญหน้ากันทันทีราวสายฟ้าฟาด พริบตาก็เข้าปะทะกัน กระบี่ทองนิลเข้าประชิดหน้าอกอีกฝ่าย อวี๋เจี้ยนหาวใช้สองกระบี่สั้นของเขาเกี่ยวไว้ หนีบไว้ตรงกลาง ในเวลากระชั้นชิดถึงกับดึงไม่ออก
“ศิษย์พี่เขาร้ายกาจกว่าเล็กน้อย” จงหมิ่นเหยียนเห็นกระบวนท่าอูถงยังอ่อนอยู่ เริ่มต้นก็เสียเปรียบ อดดีใจออกนอกหน้าไม่ได้ “นี่เขาย่อมแพ้แล้ว!”
ยังกล่าวไม่ทันจบ พลันได้ยินเสียงดังโลหะเสียดสีกันดังมาจากสนามประลองสองเสียงทำเอาเสียวจนเข็ดฟัน กระบี่ทองนิลของอูถงถึงกับชักออกจากกระบี่สั้นสองเล่มได้ เขาไม่กล้าเข้าโจมตีอีก เก็บกระบี่กลับมาป้องกัน ไม่คิดว่าอวี๋เจี้ยนหาวไวยิ่งกว่าเขา พอเท้าแตะพื้นก็พลิกกายมาพร้อมท่า ‘เด็ดกิ่งหลิวหยาง’ คมกระบี่สั้นส่องประกายวาดผ่านหน้าอกเขาไป หากหลบช้าอีกหน่อย ก็คงบาดเจ็บถึงชีวิตแล้ว
“เยี่ยม!” หลิงหลงส่งเสียงตะโกนขึ้นคนแรก
เห็นเพียงอูถงสะอึกถอยไปหลายก้าวอย่างน่าอนาถก่อนจะยืนมั่นในที่สุด ยกมือลูบหน้าอกทีหนึ่ง เสื้อขาดเป็นแนวยาว ยังมีโลหิตซึมออกมาให้เห็นอยู่เล็กน้อย เขายิ้มเยียบเย็น ปาดโลหิตบนร่างกายอย่างไม่ใส่ใจนัก กล่าวเสียงเข้มว่า “กระบี่ศิษย์พี่อวี๋เร็วมาก ถึงกับจะสังหารข้าเข้าแล้ว!”
อวี๋เจี้ยนหาวผู้นั้นยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “กระบี่บนสนามประลองไร้ตา ศิษย์น้องต้องระวังตนเอง”
อูถงรู้ว่าตนเองฝีมือวรยุทธ์และกระบวนท่ากระบี่สู้ไม่ได้ เขาเข้ามาเป็นสำนักหุบเขาเตี่ยนจิงกลางคัน แต่เล็กไร้พื้นฐานพวกนี้ ดังนั้นมักตามหลังคนอื่นเสมอ หากไม่ใช่วิชาเซียนปกป้องตนเอง ก็คงไม่ได้รับการเหลียวแลจากอาวุโสเจียง
ครั้งก่อนประลองกับศิษย์สำนักเส้าหยาง เขาร้อนใจใช้มหาห้าอสุนีบาต ผู้ใดจะคิดว่าทำให้ทุกคนไม่พอใจ จึงตั้งกฎใหม่ว่าไม่อนุญาตให้ใช้มนตร์คาถาวิชาเซียนพวกนี้ ยามนี้ด้านล่างเวที สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องมองการเคลื่อนไหวของเขา คิดว่าส่วนใหญ่คงรอดูเขาพ่ายแพ้ ถูกคมกระบี่อีกฝ่ายบาดเจ็บได้ก็ยิ่งดี
คิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกแค้นใจ ยิ่งไม่พูดอันใดอีก เพียงเปลี่ยนกระบวนท่ากระบี่อ่อนในมือ ในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้มันก็ราวกับงูวิเศษ เลื้อยสะบัดออกไป
นี่ไม่ใช่วิชาหุบเขาเตี่ยนจิง! อวี๋เจี้ยนหาวตกใจดังคาด รีบหลบถอยอย่างรวดเร็ว หลบหลีกกระบี่ที่ราวกับมีชีวิตนั่น บัดเดี๋ยวบน บัดเดี๋ยวล่าง บัดเดี๋ยวซ้าย บัดเดี๋ยวขวา พลันเริ่มไม่รู้ว่าควรหลบหลีกอย่างไรจึงจะดี
ทันทีที่ลังเล การเคลื่อนไหวก็ชะงัก อูถงเห็นจังหวะ บิดเอว กระบี่นั่นแทงออกไปเฉียดใบหน้าเขา! อวี๋เจี้ยนหาวตกใจมาก ถึงกับสะอึกกายถอยหลังทันที ถอยไปหลายก้าว ไปหยุดที่ราวกั้นเวที จึงหยุดลง
เขายกมือลูบแก้ม เต็มไปด้วยเลือด เมื่อครู่หากไม่ใช่เขาแทงกระบี่ไม่แม่น ครานี้ดวงตาตนเองคงถูกเขาควักออกไปแน่แล้ว
ในใจเขาอดตกใจไม่ได้ อาจารย์บอกว่าอูถงผู้นี้เล่ห์เหลี่ยมมาก มีแต่เขาทำคนอื่น ไม่อนุญาตให้คนอื่นติดค้างเขาแม้สักครึ่งส่วน เป็นพวกมีแค้นต้องชำระโดยแท้ ที่เขาใช้ยังมิใช่วิชาหุบเขาเตี่ยนจิง ลงมือก็เป็นกระบวนท่าสังหารปลิดชีพ ก็ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากที่ใด
ยามนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ศิษย์น้อง! นี่เป็นการประลองอย่างเป็นทางการ เหตุใดจึงใช้วิชาสำนักอื่น นับประสาอันใดกับ…!” นับประสาอันใดกับกระบวนท่าเด็ดกิ่งหลิวหยางที่เขาใช้เมื่อครู่ ยังไม่ได้ใช้กำลังแม้สักครึ่งส่วน ไม่ได้ทำร้ายเขาหนักหนาเลย อูถงกลับลงมือโหดเ**้ยม กระบี่นั่นไม่ได้ควักลูกตาเขาออกมา แต่ใบหน้าเขาเป็นแผลลึกมาก เลือดกลบใบหน้า เจ็บปวดอย่างมาก
อูถงยิ้มเย็นเยียบ ใช้วาจาที่เขากล่าวเมื่อครู่ย้อนกลับไป “กระบี่บนสนามประลองไร้ตา ศิษย์พี่ต้องระวังตนเอง”
อวี๋เจี้ยนหาวสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวดุดันว่า “ข้ายอมให้เจ้าสามส่วน เจ้ากลับเอาจริง! ก็ได้ เช่นนั้นก็มาดูว่ากระบี่ผู้ใดไวกว่ากัน!”
ร่างเขาพลันเปลี่ยนท่าราวกับกระเรียนสยายปีก กระบี่สั้นในมือพริบตากลายเป็นพันหมื่นเล่ม ในห้วงเวลานั้นไม่อาจแยกแยะได้ว่าอันใดจริงอันใดเท็จ
อูถงยิ่งไม่ยอม บุกเข้าไปรับอีกกระบวนท่า
เงาดำสองสายปะทะกันก่อนจะสะดุ้งถอย พลันปะทะเข้าต่อสู้พัวพันกันอีก ได้ยินเพียงเสียงกระบี่ปะทะไม่หยุด ทั้งสองล้วนทุ่มกำลังเต็มที่ หนึ่งเป็นวรยุทธ์ดั้งเดิมแห่งหุบเขาเตี่ยนจิง พลิ้วไหวอิสระดังใจ อีกหนึ่งเป็นวรยุทธ์สำนักอื่นที่ไม่รู้ว่าเปะปะมาจากที่ใด กลิ้งกลอกแปลกประหลาด
หลิงหลงเห็นเพียงแสงสีดำวิบวับจากกระบี่ในมืออูถง ราวกับรอบกายเขามีดอกเหมยดำเบ่งบานหลายดอก ทั้งสองพลันแยกไม่อออกว่าผู้ใดได้เปรียบ นางร้อนใจร้องตะโกน “เจ้าคนแซ่อวี๋! สู้ๆ! มาแพ้ให้ศิษย์น้อง เจ้าขายหน้าไหม?!”
ทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันพัวพันบนสนามประลอง ไหนเลยจะได้ยินเสียงนางตะโกนว่าอันใด หากเพียงเสียสมาธิเล็กน้อยก็จะมีภัยถึงชีวิตทันที
ศิษย์เส้าหยางด้านล่างเวทีพอได้ยินหลิงหลงตะโกน ก็เลียนแบบท่าทางได้เรื่องของนาง หลายสิบคนพากันตะโกนพร้อมกัน “เจ้าคนแซ่อวี๋! แพ้ให้ศิษย์น้อง เจ้าขายหน้าไหม?!”
“ศิษย์พี่อวี๋ อย่าแพ้เขานะ!”
“จัดการศิษย์ทรยศไร้คุณธรรมใต้คมกระบี่!”
พวกเขาตะโกนเช่นนี้ สำนักอื่นก็ร่วมเฮตามไปด้วย พากันตะโกนตามมา ในยามนี้คนส่วนใหญ่ล้วนให้กำลังใจศิษย์พี่ มีคนส่วนน้อยที่เลียนแบบตะโกนตาม ฉับพลันนั้นเอง บนสนามประลองล้วนตะโกนให้กำลังใจอวี๋เจี้ยนหาวทั้งหมด เจ้าสำนักแต่ละสำนักก็ไม่ห้ามปราม ได้แต่แอบส่ายหน้า
ทั้งสองต่อสู้พัวพันกันอยู่นั้น ก็พลันแยกออกจากกัน อูถงตีลังกาสองทีติดกัน พลันล้วงเอากระดาษสีดำมันหลายแผ่นออกจากในแขนเสื้อ
หลิงหลงตกใจร้องตะโกนดังว่า “หลบเร็ว! เขาจะปล่อยมหาห้าอสุนีบาตอีกแล้ว!”
กล่าวจบก็คว้าตัวเสวียนจีไว้ ลื่นไถลตัวลงจากหินก้อนใหญ่ นั่งยองลงไม่ยอมขยับ
ตู้หมิ่นหังลากนางสองคนขึ้นมา สีหน้ายิ้มได้ร้องไห้ก็ไม่ออก “ไม่ใช่มหาห้าอสุนีบาต เจ้าดู!”
เขาชี้ไปบนเวที หลิงหลงโผล่หน้าออกไปมองอย่างหวาดระแวง เห็นเพียงยันต์คาถาไม่กี่แผ่น บ้างก็เป็นธนูน้ำ บ้างก็เป็นมังกรไฟ ไม่ใช่มหาห้าอสุนีบาตจริงๆ
“อา! วิชาห้าธาตุ! เขาปล่อยน้ำและไฟพร้อมกันได้!” หลิงหลงเบิกตาโตจ้องมองอย่างตกใจ
ตู้หมิ่นหังพยักหน้ากล่าวว่า “จริง…และพลังของเขาไม่เหมือนพวกหุบเขาเตี่ยนจิง ดูแล้วเหมือนพวกศิษย์ที่เข้ามาศึกษากลางคันมากกว่า ก่อนหน้าไม่เห็นรู้ว่าไปเรียนความสามารถบ้าๆ บอๆ พวกนี้มาจากไหน”
พวกเขาทางนี้กำลังคุยกัน อวี๋เจี้ยนหาวหลบวิชาคาถาเซียนอย่างทุลักทุเลยิ่ง
ห้าสำนักตั้งกฎแล้ว ศิษย์ทุกคนอายุยี่สิบจึงจะฝึกมนตร์คาถาวิชาเซียน เขายังไม่ถึงอายุเรียน จึงได้แต่รู้จักมนตร์คาถาแค่ระดับตื้น ไหนเลยจะรับมือวิชามังกรน้ำไฟของอูถงที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้ กระบวนท่าอาวุธทั่วไปต่อหน้าวิชานี้ก็ราวกับเต้าหู้ ซัดเข้าไปกระบี่ในมือเขาก็ถูกเผาปริแตก ไม่อาจใช้การได้อีก
กว่าจะหลบการยิงของธนูน้ำได้ เขาหลบไปยังอีกมุมของเวที ส่งเสียงหลงร้องดัง “อูถง! นี่มันผิดกฎ! การประลองไม่ให้ใช้มนตร์คาถาพวกนี้!”
อูถงสีหน้าเคร่งเครียด ราวกับไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนย่ำแย่ของเขา นิ้วมือราวกับดอกกล้วยไม้ สะบัดเบาๆ มังกรไฟที่ส่ายหัวสะบัดหางกลางท้องฟ้าก็เหมือนรับคำสั่ง พุ่งทะยานเข้าใส่อวี๋เจี้ยนหาวที่ไร้อาวุธ
หากโดนมันกระแทกเข้า อวี๋เจี้ยนหาวไม่ตายก็ย่อมราวกับตาย เสียงเอะอะดังขึ้นกลางสนาม ฉู่อิ่งหงรีบเข้าไปยุติการประลองที่ผิดกฎนี้
ผู้ใดจะรู้ว่านางยังไม่ทันขยับ มังกรไฟนั้นก็หลบจากศีรษะของอวี๋เจี้ยนหาวเอง
อูถงยกมือที่กำลังร่ายคาถาลง ถือกระบี่ยังคงไม่หยุด ก้าวเข้าไปจะแทงใส่อวี๋เจี้ยนหาวที่ยังตะลึงอยู่
“ผิดกฎ! เขาผิดกฎแล้ว!” เวทีด้านล่างพลันส่งเสียงตะโกนร้องดังมาเสียงหนึ่ง
เขาสะดุ้งในใจ หันไปมองเห็นเป็นหลิงหลง เท้าเอว ตะโกนอย่างดุเดือด “เขาผิดกฎ! การประลองนี้ควรให้เขาแพ้! ชั่วร้ายชั้นต่ำ!”
ในใจเขารังเกียจผีน้อยกลุ่มนี้ของสำนักเส้าหยางอย่างที่สุด ก่อนหน้ารุมทำร้ายจับเขาแขวนห้อยบนต้นไม้ ขายหน้าไปหมด บัญชีนี้เขายังไม่ทันได้คิดเลย!
คิดถึงตรงนี้ เขาก็พลันหยุด แสร้งทำเป็นจะล้มลง คมกระบี่โงนเงน แทงตรงไปยังทิศทางที่หลิงหลงอยู่!