การที่ตนเองได้รับเลือกให้เป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้เซียน หน้าตาฟางอี้เจินเปล่งประกายต่างกับก่อนหน้านี้มาก เขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ถึงกับลืม ‘พฤติกรรมไร้มารยาท’ ของพวกจงหมิ่นเหยียนไป เชิญพวกเขาให้ไปพักที่จวนตนด้วยท่าทางมีมารยาทยิ่ง
หลิงหลงไม่ชอบท่าทางเช่นนี้ ส่ายหน้าทันที กล่าวว่า “ไม่จำเป็น! เมืองจงหลีใช่ว่าไม่มีโรงเตี๊ยม ทำไมต้องไปจวนเจ้า”
ฟางอี้เจินถูกนางหักหน้าต่อหน้าเช่นนี้ ก็พลันรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง รั่วอวี้ข้างๆ รีบยิ้มกล่าวว่า “ความปรารถนาดีของคุณชายฟาง ไม่อาจไม่รับไว้ อย่างไรก็เป็นความปรารถนาดีอยากต้อนรับพวกเรา”
เรื่องของเรื่องก็คือฟางอี้เจินไม่อาจตัดใจจากความงามละมุนของเสวียนจีได้ หวังว่าในสองสามวันนี้จะได้ใกล้ชิดนาง ดังนั้นจึงประสานมือกล่าวว่า “โรงเตี๊ยมแม้ดี แต่อย่างไรก็ไม่เหมือนบ้านข้าน้อยจริงใจ ขอจอมยุทธ์ทุกท่านอย่าได้ปฏิเสธ”
ทุกคนเห็นรั่วอวี้เอ่ยปาก ก็ไม่คิดแย้งอีก ตามเขาเข้าไปนั่งในรถม้าหรูหราคันโตอย่างยิ่งคันนั้น เดินทางกลับจวน
“เขาจริงใจ ไม่อนุญาตให้เสวียนจีปฏิเสธ!” หลิงหลงกัดฟันกระซิบกระซาบกับจงหมิ่นเหยียน ทุกคนที่เห็นท่าทางที่เขาแอบลอบมองเสวียนจีแล้ว นางก็แทบอยากจะถีบเขาลงจากรถม้า
จงหมิ่นเหยียนเงยหน้ามองไปทางเสวียนจี นางกำลังนั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่าง แสงนอกหน้าต่างทำให้โครงหน้าของนางทวีความงดงงามอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น บางทีเพราะคนไม่คุ้นเคย จึงมักจะถูกใบหน้างดงามสงบนิ่งเช่นนี้ดึงดูดใจ แต่สำหรับพวกเขาที่โตมาพร้อมเสวียนจีแล้ว ท่าทางนางเช่นนี้มีเพียงสองความหมาย ง่วงแล้ว หรือไม่ก็เหม่อลอย
เขายิ้มเล็กน้อย กระซิบว่า “ไม่ต้องห่วง เขาทำอันใดไม่ได้”
บางทีควรกล่าวว่า คนเช่นเสวียนจีตรงหน้านี้ คนทั่วไปทำอันใดไม่ได้
มาถึงจวนตระกูลฟางอย่างรวดเร็ว แม้ก่อนหน้ารู้ว่าฟางอี้เจินเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวย แต่พอได้เห็นความฟุ้งเฟ้อของจวนตระกูลฟาง ทุกคนก็ยังอดตกใจไม่ได้ ใช้วาจาหลิงหลงมาบรรยายความฟุ้งเฟ้อของจวนตระกูลฟางได้ว่า ในนอกสามชั้นล้วนมีแต่ห้อง กว่าจะเดินถึงสุดทางคิดว่าออกไปได้แล้ว หันมามองกลับพบว่ายังมีอีกครึ่งทางต้องเดินต่อ
ตลอดทางมานี้ได้พบชาวเมืองจงหลีไม่น้อยที่รู้ว่าฟางอี้เจินได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้จากเซียนหญิงก่อนหน้านี้ ทุกคนก็พากันมากล่าวแสดงความยินดี เป็นบรรยากาศน่ายินดีเสียจริง ผู้ใดจะรู้ว่า จวนตระกูลฟางถึงกับไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย หน้าดำคร่ำเครียด บ่าวรับใช้เข้าไปจูงม้าก้มหน้าก้มตาไม่กล้ากล่าวเสียงดัง
ฟางอี้เจินมองไปเห็นม้าแปลกหน้าหลายตัวในคอกกั้นม้า อดถามไม่ได้ว่า “เอ้อร์หู่ จวนเรามีแขกมาหรือ”
เด็กขับรถม้านามเอ้อร์หู่รีบกระซิบว่า “คุณชายรอง นายท่านสั่งว่าหากท่านกลับมาก็ให้รีบไปห้องโถงกลางทันที! ตระกูลหรง ตระกูลจวีในเมืองฝั่งตะวันออก ยังมีตระกูลจวงในเมืองฝั่งเหนือมากันหมดแล้ว! เหมือนว่ามีเรื่องใหญ่อย่างยิ่งหารือกัน!”
ฟางอี้เจินกล่าวอย่างแปลกใจว่า “หืม? คนที่ถูกเลือกครั้งนี้เหตุใดล้วนมายังจวนเรากัน!” เขาหันกลับไปผายมือเชิญพวกจงหมิ่นเหยียน กล่าวว่า “ทุกท่านตามข้าไปนั่งที่เรือนด้านข้างก่อน ข้ามีธุระอื่น จะรีบกลับมา”
นำแขกมาถึงบ้านก็ขอตัว นี่มันธรรมเนียมอันใด หลิงหลงกำลังจะเอ่ยก็ถูกจงหมิ่นเหยียนรั้งไว้ เขายิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร คุณชายฟางเชิญ อย่าได้เสียการเสียงานท่าน”
หลิงหลงเห็นคุณชายฟางเดินออกไปไกลแล้วก็กล่าวว่า “พวกเจ้ากำลังคิดพิเรนทร์อันใด อยู่ดีๆ มาจวนเขาทำไมกัน”
จงหมิ่นเหยียนกะพริบตาปริบ ยิ้มอีก “เซ่อจริง เจ้าไม่เห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้ประหลาดมากหรือ คนข้างนอกล้วนยินดีปรีดา ตามหลักเป็นเรื่องมงคล แต่ในจวนกลับเงียบเชียบมาก จะว่าไป เจ้าไม่คิดมาดูหรือว่าเซียนหญิงเกาหน้าตาเป็นอย่างไร”
“อ้อ ที่แท้พวกเจ้าคิดจะทำความเข้าใจเรื่องเซียนหญิงให้กระจ่างนี่เอง! เชอะ ทำลับๆ ล่อๆ จริงๆ แล้วก็คิดร่วมวงกับเขาด้วย!”
นางกล่าวได้โดนใจจงหมิ่นเหยียน จงหมิ่นเหยียนได้แต่ส่งเสียงหัวเราะแหะๆ
พอดีบ่าวรับใช้มานำทาง นำพวกเขาไปยังเรือนข้าง พอนั่งลงก็ยกน้ำชามารับแขก หน้าประตูไม่มีคนแล้ว
หลิงหลงไปที่ข้างประตู ลอบมองออกไปพลางกวักมือเรียกพวกเขา “เร็วเข้า! ที่นี่แปลกประหลาดจริง! ด้านนอกไม่มีคนสักคน!”
รั่วอวี้นิ่งเงียบเป็นนาน กล่าวว่า “มานั่งรอที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ เกรงว่าตระกูลเขาเกิดเรื่องใหญ่ ถึงตอนนั้นมาไล่เรา พวกเราก็ไม่ได้ดูเรื่องสนุกพอดี ไม่สู้ออกไปลอบฟังว่าแท้จริงแล้วพวกเขาคุยกันอันใดกัน”
หลิงหลงพอได้ยินเรื่องสุนกเช่นนี้ ก็ผลักประตูคิดจะออกไป กลับถูกจงหมิ่นเหยียนรั้งไว้ “เดี๋ยวก่อน พวกเราไปกันหมดไม่ได้ ไปได้แค่สองคน เกิดมีคนมา จะได้อ้างว่าไปเปลี่ยนเสื้อล้างมือ”
กล่าวจบ เขาหันกลับไปมองอวี่ซือเฟิ่ง ทุกคนยอมรับเขามากที่สุด จึงได้ยิ้มกล่าวว่า “ให้ซือเฟิ่งกับรั่วอวี้ไปละกัน เราสองคนอยู่ว่างไม่ได้ เกิดหาเรื่องใดมาก็คงยุ่งยาก นั่งอยู่นี่รอดีกว่า”
รั่วอวี้ส่ายหน้า “วิชาตัวเบาข้าไม่ไหว ให้หมิ่นเหยียนกับซือเฟิ่งไปเถอะ”
อวี่ซือเฟิ่งลุกขึ้นโบกมือ “ไม่ต้องแย่งกัน ข้ากับเสวียนจีไป วิชาตัวเบานางดีที่สุด เงียบที่สุด พวกเจ้ารออยู่ที่นี่แหละ เกิดมีคนถาม ยังต้องหาข้อแก้ตัวอีก”
ยามนั้นเขาจึงพาเสวียนจีเดินออกจากประตูไปอย่างไม่สนใจอันใด สองคนวิชาตัวเบายอดเยี่ยม เคลื่อนไหวรวดเร็วว่องไว ตลอดทางมาเจอบ่าวรับใช้มากมายถึงกับไม่มีคนรู้ พวกเขาคลำทางมาถึงโถงกลางอย่างรวดเร็ว ทั้งสองโดดขึ้นบนหลังคาพร้อมกัน เลียนแบบโจรย่องเบาพวกนั้น เปิดแผ่นกระเบื้องหลังคาออกแผ่นหนึ่ง ยื่นหน้าแนบหูแอบฟังว่าด้านในคุยกันอันใดกัน
“…เรื่องนี้พวกข้าก็เพิ่งรู้ นายท่านฟาง ท่านว่าอย่างไรดี”
ชายชราชุดดำสีหน้ากลัดกลุ้ม ถอนหายใจติดๆ กัน
ทั้งสองมองสังเกตทุกคนในโถงรอบหนึ่ง อายุคนเหล่านี้น่าจะเป็นระดับอาวุโสของตระกูล ชายหนุ่มอายุน้อยสี่คนยืนอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยสีหน้างุนงง น่าจะเป็นผู้โชคดีที่ได้รับเลือกในครั้งนี้
อวี่ซือเฟิ่งเห็นพวกเขาสี่คนล้วนเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบ แต่ละคนหน้าตาหล่อเหลา เปล่งรัศมีสง่างาม นับได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามเหนือสามัญ ที่แท้เซียนหญิงคัดเลือกผู้ปรนนิบัติรับใช้ยังเลือกหน้าตาด้วย ในใจเขาเริ่มพอเดาได้แล้ว
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือตัวกลาง เดาว่าน่าจะเป็นนายท่านฟาง ข้างแก้มมีเคราหนาดกดำ ลูบไปคิดไป เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “ข้าก็ได้ยินเป็นครั้งแรก…เรื่องนี้จริงหรือ”
สตรีสูงวัยข้างๆ ผู้หนึ่งเช็ดน้ำตากล่าวว่า “จริงแท้แน่นอน! จริงๆ แล้วเซียนหญิงสร้างกุศลช่วยพวกเราไว้มาก พวกเราเองไม่ควรไม่ให้ความเคารพ แต่นายท่านฟาง ท่านคิดดู ผ่านมาหลายปี ทุกปีส่งไปสี่คน ต่อมามีผู้ใดได้เคยพบเห็นอีกบ้างไหม”
จะว่าไป เหมือนไม่มีผู้ใดได้พบอีกจริง นายท่านฟางไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใด ได้แต่หันไปถามชายชราในชุดดำว่า “ท่านจวี ลองเล่าเรื่องที่พบมาอีกรอบได้ไหม”
ชายชราผู้นั้นถอนใจกล่าวว่า “คนผู้นั้นเป็นญาติห่างๆ ของข้าคนหนึ่ง ระยะนี้มาพึ่งพาอาศัยครอบครัวข้า ได้ยินว่าลูกข้าถูกเลือกให้ไปรับใช้ปรนนิบัติเซียนหญิง ก็เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อสามปีก่อน …”
ที่แท้ในเมืองไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ใดนึกแปลกใจกับการที่เซียนหญิงให้ส่งชายหนุ่มสี่คนไปปรนนิบัติรับใช้นางทุกปี ดังนั้นมีคนใจกล้ากลุ่มหนึ่ง อาศัยจังหวะชายหนุ่มถูกส่งขึ้นไป ก็ลอบตามไปด้านหลัง ญาติห่างๆ ชายชราผู้นั้นก็เป็นหนึ่งในนั้น
ว่ากันว่าชายหนุ่มเหล่านั้นพอถึงตำหนักเซียน ก็จะปรากฏขบวนกลองเป่าปี่ ยังถึงกับอยู่ๆ มีเกี้ยวมงคลสี่หลัง ชายแบกเกี้ยวสิบกว่าคน ชายหนุ่มทั้งสี่คนถูกบังคับให้เปลี่ยนชุดแต่งงานสวมมงกุฎหงส์ เหมือนว่าเป็นงานแต่งภรรยาอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นถูกคนแบกบินขึ้นเขาไป บรรดาคนลอบดูได้แต่ตกใจกับความลับแสนน่ากลัวนี้อย่างที่สุด ผู้ใดก็ไม่กล้าอยู่เมืองจงหลีต่อ พากันลอบหนีไปในคืนนั้น
หากว่าญาติห่างๆ ผู้นี้ไม่ลำบากจริงๆ ก็คงไม่กลับมา
“พวกเราคิดเพียงว่าส่งลูกเราไปบำเพ็ญที่ตำหนักเซียน จะได้มีวาสนาสำเร็จเซียน ไหนเลยจะรู้ว่าถึงกับทำเรื่องเช่นนี้…! คิดดู เซียนหญิงนั่นจับชายหนุ่มไป ก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดสูบเลือดสูบวิญญาณพวกเขา มิน่าจึงไม่เคยได้เห็นเด็กหนุ่มที่ขึ้นเขาไปพวกนั้นอีก!”
ชายชราชุดดำกล่าวจบก็อดหลั่งน้ำตาไม่ได้
ทุกคนในที่นั้นได้ยินเขาเล่ามาเช่นนี้ ก็สบตากันอย่างตกใจ ชายหนุ่มทั้งสี่ก็ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือด ตัวสั่นราวกับกระด้งฝัดข้าว
ทั้งสองบนหลังคาสบตากัน เสวียนจีส่งสายตาถามอวี่ซือเฟิ่งว่าเอาอย่างไรดี เขานิ่งเงียบเป็นนาน จึงกระซิบเบาๆ ว่า “ข้ามีวิธี แต่หนึ่งอันตราย สองเกรงว่าคนพวกนี้ไม่รู้จักดีชั่ว”
เขาคิดไปมา พลันควักลูกเหล็กออกจากแขนเสื้อเม็ดหนึ่ง เล็งไปที่แจกันใบใหญ่กลางโถง ค่อยๆ ดีดออกไป ได้เสียงดังปัง แจกันใบนั้นแตกละเอียดเต็มพื้น คนในห้องโถงพากันตกใจส่งเสียงตะโกนดัง “ไม่ได้การแล้ว! เซียนหญิงมาแล้ว!”
เสียงดังโหวกเหวกพักหนึ่ง เป็นฟางอี้เจินที่ใจกล้าหน่อย ควานเจอลูกเหล็กท่ามกลางเศษแจกันพลันคิดได้ว่าที่เรือนข้างยังมีกลุ่มคนประหลาดรออยู่ ดวงตาพลันส่องประกาย
อวี่ซือเฟิ่งเขยิบเข้าใกล้กระซิบข้างหูเสวียนจีว่า “พวกเรากลับกันเถอะ คืนพรุ่งนี้มีเรื่องสนุกให้เล่นแล้ว”