ตอนทุกคนไล่ตามลงไปถึงด้านล่าง พบว่าปีศาจนอนหงายกางมือกางเท้าอยู่บนก้อนหิน ครั้งนี้ก็ไม่รู้เลือดไหลออกมาอีกเท่าไร เห็นอยู่ว่าไม่น่ารอดแล้ว
“เจ้ายังคิดหนีอีก!” หลิงหลงแม้ว่าปากจะสบถตวาดดัง แต่เห็นสภาพอนาถน่าสงสารเช่นนี้เป็นครั้งแรกก็ทนไม่ไหว หันไปกล่าวว่า “เจ้าหก…เจ้า…จัดการเขาให้สบายเร็วหน่อยเถอะ!”
คนผู้นั้นเบิกตาจ้องดวงตาราวกระดิ่งงาม ดวงตาราวกับมีน้ำรื้น หัวเราะเย้ยกล่าวว่า “เจ้า…พวกเจ้า…ไม่ต้องแสร้ง…ทำเป็นเมตตา มาถึง…ขั้นนี้…ข้า…ถามใจข้าเองแล้วก็ไม่รู้สึกผิดที่ได้ทำลงไป พวกเจ้า…ทำเรื่องใดไว้…พวกเจ้า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ จงหมิ่นเหยียนก็ชักกระบี่ตัดหัวเขาทิ้งทันที ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ใกล้จะตายแล้วยังเจ้าเล่ห์อีก! เจ้าทำร้ายชาวหมู่บ้านวั่งเซียนเช่นนั้น ยังบอกว่าไม่รู้สึกผิดที่ได้ทำลงไป!”
ลู่เยียนหรานเห็นหัวปีศาจกระเด็นลงพื้นมาอยู่ตรงเท้าตนก็ตกใจกระโดดร้องลั่น “โอ๊ะ! ทำไมเจ้า…ตัดหัวมันล่ะ!”
หรูอี้เข้ามาเก็บหัวขึ้น ใช้ผ้าสี่เหลี่ยมห่อไว้ พลางถอนใจกล่าวว่า “ช่วยให้มันสบายเร็วขึ้น ดูมันสิ บางทีอาจมีเบื้องหลังอันใดที่พวกเราไม่รู้ซ่อนอยู่ แล้วไปเถอะ”
ทุกคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกบอกไม่ถูก ไม่กล่าวอันใดอีก เดิมชนะงดงาม สุดท้ายกลับไม่ได้รู้สึกดีกับชัยชนะ อยู่ๆ รู้สึกหดหู่อย่างแปลกประหลาด ราวกับทำผิดอันใด
ยามนั้นได้แต่เงียบกริบ ทั้งหกเหินกระบี่กลับมายังบ้านตระกูลจ้าว แม้ว่าก่อนไปจะบอกพวกจ้าวเหล่าต้าว่าไม่ต้องเป็นห่วง ไปนอนได้ แต่ผู้ใดจะนอนหลับลง ล้วนกำลังจุดไฟสว่างรอพวกเขากลับมา
พอจงหมิ่นเหยียนลงแตะพื้นก็วางศีรษะนั่นลงกับพื้น กล่าวว่า “ท่านอาจ้าว สำเร็จแล้ว ปีศาจอาละวาดบนเขาไห่หวั่น พวกข้าจับมาให้ท่านแล้ว”
ทุกคนในโรงบ้านตระกูลจ้าวพอได้ยินว่าจับปีศาจได้แล้ว ก็พากันร้องยินดีออกมาดู เห็นศีรษะใบหน้าดุร้ายโชกเลือดแล้วก็รู้สึกทั้งหวาดกลัวทั้งตื่นเต้น
จงหมิ่นเหยียนยังเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายยิ้มกล่าวว่า “นับว่าได้สังหารปีศาจอาละวาดแล้ว วันหน้าท่านอาและพ่อแม่พี่น้องก็วางใจได้ พวกข้ามีเวลาจะกลับมาเยี่ยมอีกแน่นอน”
ทุกคนสนทนากันสักพัก สุดท้ายก็หาที่ฝังศีรษะนี่ ว่ากันว่าจะไปหานักพรตมาขับไล่สิ่งชั่วร้ายในหมู่บ้านเพื่อสั่งสมบุญกุศลเพิ่มเติมอีกด้วย คนที่นี่ถูกนกฉวีหรูอาละวาดมาสามเดือนกว่า แต่ละคนทนทุกข์อย่างมาก ตอนนี้ในที่สุดก็จบเรื่องแล้ว ราวกับวางก้อนหินในใจลงได้ พอได้ยินว่าพวกจงหมิ่นเหยียนอีกวันก็จะไปแล้ว จึงไม่สนใจว่าดึกแค่ไหน ทั้งหมู่บ้านเตรียมจัดงานเลี้ยงตอบแทนบรรดาศิษย์บำเพ็ญเพียรหนุ่มสาวเหล่านี้ ฉลองกันจนถึงยามอู่ของวันรุ่งขึ้น ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ
พวกจงหมิ่นเหยียนยังมีกำลังวังชาดีอยู่ ชายทั้งสามดื่มสุราไปรำลึกความหลังไป หลิงหลงกับลู่เยียนหรานก็ตั้งใจฟัง บางครั้งก็กล่าวแทรกขึ้น เสวียนจีเอาแต่หลับพิงหลิงหลง เสียงลมหายใจแผ่วเบา
“เมื่อวานแม่นางลู่บอกว่า มีอยู่บ้างที่ปีศาจจะมารวมตัวกัน วาจานี้จริงหรือ”
หรูอี้ยังจำวาจาลู่เยียนหรานได้ ยามนี้อดถามไม่ได้
ลู่เยียนหรานกำลังรินสุราให้ตนเองอยู่ คืนนี้นางดื่มไปไม่น้อย สีหน้าแดงระเรื่อราวกับดอกฝูหรง คิ้วโค้งงามราวใบหลิ่ว ใบหน้าตางดงามมาก พอได้ยินหรูอี้ถาม นางก็ยิ้มกล่าวว่า “จริงๆ แล้วข้าก็ไม่แน่ใจ เพียงแต่ว่ามีครั้งหนึ่งเคยได้ยินเจ้าเกาะพูดถึง พื้นที่รกร้างมีมารปีศาจปรากฏ ล้วนอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นข้าจึงได้เอามาหลอกเขา คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวโดนพอดี”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนาน กล่าวเบาๆ ว่า “พื้นที่รกร้างห่างไกลมีคนแปลกมาก แต่ละประเทศล้วนมีวัฒนธรรมของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นมารปีศาจ เพียงแต่ว่าหน้าตาไม่เหมือนคนปกติทั่วไปก็เท่านั้น”
หลิงหลงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “หน้าตาไม่เหมือนคน เหตุใดไม่เหมือนคน”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ใต้หล้ามีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย หลายแห่งมีคนที่แม้หน้าตาไม่เหมือนคน แต่ก็ไม่ใช่ปีศาจ พวกเขามีวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง ต่างจากพวกเราไม่มาก”
หลิงหลงสีหน้าแปรเปลี่ยนกล่าวว่า “เช่นนั้น…ที่พวกเราสังหารไปครานี้…หรือว่าก็เป็น…?”
วาจากล่าวออกไป ทุกคนพากันเงียบงัน หากที่สังหารเป็นปีศาจ พวกเขายังคงยืดอกผ่าเผยกล่าวว่าได้กำจัดภัยให้ชาวบ้าน หากที่สังหารเป็นคน รสชาติก็ยากจะทนรับได้ โดยเฉพาะจงหมิ่นเหยียน เขาตัดหัวคนผู้นั้นด้วยมือตนเอง คิดว่าตนตัดหัวคน เขาก็แทบอยากจะโยนกระบี่ทิ้ง
“สังหารสิ่งที่ควรสังหาร แม้เป็นคนก็ควรสังหาร” ข้างๆ พลันมีเสียงดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง ไม่รู้เสวียนจีตื่นมาตอนไหน สีหน้ายังคงมีแววสับสน กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ
จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วกล่าวว่า “วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้ ปีศาจต่างจากคน…คนทำผิดจะสังหารได้อย่างไร…”
“เช่นนั้น ปีศาจทำผิดก็สังหารได้หรือ” เสวียนจีถามขึ้นเบาๆ
“อันนั้น…ไม่เหมือนกัน…” จงหมิ่นเหยียนที่เคยภูมิใจในฝีปากตนเอง ยามนี้ไม่รู้ไปไหนแล้ว รู้แก่ใจว่าไม่เหมือน แต่แท้จริงไม่เหมือนตรงไหน เขาถึงกับพูดไม่ออก
หลิงหลงกล่าวว่า “พวกไม่เหมือนเรา จิตใจย่อมแตกต่าง! อย่างไรที่ไม่ใช่มนุษย์ ย่อมไม่ใช่สิ่งดี!”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่มีอันใดไม่เหมือน ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สิ่งดี บนโลกนี้ที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นมีมากนัก ไม่ว่าคนหรือปีศาจ หรือสิ่งอื่นใด ขอเพียงทำเรื่องที่ควรสังหารก็ควรสังหาร ขอเพียงไม่ได้ทำผิด ก็ไม่ควรสังหาร”
“เอ่อ เจ้า…” จงหมิ่นเหยียนตะลึงงัน เป็นนานกว่าจะหลุดปากออกมาได้ “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาควรไม่ควรสังหาร”
เสวียนจีขยี้ตา ท่าทางเหมือนง่วงนอนหนัก กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าย่อมรู้ รู้แก่ใจ”
จงหมิ่นเหยียนไร้วาจาจะกล่าว สุดท้ายยกมือขึ้นโบก “มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน! ขัดหลักการ! พอเถอะๆ ข้าง่วงแล้ว ไปนอนละ พรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางอีก!”
หลิงหลงเห็นว่าจะจากกันด้วยอารมณ์ไม่เบิกบานเช่นนี้ จึงรีบดึงแขนเสื้อเสวียนจี กระซิบว่า “เสวียนจี เจ้าจงใจยั่วโมโหหรือ”
เสวียนจีส่ายหน้าอย่างงุนงงสับสน “เปล่านะ ที่ข้าพูดเป็นความจริง”
หลิงหลงเองก็ไร้วาจาจะกล่าว
หรูอี้รีบแก้สถานการณ์ ยิ้มกล่าวว่า “ไยต้องกล่าวเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ มา ดื่มกันอีกสักจอก! จอมยุทธ์จงดื่มกันสักจอก ผ่อนคลายกันสักครู่ค่อยเข้านอน! ทุกคนยากจะมีเวลามีความสุขกันเช่นนี้”
จงหมิ่นเหยียนไม่อาจไม่ให้เกียรติเขา ได้แต่ยิ้มชนจอกสุราเบาๆ
ร่ำสุราไปหลายรอบ กระแสคลื่นลมที่ผิดใจกันเมื่อครู่ก็มลายสิ้นไป อวี่ซือเฟิ่งเริ่มเมาแล้ว คลึงจอกสุราไปมายิ้มกล่าวว่า “หมิ่นเหยียน จากนี้พวกเจ้าจะไปไหน”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “พวกข้าวางแผนจะไปทางตะวันออก ไปดูความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ตามทาง และก็แวะปราบมารปีศาจอาละวาดไปด้วย สุดท้ายจะไปเกาะฝูอวี้เยี่ยมเจ้าเกาะตงฟาง”
อวี่ซือเฟิ่งได้ฟังก็นิ่งเงียบ หลิงหลงตบมือกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง หรูอี้ แม่นางลู่ อย่างไรพวกเจ้าก็ออกมาฝึกฝนเช่นกัน ไม่สู้พวกเราไปด้วยกัน! อย่าได้แยกกันฝึกฝน ไม่เช่นนั้นน่าเบื่อแย่!”
หรูอี้ได้แต่หัวเราะเบาๆ ไม่กล่าวอันใด หันไปมองอวี่ซือเฟิ่ง เห็นชัดว่ารอฟังความเห็นเขา อวี่ซือเฟิ่งคิดอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้า “ก็ดี พวกเราไปด้วยกัน พอดีข้ากับหรูอี้ก็ไม่มีเป้าหมายอันใด ตามพวกเจ้าไปท่องเที่ยวธรรมชาติก็น่าสนุกดี”
หลิงหลงเห็นเขารับปาก อดแสดงสีหน้าดีใจไม่ได้ รีบเข้าไปดึงลู่เยียนหราน แม่นางสองคนนี้ไม่ทะเลาะกันแล้ว รู้สึกเข้ากันได้ดี เหมือนว่าไม่อยากแยกจากกันอยู่บ้าง
“เยียนหรานไปกับพวกเรานะ! คนมากถึงจะสนุก!” หลิงหลงกุมมือนาง มองออกชัดเจนว่ากล่าวจากใจ
ลู่เยียนหรานท่าทางซาบซึ้งใจ กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ขอบคุณหลิงหลง ก่อนหน้านี้ที่กล่าววาจาไม่น่าฟังกับเจ้าไป เจ้าอย่าได้เก็บเอาไปใส่ใจ อ้อ เสวียนจี…ขอโทษด้วย”
หลิงหลงโบกมืออย่างไม่สนใจ “พูดเรื่องเก่าๆ อีกทำไมกัน! ข้าลืมไปนานแล้ว!”
ลู่เยียนหรานยิ้มบาง “แต่ข้าคิดตกเรื่องหนึ่ง ข้าตัดสินใจไปตามหาศิษย์ร่วมสำนักข้า จะขอโทษทุกคน จากนั้นกลับไปเกาะฝูอวี้ ดังนั้น…ข้าไม่อาจร่วมเดินทางไปกับพวกเจ้าแล้ว”
ทุกคนล้วนตะลึงงัน หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “ทำไม…อยู่ๆ เจ้าบอกว่าจะไปก็จะไป?!”
ลู่เยียนหรานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เมื่อก่อนข้ามักรู้สึกว่าผู้อื่นต้องยอมให้ข้า มีบางเรื่องข้าเองทำผิดรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ตอนนี้พบว่าผิดพลาดใหญ่หลวงนัก ข้าไม่คิดจะเป็นตัวถ่วงที่ต้องคอยให้ผู้อื่นมาดูแล ข้าหวังว่าจะเป็นเหมือนหลิงหลงกับเสวียนจี เป็นจอมยุทธ์หญิงที่เผชิญหน้าลำพังได้ไม่แพ้ผู้ชาย ดังนั้นข้าต้องกลับไปขอโทษศิษย์ร่วมสำนักเพื่อเริ่มต้นใหม่ นอกจากนี้ ข้าเองก็ลงเขามาฝึกฝนใกล้ครบกำหนดแล้ว พวกเขาใกล้กลับเกาะฝูอวี้กันแล้ว หลิงหลง พวกเจ้าไม่ใช่ว่าจะไปเกาะฝูอวี้หรือ ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้พบกันอีก ข้าขอเชิญพวกเจ้าไปกินอาหารอร่อยที่สุดบนเกาะ”
หลิงหลงได้ฟังนางกล่าวเช่นนี้ ก็รู้ว่านางตัดสินใจแล้ว ไม่คิดฝืนใจนางอีก คว้ามือนางมากุม ยิ้มถามว่า “ก็ได้ พวกเราเจอกันที่เกาะฝูอวี้ เยียนหรานกะว่าจะไปตอนไหน ไปหาศิษย์ร่วมสำนักที่ไหน”
“ข้ากะว่าจะไปทางตะวันตกก่อน พวกเขาน่าจะไปวนอยู่แถวเขาไท่หวาซาน พอดีเป็นทิศทางตรงข้ามกับพวกเจ้า เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือแก้ไขสิ่งที่ผ่านไป พรุ่งนี้ข้าก็จะออกเดินทางแต่เช้า”
ทุกคนไม่กล่าวอันใดอีก พากันดื่มหมดจอก ถือว่าเป็นการอำลานาง
ดื่มไปจนถึงตอนบ่าย จึงได้เดินโงนเงนกลับไปพักผ่อนของตนเอง