“ข้ามักคิดถึงพวกเจ้า” เสวียนจีหาว กล่าวเสียงเบาว่า “ห้องพักศิษย์ยอดเขาเสี่ยวหยางทั้งกว้างทั้งว่างเปล่า ข้านอนคนเดียวในห้องกว้างเงียบกริบ ไม่มีเสียงอันใดเลย ตอนนั้นข้ามักคิดถึงพวกเจ้า ไม่รู้พวกเจ้าทำอะไรอยู่”
ในความมืด หลิงหลงนิ่งเงียบฟังเสียงนาง ความรู้สึกแต่เก่าก่อนค่อยๆ ฟื้นกลับคืนมา เด็กหญิงตรงหน้ายังคงอ่อนแอ ต้องการการปกป้องจากตน ล้วนฟังการกำกับจากตน
นางกุมมือเสวียนจีเบาๆ เหมือนวัยเด็ก แนบหน้าผากกับนาง หลับตาลงกระซิบว่า “ข้าเอง…ก็คิดถึงเจ้าบ่อยๆ กลัวว่าเจ้าจะไม่ชินกับทางนั้น ถูกคนรังแก…ข้าไม่อยู่ข้างกายเจ้าอีกด้วย”
“หลิงหลง…” เสวียนจีเรียกนาง ทั้งสองพลันหัวเราะออกมา กำแพงที่ห่างกันไปสี่ปีราวกับถูกทลายลงในพริบตา
“แต่ตอนนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าคอยปกป้องแล้ว” หลิงหลงกล่าวน้ำเสียงนิ่งลึก “ไม่ได้เจอกันสี่ปี เหมือนว่าเจ้าอะไรก็เป็นหมด ข้ากลับยังคงเหมือนเดิม วิชาเซียนครึ่งๆ กลางๆ วิชาหยางเชวี่ยกงก็มักไม่ผ่านขั้นแรก แม้แต่เจ้าหกยังทิ้งข้าไปหลายช่วงถนนแล้วเลย”
เสวียนจีลืมตา จ้องมองนางครู่หนึ่ง หลิงหลงถูกนางมองจนรู้สึกหนาวสั่นในใจ ผลักนางทีหนึ่ง กล่าวเสียงดังว่า “มองอะไร!”
นางหัวเราะดัง พลิกตัวราวกับแมวตัวใหญ่แสนเกียจคร้านตัวหนึ่ง แขนขาที่ขดอยู่ก็กางออก นิ้วมือขาวผ่องลูบใบหน้าสองที ค่อยๆ กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ข้าเรียนอะไรเป็นบ้างก็ไม่กระจ่างนัก แต่เจ้าโตเป็นสาวงามแล้ว ข้าเห็นด้วยตา”
หลิงหลงหน้าแดง แอบดีใจ กระแอมไอสองทีก็ทำท่าทางเป็นการเป็นงานถามนางว่า “ข้า…ไหนเลยเป็นสาวงามแล้ว ข้าเปลี่ยนไปมากหรือ”
“เปลี่ยนไปมาก” อยู่ๆ เสวียนจีก็ลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือมาลูบคางนางทีหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงหยาบคายยิ่งว่า “สาวน้อย ยิ้มให้พี่ที!”
“ไปเลยไป!” หลิงหลงค้อนใส่นางทีหนึ่ง
ทั้งสองเขยิบเข้าใกล้กัน รู้สึกถึงความอบอุ่นกำจาย ในใจเบิกบานราวกับกลับไปสู่วัยเด็กที่ไร้กังวล หนึ่งทำผิด หนึ่งคอยปกป้อง ค่อยๆ เข้าสู่ความมืดอย่างเงียบงัน สองมือกุมกันแน่น ผู้ใดก็ไม่คิดแยกจากผู้ใดอีก
เวลาผ่านไปราวโบยบิน พริบตาก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ทุกคนในสำนักเส้าหยางตั้งแต่ศิษย์ไปถึงอาจารย์ล้วนหยุดการฝึกฝนบำเพ็ญหนักที่เป็นปกติ ตั้งใจรอคอยงานฉลองปีใหม่ที่จะมาถึง แต่ละหอก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ ลงเขาซื้อของก็ลงเขาซื้อของไป ปัดกวาดก็ปัดกวาดไป ตัดเสื้อผ้าใหม่ก็ตัดไป แต่ละคนล้วนยุ่งกับงานกันเบิกบานใจ
บรรดาศิษย์รุ่นอักษรหมิ่นไม่ใช่เด็กน้อยนานแล้ว ย่อมไม่อาจแอบเกียจคร้านเที่ยวเล่นเหมือนก่อนได้อีก พอเช้าตรู่มา พวกจงหมิ่นเหยียนก็ถูกส่งไปปัดกวาดทำความสะอาดยอดเขา เสวียนจีกับหลิงหลงก็ไม่ได้พัก ภารกิจนางสองคนก็คือไปอุโมงค์สุรา นำไหสุราดอกหลีที่เก็บไว้นานปีหนึ่งไปเตรียมไว้ใช้ที่ห้องครัว
แต่ไรมาเสวียนจีก็มีนิสัยไม่ดีตรงไม่ยอมตื่นนอน เมื่อก่อนอยู่เส้าหยางยังไม่กล้านอนอย่างนี้ ปรากฎพอไปยอดเขาเสี่ยวหยาง ไม่มีคนยุ่งกับนาง นางดีใจนอนจนตะวันสายโด่ง ผู้ใดจะรู้ว่ากลับมาเส้าหยางครั้งนี้ ทุกคนได้ยินเสียงไก่ขันย่อมรีบตื่นนอน นางเองก็ไม่อาจไม่ถูกหลิงหลงลากขึ้นจากเตียง สะลึมสะลือเดินไปยังอุโมงค์สุรา
“อย่าขยี้ตา! ตาแดงเหมือนกระต่ายแล้ว!” หลิงหลงดึงมือนางไว้ “หลายปีมานี้เหตุใดยังคงไม่ทิ้งนิสัยเกียจคร้าน! รีบตื่นเร็ว!”
เสวียนจีถูกนางลากเดินทั้งยังสะลึมสะลือไม่ตื่นดีนัก ศีรษะผงกจนเกือบถึงพื้น เกือบจะชนเข้ากับกำแพง
“ดูเจ้าสิ! ดูไม่ได้เลย!”
หลิงหลงวางท่าทางเป็นพี่สาวขึ้นมาอีกครั้ง ตำหนินางท่าทางจริงจัง ยังไม่ทันเอ่ยออกไป ก็พลันได้ยินด้านหลังมีคนเรียกนาง “ศิษย์พี่หลิงหลง!”
ทั้งสองหันกลับไปพร้อมกันเห็นเด็กน้อยอายุสิบเอ็ดสิบสองสองสามคนกำลังวิ่งมา คนนำมาเป็นเด็กหญิงหน้าตางดงามตาโต สีหน้ามีชีวิตชีวา สีหน้าเหมือนกับหลิงหลงตอนเป็นเด็กอยู่เจ็ดแปดส่วน
“เอ๋ เหวินอิง! มีอันใดหรือ”
ที่แท้เด็กเหล่านี้เป็นศิษย์รุ่นอักษรเหวินที่รับมาใหม่ แต่ละคนน่ารักไร้เดียงสามาก เนื่องจากหลิงหลงหน้าตาเบิกบานที่สุด สวยที่สุด และยังชอบทำตัวเป็นพี่สาว ดังนั้นเด็กหญิงหลายคนล้วนชอบเล่นกับนาง ปกติไม่มีอันใดก็จะมาหานาง
เด็กหญิงที่ชื่อเหวินอิงผู้นั้นกำลังจะกล่าวบางอย่าง พลันมองไปเห็นเสวียนจีข้างๆ สีหน้างุนงงก็ตะลึงครู่หนึ่ง สี่ปีมานี้เสวียนจีอยู่แต่บนยอดเขาเสี่ยวหยาง ดังนั้นศิษย์ใหม่เส้าหยางล้วนไม่รู้จัก
หลิงหลงรีบแนะนำ “นี่คือศิษย์พี่เสวียนจี เป็นน้องสาวข้า นางติดตามอาจารย์ฉู่ไปบำเพ็ญเพียรบนยอดเขาเสี่ยวหยาง ครั้งนี้กลับมาฉลองปีใหม่”
เด็กเหล่านั้นพากันคำนับอย่างนอบน้อมทันที “คารวะศิษย์พี่เสวียนจี!”
เสวียนจีพยักหน้าไปอย่างนั้น ขยี้ตาแล้วก็เดินไป นางยังไม่ตื่นดี
“หาข้ามีอันใด มีคนรังแกพวกเจ้า?”
หลิงหลงถามเสียงใส คิดว่ามีเด็กป่าเถื่อนไร้ลูกตาที่ไหนมารังแกศิษย์น้องตน
เหวินอิงรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่! ศิษย์พี่หลิงหลง ไม่ใช่ว่าจะฉลองปีใหม่แล้วหรือ พวกข้าอยากมาร่วมงานรื่นเริงด้วย พอดีศิษย์น้องเหวินอวี้บอกว่าเมื่อก่อนนางเคยเรียนเต้นรำ ดังนั้นพวกเราจึงได้หารือกัน ฉลองปีใหม่ก็จัดระบำสักชุดและอะไรอีกสักหน่อย ให้ทุกคนได้รื่นเริงกัน”
หลิงหลงตาเป็นประกาย ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเสนอความคิดได้ดี! ไม่เลวนะ! ฟังแล้วน่าสนุก!”
เหวินอิงหัวเราะแหะๆ “ดังนั้น ต้องให้ศิษย์พี่ไปลองคุยกับอาจารย์หน่อย…พวกข้ากลัวอาจารย์ไม่พอใจ…ท่านอาจารย์แต่ไรก็ค่อนข้าง…คือว่า คือว่าเข้มงวดจริงจัง”
หลิงหลงตบหน้าอกตนเองทันที “ไม่เป็นไร ข้าจัดการเอง! พวกเจ้าแค่ไปฝึกฝนมาก็พอ!”
เหวินอิงได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ พลันดีใจกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่! จริงๆ แล้วแค่พวกข้าเด็กน้อยเล่นกันไม่เท่าไร พวกศิษย์พี่ก็ควรเตรียมรายการรื่นเริงอันใดไว้บ้าง จึงจะสนุกยิ่งขึ้นนะ!”
หลิงหลงเป็นคนชอบความครึกครื้น ไหนเลยมีเหตุผลที่จะไม่เข้าร่วม รีบกล่าวติดๆ กันว่า “ไม่เลว ไม่เลว! กลับไปข้าลองถามพวกศิษย์พี่จง ย่อมไม่แพ้เด็กผีน้อยเช่นพวกเจ้าหรอก!”
เด็กซุกซนผีน้อยพวกนั้นพากันหัวเราะแหะๆ เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังนางกล่าววาจาเอาใจอยู่สักครู่ก่อนจะขอตัวกลับไป
หลิงหลงหันกลับไปหาเสวียนจี กำลังจะคุยกับนางว่าเตรียมรายการรื่นเริงอันใดมาเล่นดี กลับเห็นนางพิงต้นไม้ หลับแล้ว!
“เจ้าผีน้อย! ยังเหมือนเดิม!”
ดังนั้นจึงทำให้หลิงหลงบ่นได้ทั้งวัน
กว่าจะขนสุราออกมาหมด กลับถึงลานหน้าที่พัก เสวียนจีตะโกนดังขึ้นว่าปวดเอวปวดหัว จะไปนอน ทั้งสองส่งเสียงโหวกเหวกผลักประตูเข้าไป เห็นเหอตันผิงนั่งอยู่ด้านใน ก้มหน้าเย็บอะไรสักอย่าง เห็นนางสองคนกลับมา นางก็อมยิ้มกวักมือเรียก “มานี่เร็ว มาลองชุดใหม่”
นางกางสิ่งที่เย็บอยู่ในมือออก เป็นชุดใหม่สองชุด ชุดหนึ่งสีเขียว ชุดหนึ่งสีชมพู
หลิงหลงรีบวิ่งเข้าไป คว้ามามองดูซ้ายทีขวาที ชอบจนไม่อาจปล่อยมือ กล่าวทันทีว่า “นี่เป็นกระโปรงสือหลิวแบบใหม่! ท่านแม่ ท่านตัดเองหรือ”
เหอตันผิงยิ้มกล่าวว่า “แม่เป็นแต่จับกระบี่ ไหนเลยตัดเสื้อผ้าเป็น นี่เป็นผ้าใหม่ที่เพิ่งซื้อไปให้ช่างที่ด้านล่างเขาตัด แม่เห็นกระโปรงสองชุดเรียบโล่ง ไม่มีลวดลายอันใด จึงได้ปักดอกไม้พวกนี้ลงไป มาลองดูว่าพอดีตัวหรือไม่”
หลิงหลงรีบแย่งตัวสีชมพูไปพลางกล่าวว่า “แต่เล็กน้องไม่ชอบสีฉูดฉาดพวกนี้ สีเขียวให้นางแล้วกัน”
เหอตันผิงตวัดสายตามองนาง ส่งเสียงตำหนิ “น้องยังไม่เลือก เจ้ารู้ได้อย่างไรนางไม่ชอบสีแดง”
เสวียนจีรีบแสดงท่าที “ข้าชอบสีเขียว ข้าเอาชุดสีเขียว”
นางสองคนพากันไปเปลี่ยนชุดใหม่ วัดตัวได้พอดีมาก เพียงแต่ว่าชุดสีเขียวนั้น ดอกเสาเย่าเพิ่งปักได้แต่ครึ่งดอก
“เสวียนจี ถอดออกก่อน ให้แม่ปักให้เสร็จก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้เจ้า”
เหอตันผิงเห็นบุตรสาวที่รักในชุดใหม่งดงามอรชรราวหยกสลัก ในใจยินดีเบิกบานยิ่ง
เสวียนจีมองชุดที่สวมอยู่ ส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าปักเอง ยังมียันต์คาถาที่ยังไม่ได้ปักลงไป”
พูดไปนางก็พลางถอดเสื้อออก หยิบเข็มด้ายขึ้นมา ลงมือปักอย่างชำนาญมาก เกือบทำเอาลูกตาหลิงหลงหลุดออกมา
“เสวียนจี? เจ้าเรียนปักดอกไม้มาตอนไหน” นางถามอย่างคาดไม่ถึง ในความทรงจำ น้องสาวตัวน้อยนางแม้แต่เดินก็ไร้ตามอง ต้องบาดเจ็บประจำ!
“อ้อ เพราะอาจารย์ว่าข้าเกียจคร้าน ต้องลืมเขียนยันต์แน่นอน ดังนั้นให้ข้าปักยันต์ไว้บนเสื้อผ้าทุกตัวที่ซื้อมาก่อน หลายปีมานี้ ข้าก็ชินแล้ว แม้แต่อาจารย์ยังชมว่าข้าฝีมือดีเลย!”
เสวียนจียากจะมีเรื่องโอ้อวดได้ ยามนี้ได้ใจยิ่ง ดังคาด ไม่นานก็ปักดอกเสาเย่าดอกหนึ่งเสร็จ ฝีมือประณีตอย่างยิ่ง
จากนั้นก็ควักเอาด้ายสีเงินออกมา เทียบขนาดเสร็จ ก็ปักยันต์คาถาจากบนลงล่างเสร็จอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนปกติเห็นแต่คมกระบี่สะบัดเร็วส่องแสงประกาย ไหนเลยจะเคยเห็นเข็มที่รวดเร็วราวโบยบิน มือเสวียนจีราวกับถูกเซียนว่าคาถาไว้ เร็วจนตกใจ สิบนิ้วเรียวราวกับผีเสื้อสีขาวคู่หนึ่ง เวลาเพียงสองก้านธูป ยันต์คาถาก็ปักเสร็จ
เสวียนจีถอนหายใจ ยกเสื้อขึ้นยิ้มกล่าวว่า “เสร็จแล้ว”
ทั้งสองล้วนพากันตกใจ